บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 366 บันดาลโทสะ / ตอนที่ 367 หยวนซิ่วฟัง

ตอนที่ 366 บันดาลโทสะ  

 

 

หลังจากนั้นหรงจิงก็ลุกขึ้นแล้วสำทับสั่งกับขุนพลจิน  

 

 

“ขุนพลจิน เรื่องนี้สำคัญมาก อย่าให้เกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นอีก เลิกประชุมได้”  

 

 

พูดจบก็หมุนกายเดินไป ขันทีฝ่ายต้อนรับประกาศเลิกประชุม เหล่าขุนนางคุกเข่าทำความเคารพ จนกระทั่งฮ่องเต้ออกจากท้องพระโรงไปแล้ว ขันทีร้องบอก เหล่าขุนนางจึงได้ค้อมกายพากันถอยออกจากท้องพระโรงไป  

 

 

เหตุการณ์ในวันนี้พลิกผันไปมา แต่เหล่าผู้คนในราชสำนักต่างรู้ว่าครั้งนี้ฮ่องเต้เตรียมจะเปิดทำการปราบปรามทุจริตอย่างหนักหน่วงจริงจังแล้ว  

 

 

พวกเขาเหล่านี้หากยังมีสมองอยู่และคิดจะรักษาชีวิตตนเองก็จะเจียมเนื้อเจียมตัว ทั้งยังจะรู้ควบคุมพวกเบื้องล่างตน ไม่ให้พวกนั้นทำอะไรให้ถูกผู้อื่นจับจุดอ่อนได้ในระยะนี้  

 

 

ท้ายที่สุดของเรื่องนี้ ความจริงเป็นเรื่องที่เล็กจนไม่มีอะไรจะเล็กไปกว่านี้อีกแล้ว อวิ๋นเทียนแม้เป็นขุนนางขั้นที่หนึ่ง ทั้งยังเป็นเจ้าเมืองหลานโจวมาก่อน แต่จะว่าไปแล้ว การให้ขุนพลจินไปส่งศพอวิ๋นเทียนกลับหลานโจวในครั้งนี้นั้นเป็นที่แอบขบขันของเหล่าขุนนาง เป็นการแสดงอำนาจของหรงจิงต่อขุนพลจินเฮ่า  

 

 

ส่วนจินเฮ่าได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของผู้คนเหล่านั้นแล้ว สีหน้าชรานั้นก็ยิ่งคล้ำลง  

 

 

เขาไม่รู้ว่าวันนี้ไยฮ่องเต้จึงได้ทำให้เขาลำบากใจและงงงันเช่นนี้ อาจเป็นเพราะการกระทำของจินกุ้ยเฟยในวันนั้นหลบพ้นสายตาเขา ทำให้เขาไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น  

 

 

คงเพราะเหตุนี้ฝ่าบาทจึงได้มอบหมายเรื่องงานศพของอวิ๋นเทียนให้เขาเป็นคนจัดการ ทำให้เขาโกรธจนเมื่อกลับไปถึงบ้าน  

 

 

“เป็นเพียงพวกชาติกำเนิดต่ำ หากไม่ใช่เพราะข้าประคับประคองให้เขาขึ้นมา เจ้าเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเขานี่นะ มีหรือจะสามารถขึ้นสู่ฐานะสูงส่งได้!”  

 

 

“เฮอะ ยังไม่ทันไร ก็คิดจะข้ามหัวข้าขึ้นไปแล้ว!”  

 

 

จินเฮ่ากวาดอาหารบนโต๊ะร่วงลง  อาหารล้ำค่าเลิศรสทั้งโต๊ะถูกกวาดลงพื้นสิ้น เขาไม่เคยโกรธ ไม่เคยบริภาษฮ่องเต้เช่นนี้มาก่อน  

 

 

ถึงแม้ฮ่องเต้จะดีต่อพวกเขาไม่น้อย ทว่าจิตใจคนก็เป็นเช่นนี้ ได้คืบจะเอาศอก แม้ได้ถึงศอกแล้วก็ยังคิดต้องการมากขึ้นไปอีก ใจมนุษย์ล้วนละโมบไม่มีประมาณ โดยเฉพาะเขาก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว  

 

 

ครั้งนั้นเมื่อช่วยผลักดันจนหรงจิงขึ้นเสวยราชย์ได้สำเร็จ เคยคิดว่าเขาเยาว์วัยไม่ประสา ภายภาคหน้าตนเองก็จะอยู่ใต้เพียงคนคนเดียวแต่จะอยู่เหนือกว่าผู้คนทั้งมวล ทั้งยังจะสามารถควบคุมโอรสสวรรค์บัญชาการเจ้าผู้ครองแคว้นได้อีกด้วย  

 

 

แต่เขาคิดไม่ถึงว่าหรงจิงไม่ใช่คนที่เขาจะสามารถควบคุมได้ตามที่เขาหมายมั่น ทั้งยังกลับเป็นม้าพยศที่หลุดออกจากบังเ**ยนเสียอีก มักทำให้เขาคิดตามไม่ทัน แต่ตั้งแต่จินกุ้ยเฟยได้เข้าวัง ก็นับเป็นบุญคุณใหญ่หลวงต่อบ้านสกุลจินของพวกเขาแล้ว  

 

 

หากวันใดที่จินกุ้ยเฟยให้กำเนิดพระโอรส เมื่อนั้นด้วยอำนาจของบ้านสกุลจิน จะต้องช่วยเสริมส่งให้เขาได้ขึ้นสู่บัลลังก์อย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นบ้านสกุลจินของพวกเขาก็จะสามารถรุ่งเรืองโชติช่วงอยู่เช่นนี้ได้ตลอดไป  

 

 

เพราะหรงจิงใช้พระคุณต่อเขาจึงทำให้เขายอมกล้ำกลืน มิเช่นนั้นแล้ว ในครั้งนั้นที่หรงจิงจัดให้เขาไปอยู่โยงที่ชังโจว เขาก็คิดจะก่อกบฏต่อราชสำนักแล้ว จากนั้นก็แค่หาองค์ชายสักคนขึ้นสืบบัลลังก์แทน  

 

 

ยามนี้จินเฮ่าไม่อาจระงับโทสะ แม้แต่ฮูหยินข้างกายยังไม่กล้าพูดอะไร ฮูหยินของจินเฮ่าเป็นสตรีจากครอบครัวสามัญ แต่เป็นภรรยาที่ตบแต่งของขุนพลใหญ่ มีแต่เออออเชื่อฟังไม่กล้าขัดขืน นางมีฝีมือในการปรุงอาหาร ซึ่งเขาก็มิได้รังเกียจนาง  

 

 

แต่ในเวลาเช่นนี้ทำให้เขาบังเกิดความเบื่อหน่าย ภรรยาคู่ทุกข์ยากที่ทำให้เขาเห็นแล้วรำคาญใจ  

 

 

หากเป็นยามปกติจินฮูหยินจะไม่เกรงกลัวขนาดนี้ แต่เพราะว่าเรื่องนี้จินกุ้ยเฟยได้ฝากคำสั่งมาถึงจวนขุนพลจิน  

 

 

นางมักถูกขุนพลจินกล่าวว่าเป็นคนไร้ประโยชน์  

 

 

ดังนั้นเมื่อคิดว่าเรื่องเล็กน้อยเท่านี้ไม่จำเป็นต้องแจ้งต่อจินเฮ่า อีกทั้งอีกฝ่ายก็เป็นเพียงขุนนางต้องโทษคงไม่อาจก่อให้เกิดเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาได้ จึงได้สั่งคนไปบอกแก่จินรั่วหลิน เจ้าลูกชายที่ไม่เอาไหนคนนั้น  

 

 

แต่วันนี้นางได้ยินขุนพลจินพร่ำพูดเช่นนี้ จึงได้รู้ว่าเป็นไปได้ที่นางจะก่อเรื่องที่ไม่เข้าท่าขึ้นแล้ว  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 367 หยวนซิ่วฟัง  

 

 

จินฮูหยินรู้ว่าตนเองทำเรื่องผิดพลาดขึ้นแล้วยิ่งหวั่นเกรงว่าสามีจะรู้เข้า แต่นางก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจจะปิดบังได้ ขุนพลจินเห็นภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากอ้ำอึ้งอยู่เช่นนั้นจึงระเบิดโทสะคว้ากระบี่ขึ้นฟันโต๊ะจนขาดออกเป็นสองเสี่ยง  

 

 

“เจ้าเด็กเนรคุณเห็นว่าข้าแก่แล้ว คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการเจ้าด้วยมือ…”  

 

 

ขุนพลจินเฮ่ากำลังโกรธขึ้งตะโกนคำพูดที่ไม่ยำเกรงออกมา ขณะนั้นมีฮูหยินงดงามคนหนึ่งเดินอย่างสงบเข้ามาในห้อง  

 

 

“ท่านพ่อ อยู่ในเมืองหลวงเช่นนี้ เอ่ยวาจาตามใจไม่ได้นะเจ้าคะ”  

 

 

สตรีนางนั้นแต่งกายด้วยกระโปรงแขนกว้างสีชมพู ปักลายโบตั๋นดอกใหญ่งานประณีตพิถีพิถัน หยวนซิ่วฟังเป็นภรรยาของจินรั่วหลิน นางเดินเข้าไป นิ้วมือแตะอยู่บนริมฝีปาก  

 

 

แสดงการปกปิดกิริยาวาจาต่อพ่อสามี ถึงแม้จินเฮ่าจะไม่ฟังคำพูดของภรรยา แต่กับคำพูดลูกสะใภ้แล้ว เขาเชื่อถือยิ่ง  

 

 

เพราะสะใภ้คนนี้เป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ มีความรอบคอบในการทำงานและยุติธรรมจนได้ใจของทุกคน  

 

 

ดังนั้นพอสะใภ้คนนี้เข้าบ้าน นางก็กลายเป็นเจ้าบ้านหญิงที่ดูแลครอบครัว ถึงแม้บุตรชายจินเฮ่าจะไม่มีความสามารถนัก ทว่าลูกสะใภ้ของเขาคนนี้เป็นความพึงพอใจของเขาอย่างยิ่ง กระทำการใดก็มีมารยาทรู้กาลเทศะ ทั้งฉลาดปราดเปรื่องมีความสามารถ  

 

 

“ซิ่วฟังมาแล้ว…”  

 

 

เมื่อจินฮูหยินเห็นลูกสะใภ้เข้ามาเหมือนดั่งเห็นผู้ช่วยชีวิต บ่าวไพร่ที่ด้านนอกก็พากันถอนใจโล่งอก โทสะของขุนพลจินรุนแรงยิ่ง ผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งบ้านคงมีเพียงหยวนซิ่วฟังเท่านั้นที่สามารถปลอบเตือนได้บ้าง  

 

 

จินกุ้ยเฟยที่อยู่ในวังได้รับอิทธิพลจากการได้รู้เห็นเช่นนี้เป็นประจำตั้งแต่เล็กจึงไม่ใคร่รู้สึกอะไรกับสิ่งนี้ สิ่งที่พวกนางพ่อลูกเหมือนกันมากที่สุดก็คืออารมณ์เช่นนี้นี่เอง  

 

 

ถ้าหากสองพ่อลูกบันดาลโทสะขึ้นพร้อมกัน เรือนหลังนี้ก็ไม่เพียงพอให้ทึ้งทำลาย  

 

 

ดีที่ว่าหยวนซิ่วฟังเมื่อแต่งเข้าบ้านสกุลจินแล้วก็ได้ช่วยคลี่คลายเรื่องเหล่านี้ไปได้  

 

 

หยวนซิ่วฟังมองดูสภาพในห้อง นัยน์ตาไหวกระเพื่อมเล็กน้อย แล้วพูดยิ้มๆ ว่า  

 

 

“ท่านพ่อมาเมืองหลวงเพื่อรักษาอาการป่วยจะบันดาลโทสะได้อย่างไร หากทางในวังรู้เข้าคงต้องกังวลใจเป็นแน่ ท่านพ่อว่าใช่หรือไม่เจ้าคะ”  

 

 

หยวนซิ่วฟังเดินเข้าไปปลอบขุนพลจินเฮ่าที่บันดาลโทสะ นางปรายสายตาไปยังคนรับใช้ด้านหลังอย่างมีเจตนา  

 

 

“ท่านพ่อใช้เวลาทั้งชีวิตในสมรภูมิมานาน ทั้งยังเฝ้ารักษาการณ์เพื่อประเทศชาติอยู่ในดินแดนกันดารเหน็บหนาวอย่างชังโจว บัดนี้อายุมากแล้วและฝ่าบาททรงห่วงใยจึงได้ให้ท่านกลับมาใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ในอวิ๋นหยางเมืองหลวงนี้ แล้วเหตุใดท่านพ่อไม่แก้นิสัยแบบขุนพลเสียเล่าเจ้าคะ ถึงจะดุว่าคนรับใช้ก็ไม่ควรต้องลงมือเองเลยนี่เจ้าคะ”  

 

 

หยวนซิ่วฟังยังคงปลอบโยนขุนพลจินเฮ่าต่อไป ขณะเดียวกันก็พูดคำพูดประหลาดๆ อย่างมีนัย  

 

 

จินเฮ่าสงบเยือกเย็นลงได้อย่างรวดเร็ว ผงกศีรษะเฉยเมย  

 

 

หยวนซิ่วฟังลุกขึ้นหันกลับไปมองยังหมู่คนรับใช้  

 

 

“พวกเจ้าแต่ละคนมัวทำอะไรกันอยู่ พื้นเลอะเทอะออกขนาดนี้ บ้านสกุลจินเลี้ยงพวกเจ้าเสียข้าวสุกกระมัง ต่อไปหากใครทำให้ทำพ่อไม่พอใจอีกพวกผู้ชายจะถูกส่งไปทำงานหนักที่ชังโจว ส่วนผู้หญิงก็จะจับขายเข้าซ่องนางโลมเสีย”  

 

 

“เรื่องในวันนี้หากใครกล้าปริปากออกมาเพียงคำเดียวหรือพูดขึ้นกับคนอื่น ก็อย่าหาว่ากฎบ้านไร้ความปรานี!”  

 

 

เมื่อหยวนซิ่วฟังส่งเสียงดุออกไปด้านนอก เหล่าพวกผู้ติดตามก็รีบผงกศีรษะรับทราบและรับรองว่าจะไม่พูดออกไปอย่างเด็ดขาด  

 

 

ทำให้สีหน้าหยวนซิ่วฟังดีขึ้น เมื่อหันกลับมา นางจ้องมองจินเฮ่า  

 

 

“ท่านพ่ออย่าได้กังวลใจไปเลย เรื่องนี้มีที่มาที่ไป อีกสักครู่หนึ่งสะใภ้จะเล่าให้ท่านพ่อฟังที่ห้องหนังสือนะเจ้าคะ”  

 

 

หยวนซิ่วฟังเป็นคนทำงานสุขุมเสมอมา บิดานางเป็นรองมุขมนตรีฝ่ายบริหารซึ่งเป็นงานของขุนนางใกล้ชิดฮ่องเต้ การที่เขาสามารถดำรงตำแหน่งนี้ได้นั้น เบื้องหลังก็ต้องอาศัยกำลังของขุนพลจินไม่น้อย  

 

 

แต่เขาชื่นชอบลูกสะใภ้คนนี้ด้วยรู้สึกว่านางสามารถดูแลครอบครัวได้ การได้ช่วยเหลือครอบครัวนางก็เหมือนกับการช่วยเหลือตัวเขาเองเช่นกัน  

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset