บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 296 ในสระน้ำแร่ / ตอนที่ 297 คุยเล่น

ตอนที่ 296 ในสระน้ำแร่

 

 

หรงจิงแช่อยู่ในสระน้ำแร่ที่อยู่ข้างกัน ด้านข้างตั้งป้านหยกขาวอยู่ป้านหนึ่ง ต่ำลงมามีจอกหยกขาวอยู่หนึ่งใบ ด้านในมีสุราสีชมพูชั้นดีรินอยู่เต็ม

 

 

เซียงฉือยังคงซุ่มอยู่ในน้ำแร่ที่มีกลีบดอกไม้ลอยอยู่เต็ม รออยู่สักพักก็ไม่เห็นหรงจิงมีปฏิกิริยาอะไร จึงรู้สึกว่าทั้งหมดนั้นตนเองคิดมากเกินไป

 

 

นางจึงแลบลิ้นหน้าแดงขึ้นมา นางเป็นผู้หญิงวันๆ เอาแต่คิดเรื่องพวกนี้ ช่างน่าอายนัก

 

 

ยังดีที่เมื่อครู่นางไม่ได้ร้องตกใจออกมาเสียงดัง มิเช่นนั้นตอนนี้หรงจิงคงต้องหัวเราะเยาะนางแน่

 

 

แล้วเรื่องนี้ก็จะกลายเป็นจุดด่างพร้อยจุดใหญ่ในชีวิตราชการของนาง

 

 

เซียงฉือเห็นหรงจิงพักสายตาโดยยึดแขนข้างหนึ่งกับขอบตลิ่งดูสุขสงบ พลันนางนึกถึงคำพูดหรงจิงเมื่อครู่ จึงทำดังที่เขาว่า คอยฟังเสียงลมพัดแผ่วๆ ในที่นี้ เมื่อตั้งชื่อว่าหอทิงเฟิง[1] คิดว่าคงมีความเป็นมาที่น่าสนใจ

 

 

นางรู้ว่าหรงจิงไม่มีความประสงค์จะให้นางถวายงานบรรทมจึงวางใจ แล้วหลับตาลงฟังเสียงลมจากด้านนอก อีกทั้งไอน้ำแร่ร้อนจากในนี้ลอยขึ้นไปปะทะกับภูเขาหินด้านบนกลายเป็นหยดน้ำร่วงหล่นลงติ๋งๆ ส่งเสียงแตกต่างตามระยะห่างใกล้และความสูงของพื้นที่ ที่ด้านล่างเหมือนจะมีภาชนะรองรับอยู่ ถึงแม้หยดน้ำร่วงลงไม่อาจควบคุมได้ แต่วิธีนี้ก็เป็นไปตามกลไกธรรมชาติ ดูน่าสนใจไม่น้อย

 

 

เซียงฉือฟังด้วยความชอบใจจึงได้ฮัมเพลงขึ้นเบาๆ ตามเสียงของหยดน้ำ

 

 

หรงจิงซึ่งฟังอยู่เช่นกันจึงสะดุดเสียงฮัมเพลงของเซียงฉือเข้า แล้วลืมตาขึ้นทันใด

 

 

“เจ้าร้องเพลงอะไรอยู่หรือ”

 

 

หรงจิงได้ยินเซียงฉือฮัมเพลงเบาๆ จึงเอ่ยปากถาม เซียงฉือหรี่ตาทาบกายอิงสระอยู่ได้ยินหรงจิงจู่ๆ พูดขึ้น ก็รีบมุดลงน้ำไป

 

 

สักครู่หนึ่งจึงได้ยืนขึ้นมา หมอบอยู่ในที่เดิมตอบกลับไป

 

 

“เป็นเพลงพื้นบ้านเพลงหนึ่งของเมืองหลานโจวเพคะ ตอนหม่อมฉันยังเล็กอยู่ท่านแม่ได้ร้องกล่อมให้นอน แต่ท่วงทำนองกับเสียงน้ำหยดเมื่อครู่ฟังคล้ายคลึงกันจึงทำให้นึกขึ้นมาได้เพคะ”

 

 

เซียงฉือตอบคำถามหรงจิง ได้ฟังเพียงเสียงจึงไม่รู้ว่าเขาพอใจหรือไม่จึงถามต่อด้วยใจตุ๊มต่อม

 

 

“หม่อมฉันก่อความระคายเบื้องพระยุคลบาทกระมังเพคะ”

 

 

หรงจิงถอนสายตายกสุราที่ข้างกายขึ้น แหงนหน้าดื่มลงไปจอกหนึ่ง สุราสีชมพูค้างอยู่ในลำคอครู่หนึ่งก่อนจะลงสู่กระเพาะ

 

 

ร่างกายที่ร้อนอยู่แล้วพอดื่มสุรานี้ลงไป หรงจิงรู้สึกราวกับภายในอกและท้องมีกองไฟสุมอยู่ แผดเผาลุกโชน แต่เขากลับรู้สึกว่าแบบนี้จึงจะสะใจ

 

 

สุราดอกท้อของหรงจิงนั้นเขาเป็นผู้หมักกลั่นเอง ด้วยการนำดอกไม้ในเดือนหกบรรจุลงในไหปิดผนึกไว้สามเดือน จากนั้นใส่เข้าไปในข้าวหมากที่เตรียมไว้แล้วหมักบ่มหนึ่งปี น้ำที่ใช้ล้วนเป็นน้ำค้างยามอรุณ ทั้งยังเป็นน้ำค้างบนกลีบดอกท้ออีกด้วย  ใหม่สดปิดผนึกไว้สำหรับดื่มในปีถัดไป

 

 

สุราที่หรงจิงหมักเองนี้มีฤทธิ์แรงมากเพราะเขานิยมความร้อนแรง จึงชอบดื่มมันเสมอ ถึงจะมีชื่อที่นุ่มนวลแต่ไม่คิดว่าจะมีความร้อนแรงเช่นนี้

 

 

เซียงฉือเห็นที่ข้างกายตนก็มีสุราป้านหนึ่ง นางยังจำที่หรงจิงบอกได้ว่าเป็นสุราดอกท้อ จึงคิดว่าน่าจะอ่อนจางเหมือนดอกท้อ นางที่ยังไม่เคยลิ้มลองมาก่อนจึงได้กรอกสุราทั้งจอกลงไป ไม่คิดว่าจะร้อนผ่าวไปทั่วตั้งแต่ลำคอลงไปถึงท้อง

 

 

เซียงฉืออ้าปากน้อยๆ ความแสบร้อนที่เข้าปากทำให้ใบหน้านางแดงก่ำ ถึงกับน้ำตาไหลออกมา

 

 

หรงจิงได้ยินเสียงจึงหันไปมอง เห็นท่าทางนางแล้วก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงได้ข้ามไปแล้วหยิบเฉ่าเหมย[2]จากในจานใส่เข้าปากนางไปลูกหนึ่ง

 

 

 

 

[1] หอทิงเฟิง หรือ หอสดับวายุ มีความหมายว่าฟังเสียงลมพัด

 

 

[2] เฉ่าเหมาย หรือ สตรอว์เบอร์รี่

 

 

 

 

ตอนที่ 297 คุยเล่น

 

 

“ช่างไม่รู้จักสุราเอาเสียเลย ต๊องจริงๆ แล้วก็ไม่รู้จักถามดื่มลงไปรวดเดียวแบบนั้นได้”

 

 

เซียงฉือกินเฉ่าเหมยเข้าไปลูกหนึ่ง ความหวานหอมกรุ่นอยู่ในปากเด่นชัด รสชาติแบบนั้นนางไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อน เป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่

 

 

เมื่อดื่มสุราเข้าไปจอกหนึ่งแล้ว เซียงฉือจึงใจกล้าขึ้น นางยกป้านสุราหมายรินดื่มอีกจอกหนึ่ง แต่หรงจิงยื่นมือออกขวางไว้แล้วขมวดคิ้วพูดขึ้น

 

 

“เจ้าเด็กต๊อง แช่น้ำแร่ร้อนแบบนี้ไม่อาจดื่มมากได้ รออีกสักครู่แล้วข้าจะดื่มเป็นเพื่อนเจ้าเอง”

 

 

เซียงฉือถูกเขาจ้องเช่นนั้นก็คับข้องใจ แต่ก็วางลงแต่โดยดี นางเกาะขอบสระใช้เท้าเตะน้ำเบาๆ ตอนนี้นางได้คลายเสื้อตัวนอกออกเช่นเดียวกับหรงจิง คงสวมเพียงเสื้อผ้าชิ้นในแช่อยู่ในน้ำ เรือนร่างอรชรงดงาม

 

 

นางเกาะอยู่ในสระมองดูหรงจิง ดวงตาแย้มยิ้มเป็นโค้งราวพระจันทร์เสี้ยวสองดวง น่ารักอย่างยิ่ง

 

 

หรงจิงเห็นนางยิ้มซื่อๆ เช่นนั้นก็อ่อนใจ ผ่านไปครู่หนึ่งเซียงฉือจึงชวนคุยขึ้นก่อน

 

 

“ฝ่าบาท เหตุใดวันนี้จึงได้ทรงพาหม่อมฉันมาที่นี่เพคะ”

 

 

เซียงฉือสงสัยมาแต่ต้น ถึงแม้ตอนแรกจะยังไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ถึงหรงจิงจะไม่บอกอะไร แต่นางเห็นจากท่าทีของซูกงกง แล้วรู้ถึงความผิดปกติ ทว่านางมีสติและปัญญาพอที่จะไม่โพล่งออกไปในตอนนั้น แต่ตอนนี้นางดื่มสุราเข้าไปแล้วใจกล้าขึ้นจึงได้ถามออกมา

 

 

หรงจิงฟังคำพูดนางแล้วก็ไม่รู้สึกไม่พอใจอะไร เพียงพิงอยู่ด้านข้างอย่างเกียจคร้าน น้ำเสียงยิ่งเอื่อยเฉื่อย แต่ก็ตอบอย่างมีความอดทน

 

 

“ข้าเป็นโอรสสวรรค์ คิดจะทำอะไรก็ทำ แช่น้ำแร่อยู่คนเดียวออกจะน่าเบื่อ ปกติเหลียนชินอ๋องมักจะมาแช่เป็นเพื่อนข้า แต่ระยะนี้เขามีภารกิจและไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ข้าเห็นเจ้าทึ่มอย่างเจ้าไม่น่ารังเกียจนัก ทั้งช่วงนี้ติดตามข้ามาอย่างเหนื่อยยาก เลยคิดว่าเป็นการให้รางวัลเจ้าก็แล้วกัน”

 

 

เซียงฉือได้ยินแล้วแอบเบ้ปาก มีด้วยหรือรางวัลแบบนี้ กับการจับหญิงสาวที่งดงามปานบุปผาเช่นนางไปโยนลงในน้ำน่ะ

 

 

ถึงนางจะคิดเช่นนั้นแต่ไม่กล้าพูดออกมา เพียงยิ้มอายๆ ตอบว่า

 

 

“หม่อมฉันสำนึกในพระมหากรุณาเพคะ แต่หม่อมฉันยังสงสัยว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงได้ทรงสดับเสียงน้ำหยดต่างเสียงดนตรี เสียงดนตรีจากธรรมชาติเช่นนี้ ช่างเป็นสิ่งแปลกใหม่ ทำให้หม่อมฉันได้เปิดหูเปิดตาขึ้นเพคะ”

 

 

เซียงฉือสนใจในเสียงลมเสียงฝนอย่างยิ่ง ม่านฝนที่นี่ราวไข่มุก ฟังราวดนตรีสวรรค์ แต่กลับไม่เรียกหอพิรุณแล้วเรียกเป็นหอวายุเช่นนี้ ทำให้นางเกิดความสงสัยนางเอ่ยปากเยินยอหรงจิง หวังจะให้เขาดีใจ จะได้เผยความลับในที่นี้ออกมาบ้าง

 

 

หรงจิงฟังแล้วเหยียดมุมปากขึ้นน้อยๆ ยื่นมือออกไปเคาะจานและพูดขึ้น

 

 

“ตอนนี้เจ้ารู้จักความวิเศษของหอทิงเฟิงเพียงผิวเผินเท่านั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะสงสัยว่าเหตุใดไม่เรียกที่นี่ว่าหอพิรุณแต่เรียกเป็นวายุแทน”

 

 

“แต่ข้าจะไม่บอก เจ้าคอยฟังเอาเองก็แล้วกัน”

 

 

หรงจิงเจตนาให้นางรออย่างกระวนกระวายไม่ยอมให้นางรู้ทีเดียวทั้งหมด ดังนั้นจึงได้ยั่วความอยากรู้นาง เพื่อให้นางใจจดใจจ่อ

 

 

เซียงฉือทำปากยื่น ถึงจะไม่ได้คำตอบที่ต้องการ แต่เพียงเท่านี้นางก็พอใจแล้วจึงหลับตาคอยฟัง

 

 

หรงจิงเห็นนางเช่นนั้นจึงว่ายจากไป

 

 

เซียงฉือฟังอยู่ครู่หนึ่งก็ยังไม่ได้ยินเสียงลมจึงหันไปมองหรงจิง เห็นเขายังทำท่าแบบเจ้าจงฟังไปก็แล้วกันเช่นนั้น ในใจจึงผุดความสงสัย

 

 

นางแช่ในน้ำแร่อยู่พักหนึ่งก็ยังคงไม่ได้ยินเสียงลมที่ว่า ความลังเลสงสัยยังคงมีอยู่ เมื่อหันกลับไปก็เห็นหรงจิงกำลังยิ้มมองดูนาง

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset