ตอนที่ 302 พิณโบราณปี้หวง
เซียงฉือพูดจบ หรงจิงยิ่งหัวเราะหนักขึ้น เขาเคาะหน้าผากนาง พูดเคล้าเสียงหัวเราะเบาๆ
“สตรีกับคนชั่วนี่คบค้าด้วยยากจริงๆ นับว่าข้าได้ประสบพบเจอแล้ว”
เซียงฉือเลิกคิ้ว ดวงตาฉลาดเฉลียวกลอกกลิ้งไปมาไม่หยุด เป็นการยืนยันคำพูดของฮ่องเต้ ทั้งคู่สบตากันแล้วยิ้ม
หรงจิงเห็นนางตื่นขึ้นมาอย่างกระปรี้กระเปร่า เขาจึงจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้ในวันนั้นว่าจะสอนนางดีดพิณโบราณปี้หวง
ท่าทางตาลุกวาวของเซียงฉือยามที่เห็นพิณโบราณในวันนั้นทำให้หรงจิงต้องกังวลใจอยู่นาน เกรงว่านางจะอุ้มพิณโบราณหนีไป
แต่วันนั้นเขาดื่มจนเมามายอยู่บ้าง กระทั่งจำไม่ค่อยได้ว่าตนเองได้พูดอะไรออกไป
แต่วันนี้เซียงฉือได้ทำการกราบไหว้เขาเป็นอาจารย์อย่างนอบน้อม ซึ่งเขาเองก็ไม่มีความรังเกียจลูกศิษย์คนนี้จึงเต็มใจที่จะสอนให้อย่างหมดเปลือก
หรงจิงไม่ได้เป็นนักบรรเลงพิณเจ็ดสาย เพียงแต่เขานิยมชมชอบปี้หวงและอยู่กับมันมานาน พิณโบราณพวกนี้จะมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับเจ้าของ เขากับปี้หวงเข้ากันได้อย่างรู้ใจ เข้าใจซึ่งกันและกัน ดังนั้นจึงบรรเลงออกมาได้อย่างคล่องมืออย่างยิ่ง
หรงจิงโอบเซียงฉือไว้ในอ้อมอก นิ้วมือประคองนิ้วมือนาง ร่างแนบอยู่ข้างหูนางเอ่ยคำเสียงแผ่วเบา
“พิณเจ็ดสายกับพิณห้าสายแตกต่างกันไม่ใช่เพียงแค่มีสายเพิ่มขึ้นสองสาย แต่เป็นการแบ่งเสียงทั้งห้าให้ละเอียดยิ่งขึ้น เสียงของปี้หวงจะกังวานใส มักใช้เป็นเสียงของนกร้องน้ำไหล แตกต่างจากเครื่องดนตรีทั่วไป”
“หากเจ้าจะเรียนจำเป็นต้องทำความเข้าใจก่อนถึงลักษณะเสียงและความพิเศษของมันจึงจะสามารถใช้ได้อย่างคล่องมือ”
เซียงฉือยกแขนดีดลงบนสายพิณเบาๆ เสียงกังวานใสก้องไกลยิ่ง นี่เป็นจุดพิเศษของพิณโบราณนี้ ปี้หวงเป็นเลิศตลอดมา ถูกจัดเป็นราชินีของพิณในบรรดาพิณโบราณมากมาย
และตอนนี้เซียงฉือกำลังกอดนางอยู่ ฟังเสียงนาง ราวกับสามารถรับรู้ได้ถึงความงดงามเด่นสง่าในใจนางเช่นนั้น
หรงจิงก็ยื่นนิ้วมือลงข้างนิ้วเซียงฉือ ดีดลงเบาๆ ครั้งหนึ่ง ทั้งสองตั้งใจฟังและแยกแยะความแตกต่างของเสียง
หรงจิงเป็นสุภาพบุรุษมีวาจาหนักแน่น ในเมื่อรับปากจะสอนเซียงฉือแล้วจึงได้ตั้งใจอย่างยิ่ง พาเซียงฉือเรียนรู้ถึงความงดงามของปี้หวงทีละก้าวๆ
เขาสอนอย่างตั้งใจ เซียงฉือเรียนอย่างอดทน จึงมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในเวลาไม่นาน
ทั้งคู่สามารถร่วมกันบรรเลงหลวนเฟิ่งถูได้อย่างรวดเร็ว อันเป็นเพลงที่ทั้งคู่ใช้บรรเลงร่วมกัน หรงจิงสอนนางเพียงครั้งเดียว เซียงฉือก็เข้าใจหลักได้หมดแล้ว แม้หากไม่มีเขา นางคงใช้เวลาไม่กี่วันก็สามารถเรียนพิณเจ็ดสายสำเร็จได้อย่างไม่มีปัญหา
ทั้งสองสบตากัน เกิดความรู้ใจกันมากขึ้นอีกหลายส่วน
ขณะที่หรงจิงกับเซียงฉือกำลังบรรเลงพิณกันอย่างเพลิดเพลิน ซูกงกงก็ได้ส่งเสียงเรียกอย่างเร่งรีบอยู่ด้านนอกหอทิงเฟิง
หรงจิงขมวดคิ้วก่อนจะหยุดมือลง เขาตบบ่าเซียงฉือก่อนที่จะลุกออกไป
เซียงฉือถึงจะไม่ได้ลุ่มหลงพิณนัก แต่เป็นคนที่มีนิสัยทำอะไรอย่างตั้งใจจริงมาตั้งแต่เด็ก ถึงหรงจิงจะออกไปแล้ว นางยังคงไม่เปลี่ยนท่าทีและดีดพิณต่อไป
เสียงพิณในห้องยังคงดังเอื่อยๆ แต่นอกห้องซูกงกงวิ่งหน้าตื่นไปถึงข้างกายหรงจิงแล้วกระซิบความข้างหู สีหน้าหรงจิงเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวง
หากเป็นยามปกติเขาจะต้องบันดาลโทสะอย่างแรง แต่เสียงพิณแผ่วเบาของเซียงฉือแว่วมา ทำให้หรงจิงหันกลับไปมองยังทิศทางที่เซียงฉืออยู่แล้วสั่งออกไปว่า
“เจ้าไปเรียกสาวใช้ให้มาคอยรับใช้ที่นี่คนหนึ่ง แล้วบอกนางไม่ต้องเร่งรีบ ให้เพลิดเพลินไปอย่างเต็มที่”
ซูกงกงฟังคำหรงจิงแล้วก็ผงกศีรษะตอบรับ
ตอนที่ 303 ยามว่าง
เซียงฉือฝึกพิณไปเรื่อยๆ อยู่ในห้องโดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว แต่พอเงยหน้าขึ้นจึงรู้สึกว่าฝ่าบาทออกไปนานแล้วยังไม่กลับมา และฟ้าด้านนอกก็ค่อยๆ มืดลง
นางนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วดึงปิ่นบนศีรษะออก ทำให้ดอกท้อที่ข้างหูร่วงลงมาพร้อมเส้นผม เมื่อเซียงฉือเห็นดอกท้อก็นึกขึ้นได้ว่าหรงจิงเป็นคนทัดมันไว้ ใบหน้าจึงแดงเรื่อขึ้น
นางนิ่งเงียบไปนานแล้วลงมือหวีผมอีกครั้ง นางไม่ได้สวมชุดข้าราชสำนักสตรีเพราะวันนี้ฝ่าบาทอนุญาตให้นางแต่งชุดแบบหญิงสาวทั่วไปซึ่งนางก็สนองรับอย่างรวดเร็ว นางหวีผมทรงเฟยเซียนจี้ ดึงผมม้วนตั้งเป็นทรงเฟยเซียนจี้
นางไม่เคยหวีผมทรงนี้มาก่อนเพราะเคยชินกับการปล่อยตามสบายในแต่ละวัน ในเมื่อตอนนี้มีเวลาจึงขอสวยสง่าดูสักครั้งอย่างยากจะมีโอกาส
ชีวิตในวังมีการแบ่งระดับชั้นอย่างเข้มงวด หญิงสาวในวังส่วนมากจะหวีผมเกล้าเป็นวงสองข้าง ด้านหน้าติดดอกไม้เงิน ถึงจะแตกต่างกันไปในแต่ละตำหนัก แต่ก็จะคล้ายคลึงกันโดยส่วนใหญ่
ก่อนเซียงฉือเข้าตำหนักอวี้หยวน นางสวมเสื้อสาบสั้นสีม่วง กระโปรงยาวจากอกสีดำ หวีผมเกล้าสองห่วง หลังจากเข้าตำหนักอวี้หยวนแล้ว สวมเป็นเสื้อสั้นสีชมพูท่อนล่างเป็นกระโปรงสีเดียวกัน หวีผมเกล้าสามห่วง แต่ส่วนใหญ่จะทำตามความชอบของกุ้ยเฟยเสียมากกว่า
ตั้งแต่วันที่ได้ชื่อว่าเป็นข้าราชสำนักสตรี นางจะมุ่นผมไว้บนศีรษะโดยปล่อยผมข้างหลังสยายลงประบ่า
นางไม่ชอบการแต่งกายแบบขุนนางบุ๋นนักแต่ก็ไม่ถึงกับรังเกียจ แต่ว่านางเป็นหญิงสาวจึงย่อมมีใจรักความสวยงามอยู่
วันนี้ได้แช่น้ำแร่แล้วรู้สึกสบายไปทั้งตัวจึงเกิดอารมณ์จะหวีผมทรงเฟยเซียนจี้ แล้วสวมชุดแบบสตรีทั่วไปที่หรงจิงเตรียมไว้ให้
นางเดินออกจากประตูหน้าหอทิงเฟิงก็เห็นเสี่ยวลี่จื่อนั่งสัปหงกอยู่ที่ใต้ระเบียง
เซียงฉือหมุนตัวกลับเข้าห้อง หยิบผลไม้สดแล้วกอบไว้ในอกเดินเข้าไปข้างกายเสี่ยวลี่จื่อ ใช้ลิ้นจี่เคาะหน้าผากเขาเบาๆ
เสี่ยวลี่จื่อเบิ่งตาโตในทันที พลิกกายลงคุกเข่า รีบโขกศีรษะ
“กระหม่อมสมควรตาย กระหม่อมสมควรตาย!”
เขาคงจะหลับจนเบลอ คิดว่าถูกฝ่าบาทพบว่ากำลังแอบขี้เกียจอยู่จึงได้โขกศีรษะขออภัยอย่างไม่คิดชีวิต เซียงฉือรับไม่ได้จึงหัวเราะเบาๆ พูดขึ้น
“ฝ่าบาทไม่อยู่ เสี่ยวลี่จื่อไม่ต้องแสดงแล้ว”
พอเซียงฉือพูดออกไป เสี่ยวลี่จื่อได้ยินเสียงที่ไม่ใช่จึงเงยหน้าขึ้นช้าๆ เขาเห็นหน้าที่จะว่ายิ้มก็ไม่เชิงหากพยายามฝืนไว้อยู่ของเซียงฉือแล้วแต่ยังไม่ไว้ใจ เหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะกระแทกนั่งลงที่เดิมพูดขึ้น
“โถๆ แม่เจ้าประคุณของข้าเอ๊ย ท่านผู้เฒ่าแทบจะทำให้เสี่ยวลี่จื่อตกใจหัวใจกระเด็นออกมาแล้ว”
“ต่อไปท่านก็เดินดีๆ อย่าทำให้คนตกใจโดยไม่ส่งเสียงอีก พวกเราต่างรับใช้อยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ วันวันต้องระวังตัวเป็นหมื่นครั้งก็ยังไม่พอเลย”
เซียงฉือฟังคำโอดครวญของเขาแล้วก็ไม่โกรธ เพียงโอบผลไม้นั่งลงข้างตัวเขาแล้วส่งจานลิ้นจี่องุ่นต่างๆ ให้เขาทั้งหมดแล้วหัวเราะเบาๆ พูดต่อ
“ถ้าของกินเยอะขนาดนี้ยังปิดปากเจ้าไม่ลงละก็ เห็นทีจะต้องเรียกอาจารย์เจ้ามาสั่งสอนเจ้าให้ดีเสียแล้ว”
เซียงฉือเข้าตำหนักเจิ้งหยางมากว่าครึ่งเดือนแล้ว ที่ผ่านมาจะคุ้นเคยกับเสี่ยวลี่จื่อคนนี้ที่สุด เพราะในวันปกติเขาจะรับใช้อยู่ด้านหน้าตำหนัก เซียงฉือหากเห็นแก่นอนอาจมีบ้างที่ตื่นสาย เกรงว่าจะพลาดการรับเสด็จฝ่าบาทจึงต้องนัดแนะกับเขา
ทุกวันพอฝ่าบาทเลิกประชุมราชสำนักเช้า ในตำหนักเจิ้งหยางจะได้รับแจ้งก่อนเพื่อให้พวกคนที่ทำความสะอาดอยู่ออกไป ส่วนกงกงเสี่ยวลี่เมื่อได้รับแจ้งก็จะรีบไปแจ้งต่อเซียงฉือที่เกียจคร้านด้านใน
เพราะเป็นเช่นนี้ทั้งคู่จึงกลายมาเป็นเพื่อนกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่ในตำหนักเจิ้งหยาง