ตอนที่ 300 นอนกลางวัน
หรงจิงถามเซียงฉือแต่นางยังไม่ได้ตอบ เสียงพิณของหรงจิงก็ดังขึ้นมา
ดุจดั่งเสียงน้ำหยดลงไหเมื่อครู่ หนักและทุ้มเอื่อย เสียงนั้นทำให้ใจคนสั่นไหว เซียงฉือหลับตาเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
แผ่วเบาและเอื่อยช้า ราวลมวสันต์พัดผ่านต้นหลิว กบกระโดดอยู่บนผิวน้ำ ในความเงียบสงบมีระลอกคลื่นกระเพื่อมเบาๆ เป็นชั้นๆ ดอกท้อสีอ่อนดอกหนึ่งถูกลมพัดร่วงหล่นจากยอดกิ่ง ลอยละลิ่วพลิ้วช้าๆ อยู่ในสายลม ค่อยๆ ลงสู่ผิวน้ำที่กระเพื่อมน้อยๆ
ผิวน้ำที่เพิ่งสงบนิ่งกระเซ็นขึ้นอีกครั้ง ดอกท้อคล้ายดั่งไม่รู้ว่าร่วงหล่นลงมาแล้ว ยังคงลอยไปมาอยู่ในน้ำตามกระแสลม
แล้วสายลมก็สงบลง กลีบดอกไม้หยุดหมุนวน ทุกสิ่งกลับสู่ความเงียบสงบอย่างช้าๆ
เซียงฉือฟังจนลงสู่ภวังค์อย่างช้าๆ นางง่วงอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ในตอนนี้จึงหลับไป
หรงจิงบรรเลงจบลงหนึ่งเพลง เขาก้มลงหมายจะถามเซียงฉือว่าเพลงนี้เป็นอย่างไรบ้าง แต่เห็นเซียงฉือกอดหมอนหลับสนิทไปแล้ว
หรงจิงก็รู้สึกง่วง ในเวลาหลังเที่ยงโดยเฉพาะในฤดูร้อนเช่นนี้ ยากนักที่จะอำพรางความอ่อนเพลีย จึงไม่ฝืนอีกต่อไป หาหมอนได้ใบหนึ่งก็ล้มตัวลงนอนข้างเซียงฉือ
เขาไม่เคยฝืนตนเองกับเรื่องเช่นนี้จึงหลับสนิทไปอย่างสบาย
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ทั้งสองคนจึงได้ตื่นขึ้นมา เซียงฉือบีบหมอนที่นุ่มปนแข็งใต้ศีรษะ เกิดความรู้สึกผิดปกติ
แต่นางยังคงไม่ได้ลืมตา เพิ่งแช่น้ำแร่มาทั้งยังดื่มสุราเล็กน้อยจึงมีอาการง่วงงุน ตอนนี้ตื่นเพราะถูกเสียงนกร้องปลุกขึ้นมาจึงคิดจะพลิกกายแล้วนอนต่อ
นางคิดจะเปลี่ยนท่านอนจากเดิมที่เมื่อยแล้วจึงดึงหมอนข้างใต้ศีรษะ แต่แล้วรู้สึกว่าสัมผัสนุ่มนวลแต่เดิมนั้นจู่ๆ กลับกลายเป็นแข็งขึ้นมา ทั้งหมอนก็ยังเคลื่อนที่เองได้อีกด้วย
เซียงฉือลืมตาขึ้นอย่างหวาดหวั่นแต่ไม่ขยับกาย เพียงหลุบตามองลงไป ที่หนุนอยู่ใต้ศีรษะไม่ใช่หมอนใบเดิมของนาง หมอนเดิมที่นางหนุนอยู่ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว
เซียงฉือคิดจะลุกขึ้นอย่างเงียบๆ นางพอจะเดาได้ว่าศีรษะของตนเองหนุนอะไรอยู่ พอนางค่อยๆ ลุกขึ้น ‘หมอน’ นั้นก็ขยับเล็กน้อย นางตกใจรีบแกล้งนอน ไม่กล้าขยับอีก
หรงจิงตื่นแล้วเช่นกัน เขารู้สึกว่าขาตนเองเมื่อยและชา แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงลืมตาขึ้นมองดูขาตนเอง แล้วก็เห็นเซียงฉือกำลังหนุนหลับสนิทอยู่บนนั้น
เขาลุกขึ้นนั่งมองดูเซียงฉือที่นอนหลับสนิทหันหลังให้เขา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ไม่ได้ปลุกนาง ค่อยๆ ยื่นศีรษะลงไป สายตามองเห็นเซียงฉือที่กำลังหลับอย่างสบาย เขาหยิบปอยผมที่ปิดหน้านางปัดออกเบาๆ เมื่อเห็นที่ข้างมือมีดอกท้อตกอยู่ดอกหนึ่ง ขณะหนึ่งเกิดนึกสนุกขึ้นมาจึงนำดอกท้อนั้นต่างปิ่น เสียบลงไปบนเส้นผมดำสนิทของนาง
เซียงฉือรับรู้ถึงการกระทำของหรงจิง ได้แต่เพียงแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หรงจิงจัดการเสร็จก็มองดูเซียงฉืออีกครั้ง นางที่กำลังหลับใบหน้าแดงระเรื่อ ยิ่งแลดูงดงามสะกดใจ
พลันเขาพบว่าขณะที่นิ้วมือเขาเคลื่อนผ่านข้างแก้มนางนั้น เซียงฉือหายใจแรงขึ้น
นางกำลังแกล้งหลับ?
หรงจิงรับรู้ได้อย่างเฉียบไวว่าเซียงฉือกำลังแกล้งหลับอยู่
ตอนที่ 301 แกล้งหลับ
เมื่อหรงจิงรู้ว่าอวิ๋นเซียงฉือแกล้งหลับก็นึกขำอยู่ในใจ เจ้าเด็กต๊องคนนี้ คงจะกลัวถูกล้อถึงต้องแกล้งหลับต่อ เขาเองก็ใช่ว่าเป็นคนแล้งน้ำใจ
ถึงจะรู้ว่านางแกล้งหลับแต่ก็ไม่คิดจะเปิดโปงนางจึงนำหมอนของตนมาแล้วยกศีรษะนางวางลงบนนั้น จากนั้นจึงค่อยดึงขาตนเองออกมา
เคลื่อนขาออกข้างๆ นวดเบาๆ ตรงบริเวณที่เมื่อยชา เมื่อเห็นเซียงฉือยังคงแกล้งหลับอยู่จึงเกิดนึกสนุก มุมปากผุดรอยยิ้ม แววตาสั่นไหวน้อยๆ
ถ้าหากในที่นี้เป็นเหลียนชินอ๋อง แน่นอนว่าเขาจะต้องระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น เพราะตอนนี้หรงจิงจะต้องซ่อนเรื่องชั่วร้ายไว้ในหัวเป็นแน่
แต่ว่าเซียงฉือไม่รู้ ยังคงปิดตาแกล้งหลับ ไม่รับรู้ทุกสิ่งที่ด้านหลังตนเองแม้แต่น้อย
หรงจิงหุบยิ้มกลับสู่สภาพยามปกติ เขาบิดขี้เกียจแล้วขยับร่างที่นอนจนแข็งตึง เมื่อเสร็จสรรพแล้วจึงลุกเดินออกนอกห้องไปอย่างไม่รีรอ
เขาหยิบป้านและจอกสุราบนโต๊ะติดมือไปด้วย เซียงฉือยังคงรั้งรอ กลั้นลมหายใจเงี่ยหูฟังเสียงอย่างถี่ถ้วน และเมื่อนางได้ยินเสียงเขาลงน้ำไปแล้วจึงลืมตาขึ้น
ลุกขึ้นนั่งอย่างแคล่วคล่องแล้วถอนหายใจยาวโล่งอก แต่ทว่ายังไม่ทันที่ลมหายใจจะกลับมาสม่ำเสมอ พลันได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นจากด้านหลัง
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
เซียงฉือหันหน้าไปเห็นหรงจิงยืนพิงฉากบังลมชี้นิ้วมาทางนางหัวเราะอย่างเบิกบานใจ นางตกตะลึงฟุบลงพลัน ซุกหน้าลงกับหมอนราวกับนกกระจอกเทศ
หรงจิงไม่ยอมปล่อยนางง่ายๆ จึงเดินเข้าไป บีบหูนาง หัวเราะเยาะราวกับเด็กที่แผนชั่วร้ายบรรลุผล พูดว่า
“เจ้าแกล้งหลับจริงๆ ด้วย ถูกข้าจับได้แล้วหากยังไม่ลุกขึ้นอีก ข้าจะตั้งข้อหาเจ้าฐานหลอกลวงฮ่องเต้”
เซียงฉือได้ยินแล้วกลับฝังหน้าลึกลงกว่าเดิม แต่หรงจิงไม่ยอมปล่อยนางไว้เช่นนั้นจึงดึงนางขึ้นมาจากหมอน แต่นางยังคงกอดหมอนไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย
ราวกับมันเป็นยันต์ป้องกันชีวิตของนางจึงกอดไว้แน่นไม่ยอมปล่อยมือ หรงจิงมองดูใบหน้าแดงก่ำของนางแล้วก็ยิ่งหัวเราะอย่างได้ใจและชั่วร้าย
เซียงฉือถูกเขาหัวเราะหนักเข้าจนเลิกกลัว นางเปิดตาข้างหนึ่งมองดูฝ่ายตรงข้าม เห็นหรงจิงหัวเราะน้ำตาคลอ ใบหน้านั้นดูดีจนทำให้เซียงฉือรู้สึกแปลกใหม่เพราะหรงจิงยังไม่เคยหัวเราะมากเช่นนี้มาก่อนเลย
เมื่อถูกมอง หรงจิงจึงหยุดหัวเราะและเลิกตอแยนาง เขาหันหน้ากลับอย่างรู้สึกไม่บังควร
เซียงฉือวางหมอนในมือลงมองดูหรงจิงอย่างสงสัย ยื่นตัวออกไปหมายจะเห็นให้ชัด แต่หรงจิงกลับหันหน้าไปในทิศตรงกันข้ามอย่างขัดเขิน หลบหน้านาง
เซียงฉือเมื่อเห็นเขาขวยอายเช่นนั้นยิ่งบังเกิดความกล้าจึงพูดล้อเขา
“ฝ่าบาทไม่เคยสรวลเสียงดังเช่นนี้มาก่อนเลย หากว่าตอนเช้าได้ยินฮ่องเต้สรวลแล้วต้องตายลงในตอนเย็น วันนี้หม่อมฉันได้ยินเสียงพระสรวลของฝ่าบาทแล้วแม้ตายก็ไม่เสียดายแล้วเพคะ”
หรงจิงฟังคำพูดนี้แล้วก็หัวเราะขึ้นอีก หันกลับไปเคาะศีรษะนางเบาๆ
“หากปราชญ์ได้ยินคำพูดเจ้าเข้าต้องว่าเจ้าศึกษาคัมภีร์ปราชญ์ไม่ถ่องแท้ ถูกเด็กต๊องอย่างเจ้าเอามาใช้ผิดที่ผิดทาง ผิดหลักเหตุผล เสียเปล่าไปอย่างน่าเสียดาย”
เซียงฉือได้ยินเช่นนั้นไม่รู้สึกหวั่นเกรงแม้แต่น้อย
ซ้ำยังยืดกายตรงบอกว่าปราชญ์ยังพูดอีกว่า
“สตรีไร้ความรู้ความสามารถจึงประเสริฐ หม่อมฉันไร้ความสามารถเช่นนี้มิใช่คุณธรรมความดีหรอกหรือเพคะ เป็นพระกรุณาที่ฝ่าบาทตรัสชมหม่อมฉันเพคะ”