ตอนที่ 332 จากไป
ตำหนักอวี้หยวนเป็นตำหนักที่อยู่ใกล้ตำหนักเจิ้งหยางที่สุด หากมิใช่เช่นนี้ ในตอนนั้นจินกุ้ยเฟยคงไม่ทูลขอฝ่าบาทให้บูรณะขึ้นใหม่เพื่อให้เป็นตำหนักของนาง
ค่ำคืนฤดูร้อนลมพัดเย็นให้ความรู้สึกสบาย หรงจิงไม่นั่งเกี้ยว ค่อยๆ เดินไปสองคนกับเซียงฉือ
หรงจิงมีคำถาม เซียงฉือก็มี แต่ทั้งสองคนเดินมุ่งหน้าไปทางตำหนักเจิ้งหยางอย่างเงียบๆ
สายลมโชยมาทำให้กิ่งไม้เบื้องหน้าสั่นไหว เช่นเดียวกับโคมไฟในมือเซียงฉือที่สั่นจนละลานตา นางจึงหยุดเดินเพื่อจับโคมไฟให้นิ่งจึงได้เห็นดอกไม้ร่วงปลิวออกมาจากดงดอกไม้ข้างหน้า
“เมืองหลวงตั้งอยู่ทางด้านเหนืออากาศสดใสดอกท้อก็จึงบานให้เห็นอยู่ได้นาน แต่ถึงดอกจะสวยทว่าล่วงเลยช่วงเวลาผลิบานมาแล้ว ตอนนี้ดอกไห่ถังกำลังจะผลิบานละมัง”
หรงจิงเอ่ยขึ้นเรียบๆ ดวงตาพิจารณาเซียงฉือ คำพูดนั้นมีความหมายอย่างไรเซียงฉือไม่กล้าคาดเดา เพียงคล้อยตามคำพูดเรื่องดอกไม้ของหรงจิงว่า “ในอุทยานวังหลวงนี้ ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อน ล้วนเป็นดอกไม้ของฝ่าบาท เพียงสามารถเป็นที่ต้องพระราชหฤทัย ก็ย่อมเป็นวาสนาของพวกมันเพคะ”
วันนี้เซียงฉือดูจะว่าง่ายเป็นพิเศษ หรงจิงเองก็อารมณ์ดีอย่างยิ่ง ส่วนคำเยินยอของเซียงฉือนี้ก็พูดออกมาได้อย่างเหมาะเจาะ ทำให้จิตใจเขาปลอดโปร่งสบาย
เขาเป็นฮ่องเต้ ไม่ว่าราชสำนักฝ่ายหน้าหรือฝ่ายในล้วนเป็นโลกของเขาแต่เพียงผู้เดียว จะให้มีใครมาขัดขืนคิดคดทรยศต่อเขามิได้เด็ดขาด แต่โบราณกาลมาการกบฏต่อฮ่องเต้มีโทษยึดทรัพย์และประหารทั้งวงศ์ตระกูล ก็เพราะความประสงค์ของฮ่องเต้ ห้ามมิให้ขัดขืน
หรงจิงตบบ่านาง เมื่อมองเห็นดอกท้อที่ปลิวว่อนก็ยิ้ม จิตใจไหวขึ้นน้อยๆ ท่องกลอนออกมาบทหนึ่ง
“วันนี้ปีกลายข้างประตูนี้ โฉมนารีอีกดอกท้อแดงไสว ประชาชนเจ้าเอยอยู่หนใด ดอกท้อไซร้ยังคงยิ้มชื่นบาน”
“ฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า…”
หรงจิงร่ายกลอนจบก็หัวเราะคนเดียวเสียงดังแล้วเดินเตร่ไกลออกไป เซียงฉือท่องบทกลอนนี้ตามอยู่ในใจ เร่งรีบเดินตามไปเช่นกัน
ใครๆ ก็บอกว่าใจของราชาล้ำลึกสุดหยั่ง เซียงฉือซึ่งได้อยู่ข้างกายฮ่องเต้ ถึงแม้จะพอคาดเดาได้บ้าง แต่ว่าจิตใจที่แท้จริงของเขาเป็นเช่นไร นางเองก็ไม่อาจคะเนได้แม่นยำ
จึงไม่กล้าที่จะชี้ขาดลงไปว่าเจ้าของใบหน้านั้นเป็นใคร แม้ดอกท้อจะยังคงเดิม เซียงฉือได้แต่คิดสะเปะสะปะอยู่ในใจ
ค่ำคืนนี้หวาดหวั่นจนสับสน แม้ดอกท้อจะปลิวว่อนแต่ก็ยังคงร่วงลงดินเป็นธุลี ไม่ว่าจะเป็นกุ้ยเฟยหรือเซียงฉือต่างก็มีเรื่องที่ตนเองไม่พอใจ และก็มีบ้างที่ได้ดั่งใจ
ทว่าสิ่งที่เซียงฉือได้มาคือสุดยอดปรารถนาของนาง ส่วนจินกุ้ยเฟยนั้นไม่มีทางเลือกที่ดีไปกว่านั้นอีกแล้ว
เซียงฉือกับหรงจิงไปกันไกลแล้ว แต่หวังหมัวหมัวยังคงคอยปลอบโยนอยู่ข้างกายกุ้ยเฟย
เจ้านายนางคนนี้ความอดทนน้อยเกินไป การไปจับคนที่อยู่ข้างกายฝ่าบาทนั้นหวังหมัวหมัวไม่เห็นด้วยแต่ต้น แต่ทว่ากุ้ยเฟยยังคงดึงดันจะทำตามใจตัว แม้ตอนนั้นจะตกลงกันแล้วว่าเพียงนำตัวมาสอบถามดึงเข้าพวก แต่คิดไม่ถึงว่าพอนางได้ฟังคำพูดของนังหลิ่วเหยียนคนชั่วนั่นแล้วก็เปลี่ยนใจ หมายจะฆ่าเซียงฉือขึ้นมา
ถึงตอนนี้หวังหมัวหมัวจะไม่พอใจแต่ก็ไม่กล้าเอาโทสะไปลงกับกุ้ยเฟย กุ้ยเฟยเพิ่งจะรักษาตัวให้ดีขึ้นก็มาถูกกระตุ้นโทสะจนอาการปวดศีรษะกำเริบ
หวังหมัวหมัวขบฟัน เรื่องนี้ไม่อาจโทษกุ้ยเฟย หรือจะโทษตนเองก็ไม่ถูก และยิ่งไม่ควรจะไปโทษเซียงฉือ
ส่วนคนที่คอยยุแหย่ให้เกิดเรื่องนั้นย่อมเป็นหลิ่วเหยียน หากไม่ใช่เพราะนางจงใจไปบอกเรื่องที่อวิ๋นเซียงฉือไปหอทิงเฟิงพร้อมกับฝ่าบาทในเวลานั้น กุ้ยเฟยก็คงไม่คิดจะเอาชีวิตนาง
และนางยังสังเกตรายละเอียดได้อีกเรื่องหนึ่งว่ามีคนไปแจ้งข่าวกับเหอจิ่นเซ่อ มิเช่นนั้นแล้วเรื่องที่พวกนางไปจับอวิ๋นเซียงฉือคงจะไม่ถูกพบเห็นอย่างรวดเร็วและถูกลากเข้าไปพัวพันด้วยเช่นนี้
หวังหมัวหมัวคิดได้แล้วสีหน้าก็เคร่งขรึมลง นางใคร่ครวญดูแล้วคนคนนี้จะต้องอยู่ในตำหนักอวี้หยวน เมื่อเป็นเช่นนั้นแสดงว่ามีหนอนบ่อนไส้ที่ใกล้ตัว
ตอนที่ 333 ใครช่วยนาง
ตอนกลางคืนหลิ่วจุ้ยตื่นขึ้นเข้าห้องน้ำ คืนนี้เป็นเวรหลิ่วเหยียนอยู่รับใช้กุ้ยเฟย ส่วนกุ้ยเฟยในเวลานั้นยังคุยกับหวังหมัวหมัวอยู่ ซึ่งผิดวิสัยกุ้ยเฟยที่จะเข้านอนไวแต่ไรมา
แต่หลิ่วจุ้ยก็ไม่ได้ใส่ใจคิดมาก ขณะนั่งคู้อยู่ในห้องส้วมก็ได้ยินเสียงคนเดินมา คนคนนั้นก็พูดเบาๆ แต่เพราะอยู่ไม่ไกลจึงได้ยินอย่างชัดเจน
“กำลังจะออกไปจับนังเด็กอวิ๋นเซียงฉือที่ตำหนักเจิ้งหยางอยู่แล้วเจ้ายังจะมัวเข้าส้วมอีก ถ้าหากหวังหมัวหมัวรู้เข้า เจ้าต้องเดือดร้อนแน่”
คนที่พูดคือหลินหมัวหมัวที่กุ้ยเฟยค่อนข้างไว้ใจใช้งาน พอพูดจบก็ได้ยินเสียงตอบอย่างหงุดหงิดออกมาจากห้องส้วม
“รู้แล้วๆ น่ะ เจ้าไม่พูดข้าไม่พูด แล้วใครล่ะจะรู้”
แล้วจึงได้ยินเสียงคนคนนั้นรีบลุกขึ้น ทั้งสองคนสนทนากันออกไปจากห้องสุขา
ในตำหนักอวี้หยวนหากเป็นหน้าหนาวไม่ว่าคนรับใช้สาวหรือแก่ต่างถ่ายทุกข์กันอยู่ภายในห้อง แต่หากหน้าร้อนก็จะออกไปใช้ห้องสุขากันด้านนอก มิเช่นนั้นคนในห้องคงไม่เป็นอันหลับนอนเพราะกลิ่นปัสสาวะ
หลิ่วจุ้ยได้ยินคำพูดนั้นแล้วลนลานยิ่ง รีบลุกออกไปเช่นกัน
นางหวาดหวั่นใจ แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
เมื่อคิดว่าเซียงฉือจะถูกกุ้ยเฟยตีและฆ่านางทำใจไม่ได้ จึงคลุมเสื้อตัวนอกแล้วย่องออกไปจากตำหนักอวี้หยวนทางประตูข้าง
สถานที่นี้เป็นที่เร้นลับ ยามค่ำคืนบางครั้งจะมีทหารองครักษ์เดินไปมาบ้าง หลิ่วจุ้ยหวั่นเกรงเซียงฉือจะถูกฆ่า แต่ขณะที่ออกมาอย่างร้อนรนก็ไม่รู้ว่าควรจะต้องไปหาใคร
คิดอยู่ครู่หนึ่งก็นึกถึงสวี่อี้ได้ จึงรีบวิ่งไปอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น สวี่อี้พักอยู่ในกองคดีมาตลอด กองคดีแตกต่างจากสถานที่อื่น ข้างห้องนางมีประตูข้างที่สามารถเข้าออกได้ตลอดเวลา
หลิ่วจุ้ยรีบมุ่งไปยังห้องหนังสือของสวี่อี้ เมื่อเห็นแสงไฟยังสว่างอยู่ จึงผลักประตูเดินเข้าไปโดยไม่อาจสนใจสิ่งใด
“ใต้เท้าสวี่ช่วยด้วยเจ้าค่ะ!”
พอเข้าไปถึงหลิ่วจุ้ยก็คุกเข่าพลั่กลงเบื้องหน้าสวี่อี้แล้วถ่ายทอดคำพูดเมื่อครู่ให้สวี่อี้ฟังจนหมด
ทั้งยังเล่าเรื่องที่กุ้ยเฟยไม่พอใจเซียงฉือในยามปกติกับทั้งเรื่องที่หลิ่วเหยียนรายงานต่อกุ้ยเฟยในวันนี้อีกด้วย นางบอกว่าเซียงฉือไปครั้งนี้คงไม่ได้กลับมาอีก จึงทุกข์กังวลใจ
สวี่อี้เมื่อฟังแล้วก็ตกใจเป็นการใหญ่ สั่งนางรีบกลับเข้าตำหนักอวี้หยวน จากนั้นรีบออกไปเพื่อจะไปตำหนักเจิ้งหยาง
นางจะต้องรู้ให้แน่ชัดว่าเซียงฉือปลอดภัยอยู่หรือไม่ แต่เมื่อไปถึงตำหนักเจิ้งหยางก็พบว่าเซียงฉือถูกคนพาตัวไปแล้ว นางจึงกังวลใจขึ้นจริงจัง ขณะกำลังร้อนรนจะไปทูลเรื่องนี้กับฮ่องเต้ ก็ได้พบเหอจิ่นเซ่อเข้าที่ด้านนอกตำหนักเจิ้งหยาง
จึงเล่าเรื่องของเซียงฉือออกมาจนหมด เหอจิ่นเซ่อจึงคิดวิธีการขึ้นมา นางจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทและทูลเรื่องบางอย่างก่อน จบเรื่องแล้วก็จะให้คนไปตามนางเข้าไป
สวี่อี้ฟังวิธีการของเหอจิ่นเซ่อแล้วจึงแยกย้ายไป
เหอจิ่นเซ่อทูลเรื่องงานวันนี้ต่อฮ่องเต้ตามที่เคยปฏิบัติ และเตรียมรับงานที่ฮ่องเต้จะให้ทำต่อไป ขณะนั้นขันทีคนหนึ่งเดินเข้ามาหาแล้วกระซิบที่ข้างหูนาง
เหอจิ่นเซ่อเตรียมทูลลา แต่ฮ่องเต้เหลือบเห็นสวี่อี้ที่หน้าประตูจึงสั่งคนให้เรียกนางเข้าไป
“ใต้เท้าสวี่ ดึกป่านนี้แล้วเหตุใดจึงยังมาตำหนักเจิ้งหยางอีก”
หรงจิงเพียงรู้สึกสงสัย มาคนหนึ่งแล้วนี่อีกคนหนึ่ง มีเรื่องอะไรต้องมารายงานกันในเวลาเช่นนี้
เขาที่เป็นฮ่องเต้คนนี้คงไม่ต้องลำบากตรากตรำเพื่อชาติทั้งวันคืนเช่นนี้กระมัง แต่สวี่อี้รีบคุกเข่าแล้วทูลเรื่องเซียงฉือ พูดอีกว่านางคิดจะสอบถามใต้เท้าเหอว่าได้เรียกตัวเซียงฉือออกไปจากตำหนักเจิ้งหยางหรือไม่
แต่แล้วจู่ๆ หรงจิงก็บันดาลโทสะขึ้นรุนแรง
พานางทั้งสองคนไปยังตำหนักอวี้หยวน
ส่วนหลิ่วจุ้ยที่กลับเข้าตำหนักอวี้หยวนก็ปะปนเข้าไปในฝูงคนกบดานเงียบ เหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร