ตอนที่ 310 ประหวั่นพรั่นพรึง
ฮ่องเต้จะอย่างไรก็เป็นฮ่องเต้ เขาคือคนที่กุมอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน มีหรือที่จะยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง
ถึงจะผิดพลาดจริงเขาก็ไม่อาจยอมรับได้เด็ดขาด คนอื่นทำผิดได้แต่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ไม่ได้ นั่นเพียงเพราะ อำนาจและบารมีที่สูงส่งไร้เทียมทาน
ก่อนนางจะพูดก็ได้ไตร่ตรองแล้วแต่ว่ายังคงพูดออกไป ถึงนางแทบจะไม่มีความมั่นใจ แต่ก็หวังว่าฝ่าบาทจะสงสารนาง สงสารท่านปู่นางที่ชราแล้ว อย่างน้อยก็ให้ท่านได้มีที่อยู่อย่างสงบสบายในบั้นปลาย ไม่ต้องทนทุกข์ยากอยู่ในที่เหน็บหนาวเช่นนั้น
นางก้มหน้าน้อยๆ น้ำตาร่วงพรู หรงจิงที่มีทีท่าโกรธจัด เมื่อเห็นนางหลั่งน้ำตาเช่นนั้นก็เริ่มอ่อนลง
เซียงฉือรู้ดีว่าหากนางโอนอ่อนต่อฝ่าบาท วันหน้าย่อมสามารถขอร้องฝ่าบาทให้อภัยโทษแก่ครอบครัวนางได้
นางไม่ยินยอมให้บ้านสกุลอวิ๋นถูกตราหน้าว่าต้องโทษทุจริตปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบชั่วชีวิต นางไม่อาจทนเห็นท่านปู่ผู้ชราภาพต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงตลอดไป
สำหรับท่านปู่ที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีตลอดมา ชื่อเสียงเกียรติยศย่อมสำคัญกว่าสิ่งใด ความบริสุทธิ์สุจริตย่อมสำคัญกว่าทุกสิ่ง
นางเป็นหลานสาวของปู่ ดังนั้นนางจึงไม่กล้าเป็นเช่นนั้นและย่อมไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น นางจึงได้บังอาจคิดหวังให้ฝ่าบาทพิจารณาพิพากษาคดีนี้ใหม่
แต่นางยังพูดไม่จบฝ่าบาทก็พิโรธแล้ว พิโรธจริงๆ
ทำให้นางไม่กล้าพูดต่อ ได้แต่นิ่งเงียบคอยดูสีหน้าของหรงจิง
หรงจิงเห็นคนร้องไห้มาไม่น้อย หัวเราะก็มาก เขาคิดว่าตนเองชินชาไปแล้ว แต่ไม่คิดว่าเซียงฉือเพียงน้ำตาร่วงเบาๆ ไม่ได้ปล่อยโฮ ไม่ได้คร่ำครวญอ้อนวอนกลับทำให้เขาปวดใจยิ่งกว่า
หรงจิงมือถือพู่กัน ถอนใจ
“เซียงฉือ อย่าได้เรียกร้องให้มากนัก”
“ครั้งนี้ข้าจะถือว่าไม่ได้ยินคำพูดนี้มาก่อน เจ้าควรต้องไปอ่านประวัติศาสตร์ ให้เข้าใจว่าอะไรคือฮ่องเต้ อะไรคือขุนนาง แต่อดีตจวบปัจจุบันนักรบและบัณฑิตที่มีชื่อเสียงรับใช้ฮ่องเต้กันอย่างไร”
เมื่อหรงจิงพูดเช่นนี้ เซียงฉือพยักหน้ายอมรับ หรงจิงไม่อยากเห็นนางอีกจึงพูดขึ้นว่า
“เจ้าออกไปเถอะ คืนนี้ไม่ต้องรับใช้แล้ว”
เซียงฉือถอยออกเงียบๆ แล้วหมุนกายจากไป
หรงจิงอดไม่ได้ต้องถอนใจเบาๆ ถ้วยชาในมือค้างอยู่กลางอากาศ เขามองดูถ้วยชาที่เซียงฉือชงมาให้ มือถือค้างอยู่เช่นนั้นครุ่นคิดอยู่นาน แล้ววางลงโดยแรง
“นางบอกว่าเคยเกลียดมาก่อน บ้านกับเมือง สงสัยว่าในใจของหญิงสาวคนนี้ บ้านคงต้องเป็นลำดับแรก”
หรงจิงไม่ยอมให้ผู้อื่นล่วงรู้ความคิดของเขาอย่างเด็ดขาด เซียงฉือในตอนนี้จึงยิ่งไม่อาจจะรู้ได้
ตอนที่เซียงฉือเดินผ่านตำหนักด้านข้างได้หันกลับไปมองหรงจิง ได้เห็นตอนเขายกถ้วยชาขึ้นแล้ววางลงในที่สุด
ส่วนนางเองบังเกิดความไม่สบายใจเป็นอย่างมาก หวาดหวั่นจนไม่อาจสงบ
นางหันกายอีกครั้งแล้วออกไปจากหน้าตำหนักเจิ้งหยางเงียบๆ เดินกลับไปยังห้องของตน
นางวุ่นวายใจ ในความสับสนอดไม่ได้ต้องหงุดหงิด ทำไมนางไม่บอกว่าไม่เคยเกลียดนะ แต่โบราณมาการปฏิบัติต่อฮ่องเต้ก็เฉกเช่นเดียวกับบิดา ทั้งยังต้องฮ่องเต้ก่อนบิดาทีหลัง นางร่ำเรียนตำราปราชญ์มา สมควรต้องเข้าใจเหตุผลที่ปราชญ์เมธีแต่โบราณถ่ายทอดส่งต่อกันมา
นางนึกถึงตัวอย่างหนึ่งในตำราโบราณขึ้นมาได้
ในตำราว่าฮ่องเต้จัดงานเลี้ยงเหล่าขุนนาง เมื่อดื่มสุรากันไปสามรอบแล้ว ฮ่องเต้ตรัสถามเหล่าขุนนาง
ฮ่องเต้ถามว่า
‘ถ้าหากข้ากับบิดาของพวกท่านเกิดล้มป่วยลงพร้อมกัน ไม่ว่ายาอะไรก็รักษาไม่หายใกล้ม้วยมรณา แต่ขณะนั้นทุกท่านได้รับยามาเม็ดหนึ่ง ยาซึ่งมีเพียงเม็ดเดียว ทุกท่านต้องเลือกว่าจะให้บิดาหรือว่าข้ากินเพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป ไม่ทราบว่าพวกท่านจะเลือกกันอย่างไร’
เหล่าขุนนางใหญ่พากันอ้างอิงตำราหลักวิชา พากันแสดงความจงรักภักดีเป็นการใหญ่ แม้ว่าจะลำบากใจอย่างยิ่ง แต่ก็ตัดสินใจอย่างไม่คลอนแคลนว่าจะต้องช่วยฮ่องเต้
ฮ่องเต้ฟังเหล่าขุนนางพูดเสียตัวลอย แต่มีขุนศึกคนหนึ่งที่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้น
ตอนที่ 311 พลิกแพลง
ฮ่องเต้เห็นขุนนางใหญ่คนนั้นไม่พูดไม่จาอยู่นานรู้สึกสงสัยจึงได้ตรัสถาม ซึ่งเขาตอบว่า
‘กระหม่อมย่อมต้องช่วยบิดา นี่ยังจะมีอะไรต้องคิดมากอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ’
เขาเป็นคนเถรตรงและเป็นขุนนางสุจริต กับคำตอบของเขา บอกไม่ได้ว่าฮ่องเต้พอพระทัยหรือไม่พอพระทัย
ในตอนนั้นฮ่องเต้องค์นั้นเพียงถามขึ้นเรื่อยเปื่อยและไม่ได้คิดลงโทษเขาด้วยเรื่องนี้
แต่หลังจากนั้นอีกหลายปี คำพูดนี้ยังคงเป็นเงามืดอยู่ในพระทัยของฮ่องเต้และเพราะเขาถูกย้ายมาเป็นทหารรักษาพระองค์ ทำให้ฮ่องเต้มักนอนไม่หลับด้วยกลัวว่าจะถูกเขาทำร้าย เมื่อคิดไปคิดมาแล้วจึงเลิกใช้งานขุนศึกคนนั้นอีก
ไม่ว่าใครก็ตามย่อมต้องเกิดปมในใจต่อคำพูดลักษณะนี้ หากปมใจนี้ไม่สามารถคลายออกได้ ซ้ำยังสะสมเพิ่มขึ้นทุกวันก็จะกลายเป็นภัยร้ายแรงที่แฝงเร้นอยู่
โดยเฉพาะคนคนนี้คือหรงจิงที่เป็นคนมีความรู้สึกไว ทำงานด้วยความรอบคอบอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเป็นฮ่องเต้ที่อยู่ในจุดสูงสุดอีกด้วย
เมื่อเซียงฉือคิดถึงจุดนี้แล้วก็ยิ่งกระสับกระส่ายไม่อาจหลับลงได้ นางมองดูดวงจันทร์เศร้าหงอยเบื้องนอก ใจยังร้อนรุ่ม
คำพูดนั้นของนาง พลั้งปากพลาดไปแล้ว นางควรจะแก้ไขอย่างไร
เซียงฉือพลิกตัวมองเห็นโต๊ะหนังสือเบื้องหน้า ในเมื่อนอนไม่หลับก็ลุกขึ้นมาเลียนแบบหรงจิงด้วยการหัดคัดลายมือข้างหน้าต่าง
นางไม่มีเจตนาทำตัวเลียนแบบนาย แต่ทั้งด้านในและนอกของตำหนักเจิ้งหยางนี้ล้วนมีโต๊ะหนังสือตัวหนึ่งตั้งไว้ริมหน้าต่าง เพื่อจะได้อาศัยแสงสว่างที่ส่องเข้ามาจากข้างนอกในตอนกลางวัน เป็นการลดการใช้เทียนส่องสว่างในวัง
ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงเป็นผู้มัธยัสถ์ ทั้งยังมีฮองเฮาที่ทรงพระปรีชาในการจัดการดูแล การวางแผนในลักษณะนี้จึงสามารถปรับใช้ได้อย่างยาวนาน
เซียงฉือคลี่กระดาษ หยดน้ำสองสามหยดลงในจานหมึกแล้วฝนหมึกเบาๆ
ความคิดนางวูบขึ้นมาแวบหนึ่ง รู้สึกว่าเรื่องนี้ทำให้นางอ่อนล้าไปทั้งกายใจ
น้ำหมึกค่อยๆ เข้มขึ้น เซียงฉือยกพู่กันขึ้นเหนือโต๊ะ แต่ว่าตอนนี้นางไม่รู้ว่าควรเขียนอะไรดี
ฝึกหัดเขียนดีไหม หัดเขียนอะไรดีเล่า หรืออักษรคำว่าสงบดี
พลันเซียงฉือนึกถึงหลังจากที่หรงจิงระเบิดโทสะแล้ว ก็ไปเขียนอักษรตัวนี้กลับไปกลับมาอยู่บนโต๊ะ หรือบางทีอักษรตัวนี้จะช่วยได้กระมัง
นางจึงจรดพู่กันลงมือเขียนอย่างจริงจัง
ลายมือนางงดงามทีเดียว เพราะการพร่ำสอนของท่านปู่ทำให้นางเขียนอักษรได้หลายแบบ อีกทั้งยังรู้วิธีการพลิกแพลงแบบอักษร ที่ผ่านมามักรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสนใจ ตอนนี้นางคิดถึงลายพระอักษรของฮ่องเต้ขึ้นมา ซึ่งเป็นแบบที่นางไม่เคยเขียนมาก่อน
ในรูปแบบตัวอักษรทั้งหลาย นางถนัดอักษรตัวบรรจงและอักษรเสี่ยวจ้วน ส่วนหรงจิงเชี่ยวชาญอักษรสิงซูและอักษรตัวบรรจง
แต่ว่าอักษรตัวครู่ก่อน ไม่ได้เป็นทั้งแบบตัวบรรจงหรือสิงซู เพราะหากจะบอกว่าเป็นตัวบรรจงก็ออกจากตวัดเกินไป แต่หากเป็นสิงซู ก็ดูออกจะตัวกว้างใหญ่เกินไป เซียงฉือคิดมากเกินไปจนสมองเริ่มมึน
นางสะบัดศีรษะเพื่อจะได้ลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปเสีย จากนั้นจรดพู่กันลงไปเขียนอักษรตัวแรกออกมา
เมื่อลงมือแล้วก็ยากที่จะหยุดจึงเขียนไปเงียบๆ เรื่อยๆ จนไม่รู้สึกถึงเวลาที่ผ่านไป ไม่รู้กระทั่งว่าเขียนได้กี่มากน้อย จนกระทั่งน้ำหมึกเบื้องหน้าเหือดแห้ง กระทั่งมีคนมาเคาะประตู
เซียงฉือรู้สึกสงสัย ใครกันที่มาเคาะประตูในเวลานี้
คิดว่าฝ่าบาทคงมีเรื่องเรียกหาจึงได้ไปเปิดประตู ในวังนี้นอกจากผู้หญิงแล้วก็มีเพียงขันที นางจึงไม่ห่วงว่าบนร่างนางจะสวมเพียงชุดนอนและมีผ้าคลุมอยู่ผืนหนึ่งเท่านั้น
เมื่อประตูเปิดออก มีขันทียืนอยู่คนหนึ่งจริงๆ เซียงฉือกำลังจะเอ่ยปากสอบถาม ก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้นที่เบื้องหลังขันทีคนนั้น
เซียงฉือยืนอึ้งไปทันที สีหน้าผุดความไม่เข้าใจอีกทั้งหวั่นเกรง นางตกตะลึง คิดอยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก