ตอนที่ 312 แขกผู้มาเยือน
เซียงฉือเปิดประตู ถึงในใจจะยังอึ้งอยู่ แต่นับว่ายังหนักแน่นพอจึงผงกศีรษะให้กับคนที่มา
คนที่อยู่ด้านนอกไม่ใช่ใครอื่นก็คือคนแรกที่บังคับให้นางทำในสิ่งที่นางไม่อยากทำตั้งแต่เข้ามาอยู่ในวัง ใช้ทั้งพระเดชพระคุณ ทำให้นางไม่อาจหลุดพ้นจากแรงดึงดูดและกับดักของฝ่ายตรงข้ามได้
“หวังหมัวหมัว มาเสียมืดค่ำเลย”
เซียงฉือเปิดประตูแล้วทักไปอย่างใจเย็น แต่หวังหมัวหมัวเลิกคิ้ว แสยะยิ้มให้กับเซียงฉือ
วันนี้นางวาดปากแดงเข้ม ยามกลางวันน่าจะดูดีกว่านี้ แต่เพราะแสงในความมืดจึงทำให้แลดูน่าครั่นคร้าม
หรือว่าหวังหมัวหมัวคนนี้จะชื่นชอบเป็นพิเศษกับการแต่งหน้าโดดเด่น พลอยพาให้กุ้ยเฟยชอบการแต่งหน้าเข้มเช่นนี้ไปด้วย
หวังหมัวหมัวเอ่ยปากขึ้นว่า
“ใต้เท้าอวิ๋นไม่พบกันเสียนาน กุ้ยเฟยให้มาเชิญ เตรียมตัวให้เรียบร้อยแล้วตามข้าไปเถอะ”
เซียงฉือมองดูซ้ายขวา วันนี้หวังหมัวหมัวไม่ได้พาองครักษ์มา แต่ข้างๆ ยังมีหมัวหมัวอีกสองคนและขันทีอีกสองคน แต่งขบวนมาขนาดนี้ ลำพังอวิ๋นเซียงฉือตัวเล็กๆ คนเดียวน่าจะรับมือไม่ไหว
นางรู้สึกขึ้นมาในทันทีว่าการไปครั้งนี้จะต้องอันตรายอย่างยิ่ง เกรงว่าเรื่องของเซียงซือกับใต้เท้าเหอจิ่นเซ่อในวันนั้น จะทำให้กุ้ยเฟยรวมนางเข้าบัญชีแค้นไปด้วย
แม้จะอยู่ในช่วงคับขันแต่สมองนางปลอดโปร่ง ตอนนี้นางรู้สถานการณ์ของตัวเองดี หากตามไปแล้ว การถูกดุด่าทุบตีนับว่ายังเบา แต่หากกุ้ยเฟยไม่พอใจขึ้นมาจับนางโยนลงก้นบ่อ ในพระราชวังที่ใหญ่โตนี้ นางซึ่งเป็นเพียงข้าราชสำนักสตรีเล็กๆ ไม่อาจก่อให้เกิดฟองคลื่นอะไรขึ้นได้
เซียงฉือยิ้มกับหวังหมัวหมัว พูดว่า
“ข้าคิดอยู่แล้วว่าหวังหมัวหมัวมาถึงนี่จะต้องเพราะกุ้ยเฟยทรงมีรับสั่งเรียก ข้าไม่อาจชักช้า แต่ขอเข้าไปผลัดเสื้อผ้าก่อนแล้วจะตามหมัวหมัวไปได้หรือไม่”
เซียงฉือพูดแล้วคิดจะปิดประตู แต่ยังไม่ทันที่นางจะปิดก็ถูกมือใหญ่คู่หนึ่งจับดาลประตูไว้แน่น แววตายิ้มแย้มของหวังหมัวหมัวหายไป แต่กลับเย็นเยียบขึ้นมา
เซียงฉือตกใจกลัวแต่พยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่แสดงออกมา หัวเราะเบาๆ ถามว่า
“หมัวหมัวจะทำอะไร”
หวังหมัวหมัวมองดูนางอย่างรู้เท่าทันความคิด สายตามองเข้าไปทางด้านหลังเซียงฉือ ไม่เพียงแต่สายตาเท่านั้น ยังขยับเท้าก้าวเข้าไปข้างในอีกด้วย
เซียงฉือตกตะลึง นางคิดจะหนีออกไปทางประตูเล็กของอีกห้องหนึ่งในนี้ เพื่อวิ่งออกไปเรือนด้านหลังเรียกนางกำนัลหรือขันทีสักคนให้ตื่นแล้วไปแจ้งต่อซูกงกงเรื่องนี้ก็จะเรียบร้อย แต่คิดไม่ถึงว่าหวังหมัวหมัวจะเจ้าเล่ห์มากเหลี่ยมรู้เท่าทันความคิดของนาง ถึงกับเดินเข้ามา
เซียงฉือเลิกคิ้วมองหวังหมัวหมัวอย่างโกรธๆ แต่ถึงจะโกรธขนาดนั้นก็ไม่อยู่ในสายตาของหวังหมัวหมัว
นางเดินเตร่เข้าไปในห้อง มองซ้ายแลขวาแล้วเดินไปที่หน้าโต๊ะ เมื่อเห็นลายมือของเซียงฉือก็เปลี่ยนกิริยาเป็นอีกแบบหนึ่ง
“ลายมือใต้เท้าอวิ๋นงดงามดีทีเดียว แต่ช่างน่าเสียดายมือที่มีฝีมือคู่นี้นัก”
หวังหมัวหมัวดูเหมือนทอดถอนใจ แล้วสั่งหมัวหมัวใต้บัญชาทั้งสองว่า
“พาไปทั้งแบบนี้ กุ้ยเฟยไม่ชอบรอใคร”
เซียงฉือตกตะลึง นางถูกหมัวหมัวสองคนจับไว้ พอนางขยับจะร้องเรียกคนก็ได้ยินเสียงหวังหมัวหมัวดังขึ้นที่เบื้องหลัง
“หากเจ้าไม่ต้องการตายอยู่ที่นี่ก็หุบปากเสีย กุ้ยเฟยเพียงมีเรื่องต้องการถามเจ้าเท่านั้น”
เซียงฉือนิ่งอึ้ง นางได้ยินคำพูดหวังหมัวหมัวและเห็นคมมีดวับวาวในมือนางที่จ่ออยู่ช่วงเอวตน ความหนาวเย็นวาบขึ้นกลางหลัง ไม่กล้าพูดอะไรอีกเลย
ตอนที่ 313 ไม่ได้การ
เซียงฉือถูกคุมตัวส่งไปถึงตำหนักอวี้หยวน ทำงานอยู่ในตำหนักมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ไม่รู้เลยว่าในห้องกุ้ยเฟยยังมีห้องเช่นนี้อยู่ด้วย สถานที่มืดมิดไม่ต่างกับห้องคุมขัง มีเพียงโคมไฟข้างกำแพงที่ส่องแสงเรื่อเรือง
เซียงฉือถูกโยนเข้าไปในนี้นางรู้สึกหนาวเย็น ในห้องมีเสียงหนูร้อง ทำให้นางตัวสั่นเทา
สมองคิดคำนวณอย่างว่องไวว่าเหตุใดกุ้ยเฟยจึงทำเช่นนี้ และพระนางคิดจะทำอะไร
หากนางหายตัวไปเฉยๆ ฝ่าบาทจะค้นหานางหรือไม่ แล้วใต้เท้าเหอเล่า
เซียงฉือคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า หากนางหายไป วันรุ่งขึ้นกลับไปไม่ได้แล้วละก็ ก็จะไม่สามารถกลับไปได้อีกตลอดกาล กุ้ยเฟยเพียงโยนนางลงในสระน้ำที่ไหนสักแห่งแล้วบอกว่านางจมน้ำตาย สำหรับอวิ๋นเซียงฉือผู้น้อยที่ไม่มีอำนาจและอิทธิพลคนนี้ จะมีใครที่จะใส่ใจจริงจังกัน
เมื่อคิดเช่นนี้ทำให้เซียงฉือมองโลกในแง่ร้าย ตอนนี้นางไม่รู้ว่าจะโน้มน้าวกุ้ยเฟยอย่างไร เพื่อให้นางยอมไว้ชีวิต
ความน่ากลัวในความมืดไม่ได้คงอยู่นาน แล้วเซียงฉือก็ได้เห็นกุ้ยเฟยปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหน้า
“อวิ๋นเซียงฉือ ใต้เท้าอวิ๋น ไก่ป่าที่คิดบินขึ้นยอดไม้ เจ้าคิดว่าติดขนนกยูงเข้าไปไม่กี่เส้นก็จะกลายเป็นหงส์แล้วสินะ ถึงกับกล้าล้อเล่นกับข้าเช่นนี้”
เซียงฉือได้ยินคำพูดกุ้ยเฟยเต็มไปด้วยการกล่าวโทษก็รีบคุกเข่าลง สถานะนางเป็นเพียงขุนนางขั้นที่เก้า ตามกฎบัญญัติแล้ว ขณะนี้จินกุ้ยเฟยดูแลวังหลังแทนฮองเฮาชั่วคราว นับเป็นผู้มีตำแหน่งใหญ่ขั้นที่หนึ่ง ส่วนนางเป็นเพียงขุนนางต๊อกต๋อยขั้นที่เก้า และเพิ่งถูกฝ่าบาทลดขั้นลงมาเป็นขั้นที่เก้าชั้นโทเมื่อไม่กี่วันก่อน
แย่ยิ่งกว่าขุนนางต๊อกต๋อยเสียอีก ยิ่งอยู่ต่อหน้ากุ้ยเฟยยิ่งเล็กเสียจนสุดเปรียบ แต่นางไม่กล้ามีคำพูดคับแค้นแต่อย่างไร
นางคุกเข่าลงพรึบแล้วโขกศีรษะสามครั้งจึงได้พูดโต้ตอบ
“เหตุใดกุ้ยเฟยตรัสเช่นนี้เพคะ สิ่งที่หม่อมฉันได้มาล้วนแต่เป็นเพราะพระองค์ประทานให้ หม่อมฉันไม่กล้าอกตัญญูต่อพระองค์ แต่ไม่ทราบว่าหม่อมฉันบังอาจล้อเล่นกับพระองค์ตั้งแต่เมื่อไรเพคะ คงจะเข้าพระทัยสิ่งใดผิดหรือไม่เพคะ”
เมื่อได้ฟังคำพูดกุ้ยเฟย สมองเซียงฉือต้องคิดกลับไปมาหลายรอบ จะว่าเป็นเรื่องของเซียงซือแต่นั่นก็ผ่านไปกว่าครึ่งเดือนแล้ว หากกุ้ยเฟยมีอะไรไม่พอใจ โดยนิสัยของนางคงจะเกิดเรื่องขึ้นนานแล้ว
ไม่รู้ว่าครั้งนี้มีเรื่องอะไรที่ไปยั่วยุนางเข้า เซียงฉือรู้สึกว่าคำพูดนางในตอนนี้เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
เซียงฉือคิดย้อนกลับไป ได้ยินเสียงกุ้ยเฟยพ่นลมเย็นพรืด ทำให้นางไม่กล้าคิดมากแล้วพูดอย่างจริงใจ
“หม่อมฉันเข้าวังมาไม่นานนัก แต่เดิมเป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยในโรงซักล้าง แต่เพราะกุ้ยเฟยทรงเมตตารับเข้าตำหนักอวี้หยวน หม่อมฉันจึงไม่ต้องเป็นคนรับใช้ในหมู่คนรับใช้อีก ดังนั้นจึงเคารพกุ้ยเฟยอย่างยิ่งตลอดมา พระกรุณาธิคุณของพระองค์มีแก่หม่อมฉันนับไม่ถ้วน หม่อมฉันย่อมไม่กล้าล้อพระองค์เล่นอย่างเด็ดขาด ขอพระองค์ทรงวินิจฉัยด้วยเถิดเพคะ”
เซียงฉือยืดตัวตอบกุ้ยเฟยอย่างนอบน้อมและถ่อมตัวอีกทั้งลนลานยิ่ง สายตานางมองไปยังหวังหมัวหมัวที่ด้านข้าง ตอนนี้ในห้องมีเพียงกุ้ยเฟยกับหมัวหมัวสามคนและขันทีอีกสองคน ไม่เห็นหลิ่วเหยียนกับหลิ่วจุ้ยที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายกุ้ยเฟย
เซียงฉืออดหวาดหวั่นมิได้ เดิมหวังว่าหลิ่วจุ้ยจะช่วยพูดให้นางได้บ้าง แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แสดงว่าตลอดมาที่กุ้ยเฟยเชื่อถือนั้นไม่ใช่พวกนาง
คิ้วเรียวของกุ้ยเฟยเลิกขึ้น มองดูเซียงฉือที่คุกเข่าอย่างเชื่อฟังแล้วบันดาลโทสะ
นางชี้จมูกเซียงฉือแล้วพูดอย่างดุร้าย
“ยังกล้ามาต่อปากต่อคำกับข้าอีก ตบปากนาง!”
เมื่อกุ้ยเฟยโกรธ คนเบื้องล่างใครเล่าจะกล้าออมมือ ทันใดนั้นหมัวหมัวสองคนก็เข้าไปจับเซียงฉือไว้