ตอนที่ 366 บันดาลโทสะ
หลังจากนั้นหรงจิงก็ลุกขึ้นแล้วสำทับสั่งกับขุนพลจิน
“ขุนพลจิน เรื่องนี้สำคัญมาก อย่าให้เกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นอีก เลิกประชุมได้”
พูดจบก็หมุนกายเดินไป ขันทีฝ่ายต้อนรับประกาศเลิกประชุม เหล่าขุนนางคุกเข่าทำความเคารพ จนกระทั่งฮ่องเต้ออกจากท้องพระโรงไปแล้ว ขันทีร้องบอก เหล่าขุนนางจึงได้ค้อมกายพากันถอยออกจากท้องพระโรงไป
เหตุการณ์ในวันนี้พลิกผันไปมา แต่เหล่าผู้คนในราชสำนักต่างรู้ว่าครั้งนี้ฮ่องเต้เตรียมจะเปิดทำการปราบปรามทุจริตอย่างหนักหน่วงจริงจังแล้ว
พวกเขาเหล่านี้หากยังมีสมองอยู่และคิดจะรักษาชีวิตตนเองก็จะเจียมเนื้อเจียมตัว ทั้งยังจะรู้ควบคุมพวกเบื้องล่างตน ไม่ให้พวกนั้นทำอะไรให้ถูกผู้อื่นจับจุดอ่อนได้ในระยะนี้
ท้ายที่สุดของเรื่องนี้ ความจริงเป็นเรื่องที่เล็กจนไม่มีอะไรจะเล็กไปกว่านี้อีกแล้ว อวิ๋นเทียนแม้เป็นขุนนางขั้นที่หนึ่ง ทั้งยังเป็นเจ้าเมืองหลานโจวมาก่อน แต่จะว่าไปแล้ว การให้ขุนพลจินไปส่งศพอวิ๋นเทียนกลับหลานโจวในครั้งนี้นั้นเป็นที่แอบขบขันของเหล่าขุนนาง เป็นการแสดงอำนาจของหรงจิงต่อขุนพลจินเฮ่า
ส่วนจินเฮ่าได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของผู้คนเหล่านั้นแล้ว สีหน้าชรานั้นก็ยิ่งคล้ำลง
เขาไม่รู้ว่าวันนี้ไยฮ่องเต้จึงได้ทำให้เขาลำบากใจและงงงันเช่นนี้ อาจเป็นเพราะการกระทำของจินกุ้ยเฟยในวันนั้นหลบพ้นสายตาเขา ทำให้เขาไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น
คงเพราะเหตุนี้ฝ่าบาทจึงได้มอบหมายเรื่องงานศพของอวิ๋นเทียนให้เขาเป็นคนจัดการ ทำให้เขาโกรธจนเมื่อกลับไปถึงบ้าน
“เป็นเพียงพวกชาติกำเนิดต่ำ หากไม่ใช่เพราะข้าประคับประคองให้เขาขึ้นมา เจ้าเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเขานี่นะ มีหรือจะสามารถขึ้นสู่ฐานะสูงส่งได้!”
“เฮอะ ยังไม่ทันไร ก็คิดจะข้ามหัวข้าขึ้นไปแล้ว!”
จินเฮ่ากวาดอาหารบนโต๊ะร่วงลง อาหารล้ำค่าเลิศรสทั้งโต๊ะถูกกวาดลงพื้นสิ้น เขาไม่เคยโกรธ ไม่เคยบริภาษฮ่องเต้เช่นนี้มาก่อน
ถึงแม้ฮ่องเต้จะดีต่อพวกเขาไม่น้อย ทว่าจิตใจคนก็เป็นเช่นนี้ ได้คืบจะเอาศอก แม้ได้ถึงศอกแล้วก็ยังคิดต้องการมากขึ้นไปอีก ใจมนุษย์ล้วนละโมบไม่มีประมาณ โดยเฉพาะเขาก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
ครั้งนั้นเมื่อช่วยผลักดันจนหรงจิงขึ้นเสวยราชย์ได้สำเร็จ เคยคิดว่าเขาเยาว์วัยไม่ประสา ภายภาคหน้าตนเองก็จะอยู่ใต้เพียงคนคนเดียวแต่จะอยู่เหนือกว่าผู้คนทั้งมวล ทั้งยังจะสามารถควบคุมโอรสสวรรค์บัญชาการเจ้าผู้ครองแคว้นได้อีกด้วย
แต่เขาคิดไม่ถึงว่าหรงจิงไม่ใช่คนที่เขาจะสามารถควบคุมได้ตามที่เขาหมายมั่น ทั้งยังกลับเป็นม้าพยศที่หลุดออกจากบังเ**ยนเสียอีก มักทำให้เขาคิดตามไม่ทัน แต่ตั้งแต่จินกุ้ยเฟยได้เข้าวัง ก็นับเป็นบุญคุณใหญ่หลวงต่อบ้านสกุลจินของพวกเขาแล้ว
หากวันใดที่จินกุ้ยเฟยให้กำเนิดพระโอรส เมื่อนั้นด้วยอำนาจของบ้านสกุลจิน จะต้องช่วยเสริมส่งให้เขาได้ขึ้นสู่บัลลังก์อย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นบ้านสกุลจินของพวกเขาก็จะสามารถรุ่งเรืองโชติช่วงอยู่เช่นนี้ได้ตลอดไป
เพราะหรงจิงใช้พระคุณต่อเขาจึงทำให้เขายอมกล้ำกลืน มิเช่นนั้นแล้ว ในครั้งนั้นที่หรงจิงจัดให้เขาไปอยู่โยงที่ชังโจว เขาก็คิดจะก่อกบฏต่อราชสำนักแล้ว จากนั้นก็แค่หาองค์ชายสักคนขึ้นสืบบัลลังก์แทน
ยามนี้จินเฮ่าไม่อาจระงับโทสะ แม้แต่ฮูหยินข้างกายยังไม่กล้าพูดอะไร ฮูหยินของจินเฮ่าเป็นสตรีจากครอบครัวสามัญ แต่เป็นภรรยาที่ตบแต่งของขุนพลใหญ่ มีแต่เออออเชื่อฟังไม่กล้าขัดขืน นางมีฝีมือในการปรุงอาหาร ซึ่งเขาก็มิได้รังเกียจนาง
แต่ในเวลาเช่นนี้ทำให้เขาบังเกิดความเบื่อหน่าย ภรรยาคู่ทุกข์ยากที่ทำให้เขาเห็นแล้วรำคาญใจ
หากเป็นยามปกติจินฮูหยินจะไม่เกรงกลัวขนาดนี้ แต่เพราะว่าเรื่องนี้จินกุ้ยเฟยได้ฝากคำสั่งมาถึงจวนขุนพลจิน
นางมักถูกขุนพลจินกล่าวว่าเป็นคนไร้ประโยชน์
ดังนั้นเมื่อคิดว่าเรื่องเล็กน้อยเท่านี้ไม่จำเป็นต้องแจ้งต่อจินเฮ่า อีกทั้งอีกฝ่ายก็เป็นเพียงขุนนางต้องโทษคงไม่อาจก่อให้เกิดเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาได้ จึงได้สั่งคนไปบอกแก่จินรั่วหลิน เจ้าลูกชายที่ไม่เอาไหนคนนั้น
แต่วันนี้นางได้ยินขุนพลจินพร่ำพูดเช่นนี้ จึงได้รู้ว่าเป็นไปได้ที่นางจะก่อเรื่องที่ไม่เข้าท่าขึ้นแล้ว
ตอนที่ 367 หยวนซิ่วฟัง
จินฮูหยินรู้ว่าตนเองทำเรื่องผิดพลาดขึ้นแล้วยิ่งหวั่นเกรงว่าสามีจะรู้เข้า แต่นางก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจจะปิดบังได้ ขุนพลจินเห็นภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากอ้ำอึ้งอยู่เช่นนั้นจึงระเบิดโทสะคว้ากระบี่ขึ้นฟันโต๊ะจนขาดออกเป็นสองเสี่ยง
“เจ้าเด็กเนรคุณเห็นว่าข้าแก่แล้ว คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการเจ้าด้วยมือ…”
ขุนพลจินเฮ่ากำลังโกรธขึ้งตะโกนคำพูดที่ไม่ยำเกรงออกมา ขณะนั้นมีฮูหยินงดงามคนหนึ่งเดินอย่างสงบเข้ามาในห้อง
“ท่านพ่อ อยู่ในเมืองหลวงเช่นนี้ เอ่ยวาจาตามใจไม่ได้นะเจ้าคะ”
สตรีนางนั้นแต่งกายด้วยกระโปรงแขนกว้างสีชมพู ปักลายโบตั๋นดอกใหญ่งานประณีตพิถีพิถัน หยวนซิ่วฟังเป็นภรรยาของจินรั่วหลิน นางเดินเข้าไป นิ้วมือแตะอยู่บนริมฝีปาก
แสดงการปกปิดกิริยาวาจาต่อพ่อสามี ถึงแม้จินเฮ่าจะไม่ฟังคำพูดของภรรยา แต่กับคำพูดลูกสะใภ้แล้ว เขาเชื่อถือยิ่ง
เพราะสะใภ้คนนี้เป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ มีความรอบคอบในการทำงานและยุติธรรมจนได้ใจของทุกคน
ดังนั้นพอสะใภ้คนนี้เข้าบ้าน นางก็กลายเป็นเจ้าบ้านหญิงที่ดูแลครอบครัว ถึงแม้บุตรชายจินเฮ่าจะไม่มีความสามารถนัก ทว่าลูกสะใภ้ของเขาคนนี้เป็นความพึงพอใจของเขาอย่างยิ่ง กระทำการใดก็มีมารยาทรู้กาลเทศะ ทั้งฉลาดปราดเปรื่องมีความสามารถ
“ซิ่วฟังมาแล้ว…”
เมื่อจินฮูหยินเห็นลูกสะใภ้เข้ามาเหมือนดั่งเห็นผู้ช่วยชีวิต บ่าวไพร่ที่ด้านนอกก็พากันถอนใจโล่งอก โทสะของขุนพลจินรุนแรงยิ่ง ผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งบ้านคงมีเพียงหยวนซิ่วฟังเท่านั้นที่สามารถปลอบเตือนได้บ้าง
จินกุ้ยเฟยที่อยู่ในวังได้รับอิทธิพลจากการได้รู้เห็นเช่นนี้เป็นประจำตั้งแต่เล็กจึงไม่ใคร่รู้สึกอะไรกับสิ่งนี้ สิ่งที่พวกนางพ่อลูกเหมือนกันมากที่สุดก็คืออารมณ์เช่นนี้นี่เอง
ถ้าหากสองพ่อลูกบันดาลโทสะขึ้นพร้อมกัน เรือนหลังนี้ก็ไม่เพียงพอให้ทึ้งทำลาย
ดีที่ว่าหยวนซิ่วฟังเมื่อแต่งเข้าบ้านสกุลจินแล้วก็ได้ช่วยคลี่คลายเรื่องเหล่านี้ไปได้
หยวนซิ่วฟังมองดูสภาพในห้อง นัยน์ตาไหวกระเพื่อมเล็กน้อย แล้วพูดยิ้มๆ ว่า
“ท่านพ่อมาเมืองหลวงเพื่อรักษาอาการป่วยจะบันดาลโทสะได้อย่างไร หากทางในวังรู้เข้าคงต้องกังวลใจเป็นแน่ ท่านพ่อว่าใช่หรือไม่เจ้าคะ”
หยวนซิ่วฟังเดินเข้าไปปลอบขุนพลจินเฮ่าที่บันดาลโทสะ นางปรายสายตาไปยังคนรับใช้ด้านหลังอย่างมีเจตนา
“ท่านพ่อใช้เวลาทั้งชีวิตในสมรภูมิมานาน ทั้งยังเฝ้ารักษาการณ์เพื่อประเทศชาติอยู่ในดินแดนกันดารเหน็บหนาวอย่างชังโจว บัดนี้อายุมากแล้วและฝ่าบาททรงห่วงใยจึงได้ให้ท่านกลับมาใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ในอวิ๋นหยางเมืองหลวงนี้ แล้วเหตุใดท่านพ่อไม่แก้นิสัยแบบขุนพลเสียเล่าเจ้าคะ ถึงจะดุว่าคนรับใช้ก็ไม่ควรต้องลงมือเองเลยนี่เจ้าคะ”
หยวนซิ่วฟังยังคงปลอบโยนขุนพลจินเฮ่าต่อไป ขณะเดียวกันก็พูดคำพูดประหลาดๆ อย่างมีนัย
จินเฮ่าสงบเยือกเย็นลงได้อย่างรวดเร็ว ผงกศีรษะเฉยเมย
หยวนซิ่วฟังลุกขึ้นหันกลับไปมองยังหมู่คนรับใช้
“พวกเจ้าแต่ละคนมัวทำอะไรกันอยู่ พื้นเลอะเทอะออกขนาดนี้ บ้านสกุลจินเลี้ยงพวกเจ้าเสียข้าวสุกกระมัง ต่อไปหากใครทำให้ทำพ่อไม่พอใจอีกพวกผู้ชายจะถูกส่งไปทำงานหนักที่ชังโจว ส่วนผู้หญิงก็จะจับขายเข้าซ่องนางโลมเสีย”
“เรื่องในวันนี้หากใครกล้าปริปากออกมาเพียงคำเดียวหรือพูดขึ้นกับคนอื่น ก็อย่าหาว่ากฎบ้านไร้ความปรานี!”
เมื่อหยวนซิ่วฟังส่งเสียงดุออกไปด้านนอก เหล่าพวกผู้ติดตามก็รีบผงกศีรษะรับทราบและรับรองว่าจะไม่พูดออกไปอย่างเด็ดขาด
ทำให้สีหน้าหยวนซิ่วฟังดีขึ้น เมื่อหันกลับมา นางจ้องมองจินเฮ่า
“ท่านพ่ออย่าได้กังวลใจไปเลย เรื่องนี้มีที่มาที่ไป อีกสักครู่หนึ่งสะใภ้จะเล่าให้ท่านพ่อฟังที่ห้องหนังสือนะเจ้าคะ”
หยวนซิ่วฟังเป็นคนทำงานสุขุมเสมอมา บิดานางเป็นรองมุขมนตรีฝ่ายบริหารซึ่งเป็นงานของขุนนางใกล้ชิดฮ่องเต้ การที่เขาสามารถดำรงตำแหน่งนี้ได้นั้น เบื้องหลังก็ต้องอาศัยกำลังของขุนพลจินไม่น้อย
แต่เขาชื่นชอบลูกสะใภ้คนนี้ด้วยรู้สึกว่านางสามารถดูแลครอบครัวได้ การได้ช่วยเหลือครอบครัวนางก็เหมือนกับการช่วยเหลือตัวเขาเองเช่นกัน