ตอนที่ 326 พบตัวเซียงฉือ
กุ้ยเฟยเพิ่งพูดจบหรงจิงยังไม่ทันเอ่ยปาก สวี่อี้ก็ได้ผลักประตูหน้าห้องนอนกุ้ยเฟยนำเอาความเย็นเข้ามา เมื่อเข้าไปใกล้แล้วจึงคุกเข่าลงต่อหน้าหรงจิง พูดขึ้นเสียงทุ้มว่า
“สวี่อี้ถวายบังคมฝ่าบาท พบตัวอวิ๋นเซียงฉือแล้วเพคะ ตอนที่พบนางถูกคนตีสลบไป หม่อมฉันได้อ้างพระดำรัสฝ่าบาทไปเชิญข้าราชสำนักสตรีจากกองโอสถคนหนึ่ง ตอนนี้นางฟื้นแล้ว ฝ่าบาทจะทรงพบหรือไม่เพคะ”
สวี่อี้เข้ามาเพื่อถามฮ่องเต้ แต่จินกุ้ยเฟยแค้นเคืองจนแทบจะเข้ากัดคน คนสลบก็ปล่อยให้สลบไปสิ เหตุใดต้องไปเรียกข้าราชสำนักสตรีไปช่วยให้นางฟื้นขึ้นมาด้วย แถมยังหามมาถึงหน้าประตูเพื่อจะถามฝ่าบาทว่าจะพบหรือไม่ มีหรือที่ฝ่าบาทจะไม่พบ
แม้ใจจินกุ้ยเฟยจะร้อนรนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เห็นแต่ฝ่าบาทพยักหน้าให้นำคนเข้ามา
เหตุที่กุ้ยเฟยจัดให้ฝ่าบาทเข้าห้องเพื่อพักผ่อนก่อนนั้นเพราะทางเข้าห้องลับก็คือเตียงหยกอันประณีต มีไม้สาลี่ฉลุเป็นรูปมังกรเคียงคู่หงส์นั่นเอง
เพียงนางยืนอยู่ตรงนั้น ต่อให้ทั้งห้องนอนจะถูกพลิกค้นสักกี่รอบก็ย่อมไม่อาจพบจุดน่าสงสัย
ขณะนางกำลังได้ใจอยู่ก็ได้ยินสวี่อี้กลับมารายงานว่าหาคนคนนั้นพบแล้ว
กุ้ยเฟยมองหวังหมัวหมัวที่ด้านหลังด้วยไฟโทสะลุกท่วม แต่ยังต้องฝืนยิ้มอิงแอบอยู่ข้างกายฮ่องเต้อย่างนุ่มนวล
เซียงฉือออกจากห้องลับโดยมีคนสามคนช่วยกันหามออกไปกระทั่งเปลี่ยนเป็นคนเดียวแบกพาดบ่าไว้ นางรู้สึกแต่เพียงโลกหมุนไปหมด แสงสว่างยิ่งมืดลงทุกทีคิดถึงคำสั่งของกุ้ยเฟยขึ้นมาก็รู้ว่าจะให้นำนางไปยังที่ลุ่มชุ่มน้ำ หรือก็คือที่ที่หลิวชิงตายตรงนั้น
เซียงฉือคิดว่าตนยังสามารถรักษาชีวิตอยู่ได้นับว่าดีไม่น้อยแล้ว แต่ทว่า เดินไปยังไม่ไกลมากนักก็ได้ยินเสียงตะโกนสอบถามมาแต่ไกล แล้วองครักษ์ที่ถือโคมไฟหลายคนก็กรูกันเข้ามา ขันทีคนนั้นจึงโยนเซียงฉือลงพื้นอย่างแรงแล้วหลบหนีไป
เซียงฉือทั้งกลัวและตกใจ วิงเวียนฟุบอยู่บนพื้นสลบไปในทันที
นางไม่รู้ว่าตนเองกลับมาตำหนักอวี้หยวนได้อย่างไร แต่ตอนที่ฟื้นขึ้นมาก็กำลังได้รับการป้อนยาจากสตรีที่นั่งหาว แต่งกายด้วยชุดชาววังสีเหลืองอ่อน
ถัดจากนั้นจึงเห็นสวี่อี้ปรากฏออกมาที่เบื้องหน้า เซียงฉือเห็นสวี่อี้ถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจอย่างถึงที่สุด
สวี่อี้รู้ว่านางผ่านความตกใจกลัวมาจึงลูบหลังนางเป็นการปลอบโยน
แล้วบอกกับนางว่าเรื่องนี้ฝ่าบาทจะให้ความเป็นธรรมกับนาง ขอเพียงให้นางพูดความจริง ฝ่าบาทจะต้องใช้เรื่องนี้ลงโทษกุ้ยเฟยอย่างสาสม
เซียงฉือรับฟังด้วยความซาบซึ้งใจ
แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรสวี่อี้ก็รีบผละไป แล้วนางก็มารอคอยการเรียกตัวอยู่ด้านนอกห้องบรรทมในตำหนักอวี้หยวน
แต่สิ่งที่เซียงฉือกำลังคิดอยู่นี้มีมากกว่าที่สวี่อี้บอกไว้เมื่อครู่มากนัก
เพราะนางในขณะนี้ไม่อาจจะทำอะไรโดยผลีผลามได้
ฮ่องเต้มีรับสั่งให้เซียงฉือเข้าเฝ้า นางจัดแจงตนเองแล้วเดินเข้าห้องบรรทมไปช้าๆ หยุดยืนอยู่เบื้องหน้าห่างจากที่นั่งหรงจิงไปช่วงหนึ่ง
แล้วค้อมกายทำความเคารพตามแบบฉบับข้าราชสำนักสตรี
“หม่อมฉันอวิ๋นเซียงฉือ ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมกุ้ยเฟยเพคะ”
เมื่อพูดจบนางก็ทำความเคารพใต้เท้าเหอที่ข้างกายฮ่องเต้ตามธรรมเนียม เพราะว่านางเป็นราชเลขาในกองงานของอีกฝ่าย
เหอจิ่นเซ่อพยักหน้าให้นางน้อยๆ แต่กับคำพูดที่สวี่อี้กระซิบที่ข้างหูเมื่อครู่ นางส่ายหน้าเบาๆ
แต่ในตอนนี้นางไม่อาจให้คำแนะนำกับเซียงฉือได้ทันจึงได้แต่หวังว่านางจะไม่วู่วามเป็นดีที่สุด
เซียงฉือยืนนิ่งมองดูกุ้ยเฟยกับฝ่าบาทด้วยท่าทางสงบไม่มีความคับแค้นแม้แต่น้อย นางสงบนิ่งอย่างยิ่ง สงบเรียบราวสายน้ำดุจเดียวกับในวันอื่นๆ
ตอนที่ 327 กุ้ยเฟยข่มขู่
หลังจากเซียงฉือทำความเคารพอย่างนอบน้อมแล้วก็ยืนนิ่งอยู่ด้านหน้าไม่พูดสักคำ ไม่เอ่ยสักครั้ง สวี่อี้ร้อนรนจนต้องพูดขึ้นก่อน
“ฝ่าบาท ใต้เท้าอวิ๋นถูกลักพาตัวจนบัดนี้ยังคงหวาดผวาอยู่ เช่นนั้นยังคงให้หม่อมฉันเป็นคนทูลเรื่องราวความเป็นไปจะดีกว่า หากมีจุดที่ขาดตกไป ขอฝ่าบาททรงโปรดให้ใต้เท้าอวิ๋นทูลถวายเพิ่มเติมเพคะ”
การที่สวี่อี้ลนลานเอ่ยออกมาไม่ใช่เพราะต้องการทำอะไรกุ้ยเฟย แต่เพราะนางถือว่าเซียงฉือเป็นดั่งเพื่อนรู้ใจ ในเมื่อกุ้ยเฟยคิดจะกำจัดนาง หากช้าไปเพียงแค่ก้าวเดียว เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเซียงฉือจะถูกคนฆ่าตายอย่างเงียบเชียบไปแล้ว เมื่อย้อนคิดขึ้นมาทำให้นางหวาดหวั่น
หรงจิงไม่พูดอะไรแสดงว่าอนุญาตแล้ว สวี่อี้จึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ทั้งหมดออกมาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง หนำซ้ำยังบรรยายเหตุการณ์ตอนพบเซียงฉืออย่างละเอียดเกินจริงด้วยเสียงเศร้าเคล้าน้ำตา
กุ้ยเฟยฟัง แม้ใจจะโกรธจนแทบทนไม่ไหว แต่ตอนนี้อย่างมากที่นางทำได้คือคอยดูสีหน้าหรงจิงด้วยใจหวาดหวั่นกังวล
สวี่อี้พูดจบไปแล้วเซียงฉือก็ยังไม่พูดอะไรเหมือนคนได้รับบาดเจ็บสาหัส เอาแต่มองดูตาหรงจิงอย่างสงบนิ่ง
หรงจิงก็มองดูนางเช่นกัน ดวงตาคู่นั้นบ่งบอกความรู้สึกมากมายทั้งความอยุติธรรม โกรธเคืองและอดกลั้น
เมื่อมองออกเช่นนั้นหรงจิงก็ไม่พูดอะไร จินกุ้ยเฟยจึงได้พูดขึ้น
“โถ ฝ่าบาททรงฟังสิเพคะ ใต้เท้าสวี่อี้มีวาทศิลป์ยิ่งนัก เล่าเรื่องที่เซียงฉือประสบมาเสียจนฟังแล้วสงสารจับใจ เห็นแล้วน้ำตาไหล หม่อมฉันเสียอีกไม่มีความสามารถเช่นนี้”
“แต่ว่าฝ่าบาท เซียงฉือเดิมเป็นคนที่ออกไปจากตำหนักของหม่อมฉัน หม่อมฉันเอ็นดูนางมาโดยตลอด นางเข้ามาในตำหนักอวี้หยวนได้ไม่ถึงสามเดือน หม่อมฉันก็เลื่อนนางจากนางกำนัลขั้นที่สามไปเป็นนางกำนัลขั้นที่หนึ่งแล้ว และเมื่อนางมีความสามารถจะไปสอบเป็นข้าราชสำนักสตรี หม่อมฉันก็สนับสนุนนางทุกอย่าง”
“โถๆๆ เดิมนางเป็นทายาทของขุนนางต้องโทษ ทั้งครอบครัวควรต้องถูกประหารหลังฤดุใบไม้ร่วง แต่เพราะฝ่าบาททรงมีเมตตาธรรม สั่งนิรโทษกรรมทั่วทั้งหล้านางจึงยังคงมีชีวิตมาอยู่รับใช้ข้างพระองค์เช่นนี้ คนอะไรช่างน่าสงสารนัก เหตุใดชะตาชีวิตถึงได้น่าเศร้าแบบนี้”
เมื่อกุ้ยเฟยพูดถึงจุดที่สะเทือนใจน้ำตาก็ไหลอาบหน้า ทำให้คนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางคิดว่านางสงสารเซียงฉืออย่างจริงใจ
เซียงฉือผุดยิ้มหยันที่มุมปาก แต่ก็หุบแล้วสำรวมอย่างเรียบร้อย คำพูดตอนท้ายของกุ้ยเฟย สำหรับนางแล้ว ไม่ต่างกับถูกธนูนับพันทะลวงหัวใจ
กุ้ยเฟยพูดออกมาแบบนั้นก็ไม่มีใครไปโต้แย้งกับนาง หรงจิงเอาแต่นิ่งเงียบ มองดูทุกเรื่องราวทุกสิ่งอันที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า
กุ้ยเฟยพูดขึ้นทันทีอีกว่า
“เซียงฉือเอ๊ย ดูร่างกายที่บาดเจ็บไปทั่วของเจ้าสิ ถ้าหากคนในครอบครัวของเจ้าที่ทำงานหนักอยู่ในค่ายทางตะวันตกเฉียงเหนือเห็นเข้าละก็ ไม่รู้ว่าจะต้องเสียใจขนาดไหน ฝ่าบาทเพคะ เดิมบ้านสกุลอวิ๋นก็เป็นตระกูลขุนน้ำขุนนางใหญ่ นางเองก็เป็นคุณหนูใหญ่สายเลือดตรงที่ถูกฟูมฟักเลี้ยงดูมาอย่างดี หม่อมฉันดูออกว่านางเป็นคนน่ารักน่าสงสาร ทั้งยังรู้การรู้งานดีที่สุดอีกด้วย”
กุ้ยเฟยพูดเช่นนี้ทำให้เซียงฉือหนาวสะท้านและร่างสั่นเทาขึ้นมา แต่ก็กลับมาสงบลงได้โดยเร็ว
เรื่องที่ครอบครัวบ้านสกุลอวิ๋นถูกส่งไปทำงานหนักทางตะวันตกเฉียงเหนือเซียงฉือย่อมรู้ดี เดิมนางเป็นนางกำนัลเล็กๆ ถูกปิดกั้นจากข่าวคราว ทำให้ไม่รู้เรื่องราว
แต่ตั้งแต่ไปรับใช้อยู่ข้างกายกุ้ยเฟย เพื่อที่จะให้คนในครอบครัวมีความเป็นอยู่ดีขึ้นจึงได้อ้อนวอนกุ้ยเฟยให้เขียนจดหมายถึงบิดาของนางที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ให้ช่วยดูแลครอบครัวนางด้วย
แต่นางไม่คิดว่าพอมาถึงวันนี้เรื่องนี้กลับกลายมาเป็นจุดอ่อนของนาง แต่จะให้นางทำอย่างไรได้
จึงเพียงยิ้มแล้วตอบไป
“กุ้ยเฟยทรงมีพระเมตตา มีพระกรุณาธิคุณต่อหม่อมฉันอย่างล้นพ้นซึ่งหม่อมฉันจดจำไว้เสมอมา มิกล้าลืมเลือนเพคะ”