ตอนที่ 316 ผูกปมแค้น
เซียงฉือก้มหน้าไม่พูดอะไรอยู่นาน กุ้ยเฟยเหยียบนิ้วมือนาง ตอนนี้นิ้วเริ่มเปลี่ยนสีแล้ว ใบหน้าที่แดงก่ำ ใครเห็นเข้าก็รู้สึกเจ็บปวดไปด้วย แต่เซียงฉือกลับไม่ร้องสักแอะ
หวังหมัวหมัวเห็นแล้วก็ดึงกุ้ยเฟยไว้ แล้วคอยปลอบเตือน
“กุ้ยเฟยเพคะ อย่าทรงทำให้เสียการใหญ่เพราะความพิโรธในครั้งนี้เลยเพคะ นายท่านที่บ้านสั่งไว้…”
กุ้ยเฟยได้ฟังคำเตือนของหวังหมัวหมัวแล้วจึงผ่อนแรงที่เท้าลง แล้วค่อยๆ เคลื่อนเท้าดอกบัวทองของนางออกจากมือของเซียงฉือ
ส่วนเซียงฉือก็เพราะได้ยินคำเตือนของหวังหมัวหมัวนั้น คนทุกคนล้วนปรารถนามีชีวิตยืนยาวต่อไป นางก็เช่นกัน ทำให้ได้คิดอย่างกระจ่าง นางจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะต้องมีชีวิตจึงจะมีความหวัง
กุ้ยเฟยถอนเท้าออกจากมือของเซียงฉือ แต่ในขณะต่อมาก็ยันเท้านั้นไปบนอกนาง เตะจนนางล้มเอียงลงไปข้างหนึ่ง
“โอ๊ย!”
เซียงฉือไม่ทันรู้ตัว กุมหน้าอกไว้ นอนอยู่บนพื้นที่เย็นเฉียบแล้วร้องออกมาด้วยความตกใจ
นางเจ็บปวดบริเวณหน้าอกราวกับเกิดการฉีกขาด แต่นางกัดฟันแน่นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา บอกตัวเองว่าจะต้องไม่เป็นไร
ถึงจะเป็นข้าราชสำนักสตรีแล้ว แต่ในสายตาของจินกุ้ยเฟยอย่างไรก็ยังเป็นคนรับใช้ จะมีตัวตนอยู่หรือไม่ก็ไม่สนใจ จะตบตีฆ่าให้ตายก็ได้ตามอารมณ์
พอได้ทำเช่นนี้แล้วกุ้ยเฟยจึงคลายโทสะลงบ้าง นางนั่งลงบนเก้าอี้ข้างหลังแล้วมองเซียงฉือด้วยสายตาเยือกเย็น
‘เชอะ นางเป็นตัวอะไร ข้ายังต้องไปอ้อนวอนต่อนางด้วยหรือไร’
เซียงฉือหมอบยิ้มหยันอยู่บนพื้น จินกุ้ยเฟย ปมแค้นของพวกเราในวันนี้ เจ้าได้เพาะมันขึ้นแล้ว
เซียงฉือคิดในใจอย่างดุดัน แล้วพยายามยันตัวลุกขึ้น
นางส่งเสียงไออย่างไร้เรี่ยวแรง หน้าอกถูกเท้านั้นถีบจนเจ็บปวด แม้จะหายใจยังต้องระมัดระวัง
กุ้ยเฟยพูดจาอำมหิต แต่เซียงฉือดูจากท่าทางของหวังหมัวหมัวแล้วก็รู้ว่าทั้งหมดเมื่อครู่นั้นเป็นเพียงการระบายอารมณ์ที่อัดอั้นไว้ในช่วงนี้ของกุ้ยเฟยจึงเจตนาลงมือกับนาง
แต่ในความเป็นจริง วันนี้พวกนางเพียงมีคำพูดที่จะบอกกับเซียงฉือและให้นางไปปฏิบัติ
เมื่อเป็นเช่นนี้นางจึงเลิกหวั่นเกรง เพราะว่านางมีไพ่ตายดังนั้นจึงบังเกิดความกล้าขึ้น
เซียงฉือในตอนนี้มีความกล้าขึ้นอีกมาก ในเมื่อยังคงมีชีวิตอยู่แล้วนางยังจะเกรงกลัวอะไร
หวังหมัวหมัวเห็นเซียงฉือเป็นพวกหัวแข็ง แต่ท่าทางยังคงโอนอ่อนจึงหมายว่าเซียงฉือในตอนนี้ยังคงเป็นเด็กในโรงซักล้างเมื่อวันวานคนนั้น
เพียงนางพูดอะไรก็ได้ไม่กี่คำก็สามารถหลอกและกล่อมได้สำเร็จ แต่ในตอนนี้เซียงฉือรู้เสียแล้วว่าหวังหมัวหมัวเป็นคนแบบไหน นางถึงดูเข้มแข็งแต่แท้จริงขี้ขลาดตาขาว เป็นประเภทแข็งนอกอ่อนใน
หลายปีมานี้หวังหมัวหมัวอาศัยความรักและไว้วางใจจากบ้านสกุลจินกับจินกุ้ยเฟย ทำให้พอมีฐานะอยู่บ้างในวังหลวงนี้ ทั้งยังมีอำนาจมากกว่าข้าราชสำนักสตรีบางจำพวกเสียอีก แต่ว่านางมีความผิด ฐานละโมบละเมิดกฎหมาย รับสินบน ทำร้ายนางกำนัลจนตาย ลงทัณฑ์โดยพลการ หากเพียงมีคนลงไปตรวจสอบ ถึงนางจะเพิ่มปากมาอีกหนึ่งปากก็ไม่สามารถแก้ตัวได้
เรื่องราวมากมายในวังนี้ ไม่มีคำว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง สิ่งสำคัญนั้นขึ้นอยู่กับว่าฮ่องเต้ปรารถนาจะให้เป็นถูกหรือผิด
ขณะนั้นเซียงฉือเข้าใจเหตุผลนี้ยิ่งขึ้น ตั้งแต่นางได้ฟังเรื่องทำนองนี้มาจากเหอจิ่นเซ่อ ตลอดมาที่อยู่ข้างกายฝ่าบาทจึงคอยสังเกต และตอนนี้นางกระจ่างแล้วว่าเพราะเหตุใดทั้งกุ้ยเฟยและซูเฟยจึงต่างจ้องตำแหน่งคนที่จะอยู่ข้างกายฝ่าบาทนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย
ตอนนี้เซียงฉือรู้แล้ว เพราะนางสามารถรู้ความลับในราชสำนักส่วนหน้า อีกทั้งเป็นหูตาของวังหลัง ถ้าหากฝ่าบาทไว้วางใจนาง นางก็จะมีฐานะเป็นขุนนางใหญ่ข้างกายฝ่าบาทที่ทรงใกล้ชิดและไว้เนื้อเชื่อใจที่สุด ซึ่งไม่มีใครเปรียบด้วยได้
ตอนที่ 317 หวังหมัวหมัว
หวังหมัวหมัวคิดใคร่ครวญอยู่นาน เห็นกุ้ยเฟยของตนโกรธเคืองอยู่เช่นนั้น คิดว่าคงจะลืมเรื่องงานใหญ่ไปเสียสิ้นแล้ว เมื่อกุ้ยเฟยไม่พูด เรื่องพวกนี้ย่อมต้องเป็นนางที่จะพูดขึ้น จึงเริ่มทำลายความเงียบอันน่ากระอักกระอ่วนในห้องนั้นขึ้นมา
“เซียงฉือ กุ้ยเฟยทรงว่าเจ้าเช่นนี้ก็เพื่อจะให้เจ้าได้ดี แต่ก็ไม่เป็นไปตามพระราชประสงค์ เจ้าต้องรู้นะว่าที่เจ้าสามารถเป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษรได้ก็เพราะกุ้ยเฟยทรงบ่มเพาะเจ้า เจ้าควรต้องสำนึกและตอบแทนในพระกรุณาธิคุณ อย่าได้มีใจคิดคดทรยศ”
หวังหมัวหมัวเดิมเป็นคนที่ฉลาดมากคนหนึ่ง แต่คำพูดที่พูดออกมาตอนนี้ ทำให้เซียงฉืออดที่จะเหยียดหยามไม่ได้
นางรู้จักคิดเห็นแก่หน้ากุ้ยเฟยมาตั้งแต่เมื่อไรกัน นี่จะขอร้องคนแต่ใช้คำพูดเช่นนี้ เห็นนางอวิ๋นเซียงฉือคนนี้เป็นเพียงสุนัขข้างกายจินกุ้ยเฟยตัวหนึ่งจริงๆ หรือ ที่ไม่ว่าจะดุด่าทุบตีดูถูกอย่างไรก็ยังคงจงรักภักดีไม่เป็นอื่นต่อนาง
แต่ถึงเซียงฉือจะรู้เท่าทันความคิดนาง ทว่าในสภาพตอนนี้ เหมือนดั่งอยู่ใต้ชายคาบ้านเขาย่อมมิอาจไม่ก้มศีษะลงต่ำ
เซียงฉือผงกศีรษะเบาๆ ตอบไปช้าๆ
“เจ้าค่ะ หวังหมัวหมัวกล่าวชอบแล้ว”
ดูเหมือนว่าพวกนางจะเห็นนางภักดีอย่างโง่ๆ เกินไปแล้ว อวิ๋นเซียงฉือลักษณะนั้น แม้ตัวนางเองก็ยังไม่รู้จัก
ส่วนจินกุ้ยเฟยในตอนนี้ก็เป็นเพียงหญิงที่เอาแต่คลุ้มคลั่ง เพียงแค่เห็นเซียงฉือก็คิดถึงวันนั้นที่หลิ่วเหยียนไปรายงานนางว่าฝ่าบาทพาเซียงฉือไปยังหอทิงเฟิงด้วย ทำให้นางคับแค้นใจไปตลอดบ่าย ดีที่หวังหมัวหมัวรั้งนางไว้ มิเช่นนั้นนางคงจะให้ตีเซียงฉือจนตายไปแล้ว ไม่มีทางที่จะให้นางได้มาพูดอยู่เบื้องหน้าตนเช่นนี้
หวังหมัวหมัวเห็นจินกุ้ยเฟยที่ข้างกายแล้วก็ได้แต่ปวดหัว ความจริงกุ้ยเฟยบอกกับนางแล้วว่าจะไม่ลงไม้ลงมือกับเซียงฉือ จะคุยกับนางด้วยเหตุผลและซื้อนางด้วยใจแต่พอได้เห็นเซียงฉือเข้าเท่านั้น เรื่องเหล่านี้ก็ถูกกุ้ยเฟยลืมไปไกลสุดขอบฟ้าแล้ว
ถึงแม้หวังหมัวหมัวจะไม่ต้องการให้รูปการณ์ออกมาเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อเจ้านายตนต้องการจะลงโทษข้าราชสำนักสตรีสักคน นางคิดดูแล้วก็ไม่เห็นว่าข้าราชสำนักสตรีคนนั้นจะกล้าโอดครวญขึ้นมา
เพราะในสายตานาง จินกุ้ยเฟยมีฐานะสูงส่งเป็นที่รักใคร่ของฝ่าบาท ขอเพียงให้กำเนิดพระโอรส ย่อมได้กลายเป็นฮองเฮาอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นก็จะได้คุมฝ่ายในทั้งหมด นางที่เป็นเพียงข้าราชสำนักสตรีขั้นที่เก้าเท่านั้น จะถูกตีถูกดุด่าบ้างจะเป็นไรไป
นางมีกำพืดเป็นเพียงคนรับใช้ไม่เคยเป็นเจ้านายมาก่อน ย่อมไม่อาจเข้าใจความคิดของเซียงฉือ เพราะเป็นคนรับใช้จึงรู้แต่ว่าหากเจ้านายจะตีจะด่าอย่างไรย่อมไม่อาจจะโอดครวญได้ ก็ใครใช้ให้พวกนางเกิดมาเป็นคนรับใช้กันเล่า
ที่หวังหมัวหมัวห้ามไว้ก็เพียงเพราะกังวลใจ กุ้ยเฟยเหยียบทำลายมือนาง เรื่องนี้ไม่ดีเท่าไรนัก เพราะจะทำให้มีบาดแผลอยู่บนร่างกายนาง แล้วจะไปรับใช้ฝ่าบาทได้อย่างไร
เซียงฉือได้รับการเลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่มาตั้งแต่เกิด ย่อมไม่ยอมให้ตนเองต้องรับความอยุติธรรมเช่นนี้ ดังนั้นทั้งสองคนจึงต่างไม่เข้าใจการกระทำของอีกฝ่าย
หวังหมัวหมัวมองดูท่าทีของกุ้ยเฟยแล้วพูดต่อไป
“ใต้เท้าอวิ๋น ตอนนี้ท่านอยู่ข้างกายฝ่าบาท ด้วยสติปัญญาของท่านคงต้องรู้เรื่องราวของบ้านสกุลจินจากราชสำนักฝ่ายหน้าได้เป็นแน่ กุ้ยเฟยทรงกังวลเรื่องเก่าของบ้านทางมารดา หวังว่าใต้เท้ารู้แล้วจะไม่อมพะนำไว้”
หวังหมัวหมัวกำลังทำเรื่องชั่วแต่แสร้งทำเป็นคนประเสริฐ เห็นอยู่ว่าต้องการจะรู้เจตนาของหรงจิงจากเซียงฉือ แต่ยังคงจงใจทำพูดอ้อมค้อม เซียงฉือติดตามอยู่ข้างกายฝ่าบาททุกวัน ถึงจะไม่จดจำอะไรจริงจัง แต่มีหรือที่นางจะดูเรื่องบางเรื่องไม่ออก
แต่สิ่งที่นางได้รู้เห็น เหตุใดต้องมาบอกกับพวกนางด้วยเล่า
อีกทั้งคืนนี้ตอนที่ออกจากตำหนักหน้าเจิ้งหยางนางได้พบกับซูกงกงเข้า ทำให้นางเข้าใจอย่างกระจ่างแล้วว่าเพราะเหตุใดฝ่าบาทจึงได้พิโรธเป็นฟืนเป็นไฟในวันนี้