ตอนที่ 362 สภาขุนนาง
หรงจิงทรงภูษาเสร็จแล้วขึ้นนั่งราชรถมุ่งไปยังท้องพระโรงอย่างมั่นคง โดยมีเซียงฉือกับซูกงกงขนาบข้างติดตามไป สุดท้ายแล้วหรงจิงก็ไม่ได้ให้คำตอบใดๆ กับเซียงฉือ
เขากำลังอ่านรายงานในมืออย่างจริงจังด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
หรงจิงไม่พูดอะไรและปิดพักสายตา เขากำลังคิดว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้
เขาเป็นฮ่องเต้ ใส่ใจในเรื่องวิธีการใช้ดุลยอำนาจเป็นสำคัญ ครั้งนั้นบ้านสกุลจินช่วยส่งเสริมเขาให้ได้ขึ้นครองบัลลังก์ นับว่ามีความดีความชอบอยู่แต่ระยะหลังบ้านสกุลจินกำเริบเสิบสานเกินไปจริงๆ
ก่อนหน้านี้จวนขุนพลจินทุจริตบกพร่องในหน้าที่ ต่อมาบุตรชายคนรองจินรั่วหลินหักเบี้ยหวัดและเสบียงของทหาร โกงกินเงินหลวง ทั้งปิดบังเรื่องการก่อกบฏของทหารทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ แล้วจินกุ้ยเฟยยังมาทำหน้าไหว้หลังหลอก หมิ่นพระราชอำนาจเช่นนี้อีก เรื่องราวต่างๆ นานาล้วนถูกขุนพลจินปิดปากไปสิ้น ขุนนางทั้งหลายก็ช่วยกันปกปิดให้พวกเขา ทำราวกับเขาซึ่งเป็นฮ่องเต้คนนี้เป็นเพียงเครื่องประดับชิ้นหนึ่ง
จินกุ้ยเฟย จวนขุนพลจิน ช่างวิเศษกันเหลือเกิน
แม้หรงจิงจะหลับตาอยู่ แต่ไม่อาจซ่อนกลิ่นอายพิฆาตที่คุกรุ่นอยู่บนร่างลงได้
เซียงฉือได้แต่มองดู กัดฟันยิ้มเศร้าๆ
‘ท่านปู่ ท่านอารอง เซียงฉือจะต้องแก้แค้นให้พวกท่านแน่ ไม่ว่าผู้ที่ทำลายชีวิตพวกท่านจะเป็นจินกุ้ยเฟยที่สูงส่ง หรือจวนขุนพลจินที่ยิ่งใหญ่ เซียงฉือจะต้องล้างแค้นให้พวกท่านอย่างแน่นอน’
เซียงฉือลอบสาบานในใจ นางไม่สามารถเข้าท้องพระโรงได้ จึงได้แยกกลับตำหนักเจิ้งหยางไป
เรื่องนี้นางดำเนินการไปแล้วเช่นนี้ นางคิดอยู่ชั่วครู่แล้วยังคงไปหาเหอจิ่นเซ่อที่กองราชเลขา
ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เหล่าขุนนางต่างพากันมายืนรออยู่หน้าท้องพระโรงนอกตำหนักไท่เหอ
เมื่อถึงยามเหม่า ขันทีที่ทำหน้าที่อยู่หน้าท้องพระโรงจะหวดแส้ให้สัญญาณ ตามด้วยเจ้าพนักงานฝ่ายต้อนรับจะเรียกให้เข้าที่ บรรดาขุนนางจากด้านซ้ายและขวาจะเคลื่อนเข้าทางพระราชดำเนิน แล้วเข้าสู่ด้านในท้องพระโรงตามลำดับ
แคว้นเซียวจิ่งจะมีการประชุมราชสำนักเช้าในยามเหม่า ในเจ็ดวันของสัปดาห์ วันแรกจะเป็นการประชุมใหญ่ โดยขุนนางตั้งแต่ขั้นที่หนึ่งถึงขั้นที่สี่ตลอดจนขุนนางใหญ่ผู้มีบรรดาศักดิ์ต่างๆ จะต้องเข้าร่วม ส่วนวันที่สองถึงวันที่ห้าจะเป็นการประชุมตามปกติของทั้งหกกรมคือ กรมโยธาธิการ กรมขุนนาง กรมพิธีการ กรมการคลัง กรมกลาโหมและกรมยุติธรรม โดยเจ้ากรมและรองของทั้งหกกรมจะต้องเข้าร่วมประชุม นอกจากนี้ขุนนางที่สูงกว่าขั้นที่สี่ของฝ่ายอาลักษณ์ ฝ่ายตรวจการตลอดจนคณะองคมนตรีเป็นต้นก็จะต้องเข้าเฝ้าให้ตรงเวลาด้วย
หรงจิงเป็นฮ่องเต้ที่ขยันว่าราชการ เขาขึ้นครองราชย์ตั้งแต่เยาว์วัย บูรพกษัตริย์จึงได้ตั้งคณะมนตรีเพื่อช่วยเขาจัดการภารกิจ เมื่อเขาว่าราชการเองแล้ว จึงได้เปลี่ยนคณะมนตรีมาเป็นฝ่ายอาลักษณ์และองคมนตรีแทน ฝ่ายอาลักษณ์จะรับผิดชอบดูแลงานลับและสำคัญ ตลอดจนร่างประกาศราชโองการ ส่วนองคมนตรีจะตราวจอ่านรายงานต่างๆ ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าถวาย
เมื่อเหล่าขุนนางยืนเข้าที่แล้วหรงจิงเสด็จออกมาจากด้านในตำหนักแล้วนั่งลงบนพระที่นั่ง
เมื่อหยางซั่วเจ้าหน้าที่ฝ่ายต้อนรับประกาศให้เหล่าขุนนางเข้าเฝ้า ทุกคนจึงทำความเคารพตามพิธีการทันที เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่ฝ่ายต้อนรับกล่าวรำลึกพระกรุณาธิคุณ รายงานจำนวนผู้เข้าประชุมและประกาศให้ทูลถวายรายงานได้ เหล่าขุนนางจึงจะถวายรายงานตามลำดับ
วันนี้หรงจิงนั่งนิ่งสีหน้าเยือกเย็น เมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายต้อนรับประกาศให้ถวายรายงานได้แล้ว ในหมู่ขุนนางบุ๋นบู๊เบื้องล่างส่งเสียงกระแอมกันสนั่น (ก่อนที่เหล่าขุนนางจะทูลรายงาน จะส่งเสียงกระแอมขึ้นก่อน)
หรงจิงนั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างสงบนิ่ง หวังหยางหมิงเจ้ากรมโยธาธิการเป็นผู้ก้าวออกจากกลุ่มขุนนางฝ่ายบุ๋นเป็นคนแรก เขาเดินออกไปแล้วคุกเข่าอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์
“กระหม่อมมีเรื่องทูลรายงานพ่ะย่ะค่ะ เนื่องด้วยอุทกภัยจากแม่น้ำชิงเกิดขึ้นต่อเนื่องมาหลายเดือนแล้ว ทำให้เมืองที่อยู่ปลายน้ำเช่นชิงโจว เจียงโจวและที่อื่นๆ รวมสิบสามเมืองต้องประสบภัย ราษฎรเดือดร้อนกันทั่ว กระหม่อมจึงทูลขอพระราชทานทรัพย์เพื่อบรรเทาภัย สร้างเขื่อนทางด้านปลายน้ำของแม่น้ำชิง เป็นการป้องกันอุทกภัย ช่วยให้ราษฎรได้พ้นภัยพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิงฟังแล้วก็สะบัดมือ หวังหยางหมิงจึงลุกขึ้นยืนค้อมกาย
หรงจิงหยิบรายงานขึ้นมาแล้วปรายตามองหวังหยางหมิงที่ด้านล่าง อีกทั้งบรรดาคนทั้งหลาย แล้วพูดขึ้นว่า
“นอกจากเรื่องนี้แล้วใครยังมีเรื่องรายงานอีกบ้าง ก็พูดมาเสียทีเดียว!”
ตอนที่ 363 นโยบายการปกครอง
เสียงของหรงจิงไม่ดังแต่พวกด้านล่างก็เริ่มระส่ำขึ้น เนื่องเพราะเป็นการประชุมใหญ่ ดังนั้นบรรดาชินอ๋อง กั๋วกงและพระบรมวงศานุวงศ์ผู้มีคุณูปการทั้งหลายต่างยืนอยู่ในกลุ่มขุนศึกทางด้านขวา และหรงเฉิงเยี่ยก็ยืนอยู่ในกลุ่มชินอ๋องด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เมื่อได้ยินเสียงถกคุยกันเบาๆ ที่ด้านล่างจึงออกมาจากในแถวทันทีแล้วเดินไปเบื้องหน้า หยุดยืนข้างกายเจ้ากรมโยธาฯ หวังหยางหมิง ประกาศขึ้นเสียงดังว่า
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องกราบบังคมทูลพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้รับพระราชโองการให้ออกไปตรวจสอบเรื่องการทุจริตบกพร่องต่อหน้าที่ของข้าราชการแถบเจียงโจวและชิงโจว จากการตรวจสอบปรากฏว่าอุทกภัยในปีนี้ไม่ได้ร้ายแรง ทั้งสองเมืองมีเพียงสามอำเภอเท่านั้นที่ประสบภัยแต่ก็ไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงนัก ทว่านายอำเภอทั้งสามอำเภอนี้ไม่ได้เปิดคลังเสบียงออกช่วยเหลือ ทั้งไม่ได้รีบก่อสร้างทำนบกั้นน้ำเพื่อป้องกันความเสียหายในทันที ทำให้มีผู้ประสบภัยไร้ที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีชาวบ้านที่ต้องอดตายอยู่ในบ้านด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เหตุการณ์นี้มิได้เกิดจากภัยธรรมชาติแต่เป็นเพราะน้ำมือมนุษย์ ล้วนเกิดจากความทุจริตบกพร่องหน้าที่ของนายอำเภอทั้งสามอำเภอ เรื่องนี้มีข้าราชการระดับสูงช่วยปกป้อง ปกปิดความผิด เพ็ดทูลเบื้องบนหลอกลวงไพร่ฟ้า ยักยอกเงินบรรเทาภัยเข้าไว้เป็นของตน โดยมีฉีหมิง เฮ่อเฉิงและหวังอีหรูทั้งสามคนเป็นตัวนำในการทุจริตเงินหลวง ทำร้ายราษฎรและทำให้อุทกภัยยืดเยื้อไม่บรรเทาพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมทูลขอให้ฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาโทษสถานหนักกับผู้นำที่ทุจริตบกพร่องต่อหน้าที่ในครั้งนี้ เพื่อให้ราษฎรได้อุ่นใจด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หรงเฉิงเยี่ยกล่าวอย่างองอาจ เขาเป็นชินอ๋องที่ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมประชุมนอกจากวันประชุมใหญ่ เนื่องเพราะฮ่องเต้ได้ส่งเขาไปตรวจสอบเรื่องการทุจริต ซึ่งเรื่องนี้จำเป็นต้องเข้าปรึกษาหารือกับองคมนตรี ดังนั้นเมื่อวานนี้จึงได้เข้าไปในวัง
ในวันนี้เขารับส่งลูกกับหรงจิงด้วยการใช้เรื่องอุทกภัยในชิงโจวเจียงโจวกรุยทาง เพื่อเตรียมง้างมีดสะบัดขวาน จัดการเรื่องการทุจริตใหญ่น้อยในราชสำนัก
ดังนั้นเหตุการณ์ในวันนี้ เมื่อกรมโยธาธิการที่มีหน้าที่ดูแลระบบบริหารจัดการน้ำทั้งประเทศและซ่อมบำรุง หากตรวจพบแล้วต้องทำการซ่อมแซมปรับปรุง แต่พวกเขามีความผิดโทษฐานไม่ตรวจสอบ ซึ่งความผิดนี้จะหนักหนาหรือไม่อย่างไร ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของฮ่องเต้
เกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกในราชสำนักต่างเคยได้ยินมาก่อน แต่พอหรงเฉิงเยี่ยรายงานจริงจังขึ้นมาแล้ว ทุกคนต่างพากันเงียบงันอย่างหวาดหวั่นสำเหนียกได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ในอีกด้านหนึ่งนั้นเป็นคนละเรื่องกัน
เหล่าขุนนางในราชสำนักล้วนเป็นคนฉลาด ต่างมองออกว่าฮ่องเต้กำลังจะใช้เรื่องนี้เปิดประเด็น เพื่อตรวจสอบพวกขุนนางทุจริตบกพร่องต่อหน้าที่อย่างเข้มงวด วันเวลาอันสุขสงบของพวกเขาคงจะสิ้นสุดลงแล้ว
ถึงเวลาที่แต่ละคนจะต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวกันแล้ว
หรงจิงพยักหน้าให้หรงเฉิงเยี่ย แล้วมองดูขุนนางอื่นๆ พูดต่อว่า
“ใครยังมีเรื่องจะรายงานอีกหรือไม่”
หรงจิงพูดออกไปเรียบๆ เสียงจอแจด้านล่างเงียบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อไร้เสียงนกกาทั้งหลายแล้ว หรงจิงจึงพูดอย่างเป็นงานเป็นการว่า
“แม่น้ำชิงเป็นลำน้ำครอบคลุมขอบเขตกว้างขวางของประเทศเรา ซึ่งมีทั้งเอี้ยนโจว เจียงโจว ชิงโจว ลี่โจวเป็นต้น ตั้งแต่ข้าขึ้นครองบัลลังก์มา ดูเหมือนจะประสบอุทกภัยติดต่อกันแทบทุกปี ทุกครั้งที่เขื่อนกั้นน้ำที่ชิงโจวกับเจียงโจวทลายลง ข้าก็จะจัดสรรงบบรรเทาภัยไปซ่อมแซมติดต่อกันตลอดมา แต่ก็ยังคงพังทลายต่อเนื่องอยู่ทุกปี เฉพาะปีนี้ก็ซ่อมแซมมาเป็นเวลาสามเดือนแล้ว ตอนนี้ยังกล้ามาบอกข้าว่าต้องซ่อมแซมอีก เช่นนี้แล้ว เงินช่วยเหลือและเงินค่าซ่อมแซมตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้หายไปไหนหมด”
หรงจิงหยุดลงครู่หนึ่ง กวาดตามองเหล่าขุนนาง
“ข้าได้ส่งพระอนุชาให้เร่งไปชิงโจวกับเจียงโจวเพื่อตรวจสอบในทางลับ คิดไม่ถึงว่ามดมอดจะซอนเซาะกำแพงให้ทลายลงได้เป็นพันลี้ ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจังทั่วประเทศ แคว้นเซียวจิ่งทั้งสิบหกหัวเมืองจะต้องถูกตรวจสอบเรื่องความบกพร่องในหน้าที่”
“เหลียนชินอ๋อง?”
หรงจิงลุกขึ้นยืนแล้วเจาะจงเรียกหรงเฉิงเยี่ย หรงเฉิงเยี่ยรีบลุกขึ้นเดินออกจากแถวขานรับเสียงดัง
“พ่ะย่ะค่ะ!”
“นำผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้ทั้งหมดไปดำเนินคดีลงโทษสถานหนัก พวกเพ็ดทูลเบื้องบนหลอกลวงไพร่ฟ้า รู้ข่าวไม่แจ้ง ทุจริตประพฤติมิชอบทั้งหลายให้ประหารกวาดล้างทั้งตระกูลให้สิ้น ส่วนหัวหน้าขบวนการทำความผิดทั้งสามให้บั่นศีรษะเอาไปฝังไว้บนเขื่อน ในเมื่อพวกมันกล้าทุจริต ข้าก็จะใช้ชีวิตกับร่างกายของพวกมันไปสกัดกั้นน้ำที่ทำเขื่อนพังทลาย”
“ข้าปกครองแคว้นเซียวจิ่งมา รังเกียจขุนนางทุจริตเป็นที่สุด บูรพกษัตริย์ทรงสอนสั่งตักเตือนว่า ความซื่อสัตย์สุจริตนำพาชาติรุ่งเรือง การทุจริตฟุ่มเฟือยจะทำลายชาติ การปกครองบ้านเมืองไม่มีสิ่งใดจะสำคัญยิ่งกว่าการลงโทษปราบปรามการทุจริต”