ตอนที่ 370 กระอักกระอ่วน
ความจริงเซียงฉืออ่านรายงานอยู่ แต่เมื่อคืนนี้เหนื่อยหนักหนาเกินไปจริงๆ นางอ่านพลางสัปหงกไปพลาง และสุดท้ายก็หลับไปจริงๆ
เวลานี้นางกำลังหลับสบายที่สุด แต่จู่ๆ รู้สึกคันจมูกขึ้นมา เป็นความรู้สึกที่ประหลาด จึงสูดจมูกเบาๆ ด้วยความสงสัยแล้วลืมตาขึ้น
แล้วก็เห็นดวงตาคู่หนึ่งกับริมฝีปากบางอมชมพูอยู่ใกล้แค่เอื้อม แถมริมฝีปากนั้นดูเหมือนจะยิ่งเข้ามาใกล้ เซียงฉือลนลานหลบโดยสัญชาตญาณ
“โอ๊ย!”
ทั้งคู่ร้องขึ้นพร้อมกันด้วยความตกใจ หรงจิงขยี้จมูก เซียงฉือป้องหน้าผาก ปิดดวงตาทั้งคู่แน่นแล้วหลบห่างออกไป
หรงจิงมองเซียงฉือด้วยสายตาเย็นชา ผู้หญิงคนนี้ เมื่อคืนยังมีเจตนายั่วยวนเขาอยู่บ้าง แต่เหตุใดวันนี้จึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้
เซียงฉือได้ยินเสียงของหรงจิงยิ่งทำให้นางไม่กล้าลืมตา ได้แต่หลบซ่อนกุมศีรษะไว้
“โอ๊ยๆๆ เจ็บจะแย่แล้ว!”
หรงจิงเห็นนางเอะอะโวยวายขึ้นก่อนเช่นนั้น ก็หัวเราะอย่างรู้สึกสนุก
“ก็เจ้านั่นแหละที่พุ่งเข้ามา”
“ผิดเองแล้วยังจะโวยวายขึ้นก่อนอีก!”
หรงจิงเหลือบมองนางเหยียดๆ นิดหน่อยแล้วขยี้จมูก เขามองดูพวงแก้มเป็นสีชมพูคู่นั้นแต่ไม่ได้นึกสนุกเหมือนเมื่อครู่ก่อนแล้ว จากนั้นค่อยๆ เดินไปยังที่ของตนแล้วนั่งลงอย่างเรียบร้อย
“ข้าราชสำนักสตรีที่อยู่ในหน้าที่แต่กลับกล้านอนหลับ ข้าควรจะลากตัวเจ้าออกไปตีสักสิบไม้ จะได้ตื่นเต็มตา”
การกระทำของหรงจิงเมื่อครู่ออกจะล่อแหลม หากนางยังคงหลับอยู่ก็ไม่สู้กระไรนัก แต่นางตื่นขึ้นมาเช่นนี้ช่างน่ากระอักกระอ่วน แต่ว่าหรงจิงเป็นผู้ชาย ส่วนเซียงฉือเป็นข้าราชสำนักสตรี ทั้งยังเป็นคนของเขา หากเขาคิดจะทำอะไรแล้วจะเป็นไรไป
เซียงฉือได้ยินคำพูดของหรงจิงก็รู้ว่าเขาแค่ข่มขู่นางเพื่อไม่ให้นางพูดถึงเรื่องเมื่อครู่อีก นางจึงหมุนกายแล้วทำความเคารพหรงจิงตามปกติ
“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเกษมสำราญเพคะ”
“ฝ่าบาทอย่าทรงตีหม่อมฉันเลยเพคะ หากถูกตีแล้วหม่อมฉันก็ต้องกลับไปรักษาบาดแผลที่กองราชเลขา ถึงเวลานั้นฝ่าบาทไยมิขาดคนคอยเตรียมหมึกพู่กันถวายเพคะ”
เซียงฉือเลิกคิ้วยิ้มนุ่มนวล นางไม่เอ่ยถึงเรื่องเมื่อครู่ ท่าทางได้ใจของนางเช่นนี้ทำให้นางดูงดงามขึ้นอีกไม่น้อย
“เจ้านี่นะ ยังจะกล้าข่มขู่ข้าอีกหรือ”
หรงจิงมองดูรายงานที่เซียงฉือเปิดหน้าที่สำคัญไว้แล้ว อีกทั้งฝนหมึกเตรียมพู่กันไว้อย่างพร้อมสรรพ รอเพียงให้เขาอ่านตรวจสอบ
เห็นของพวกนี้แล้วเข้าใจความคิดนาง เขาจึงเลิกทำท่าทางขึงขัง น้ำเสียงก็อ่อนลง
“ครั้งนี้ปล่อยเจ้าไปก็แล้วกัน เจ้าเด็กต๊อง นับว่าเจ้ายังรู้งาน”
หรงจิงกวาดตามองการจัดวางสิ่งของบนโต๊ะซึ่งเป็นไปตามความคุ้นเคยของเขาเช่นนั้นแล้วก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
เซียงฉือยิ้มน้อยๆ ทำความเคารพสำนึกในพระกรุณา
เมื่อนางหันกลับไปรอยยิ้มก็ถูกเก็บไปด้วย ไม่เหลือร่องรอยความยินดีสักเล็กน้อย วันนี้นางไปพบเหอจิ่นเซ่อมา
เหอจิ่นเซ่อเพียงพูดกับนางประโยคหนึ่งว่า
‘ฝ่าบาททรงเป็นฝ่าบาทของคนทั้งแผ่นดิน ไม่ใช่ฝ่าบาทของเจ้าเพียงคนเดียว เขาที่เจ้าเคยรู้จักควรต้องลบออกจากใจไปได้แล้ว ให้จดจำไว้แต่เพียงที่ปรากฏอยู่เท่านั้นเป็นพอ’
เซียงฉือได้เล่าเรื่องที่ผ่านมาทั้งก่อนและหลังรู้จักกับหรงจิงออกไปจนหมดสิ้น ไม่ใช่เพราะนางตั้งใจจะเล่า แต่เพราะความฉลาดของเหอจิ่นเซ่อ ด้วยฮ่องเต้นั้นเย็นชากับทุกคนตลอดมา ทว่าจู่ๆ กลับให้ความสนิทสนมกับเซียงฉือถึงเพียงนี้
สาเหตุก็มีเพียงสองประการคือ
หนึ่ง สำหรับเขาแล้ว เซียงฉือเป็นข้าราชสำนักสตรีที่แตกต่างจากข้าราชสำนักสตรีทั่วไป
สอง เขาเตรียมจะรับเซียงฉือไว้เป็นสนม
เซียงฉือจึงไม่กล้าปิดบังแล้วเล่าเรื่องที่นางรู้จักกับเขา โดยคิดว่าเขาเป็นทหารองครักษ์ออกมาหมดสิ้น เมื่อเป็นเช่นนั้น เหอจิ่นเซ่อจึงได้วางใจ
แต่ว่าคำพูดของเหอจิ่นเซ่อทำให้เซียงฉือต้องคิดอยู่นาน ลบออกจากใจ หมายถึงไม่ให้ถือเอาสิ่งนี้ทำให้ตนเองหยิ่งลำพองเป็นคนโปรด ไม่ให้อาศัยความสัมพันธ์ครั้งก่อนระหว่างหรงจิงกับนางมาทำให้ชีวิตแตกต่างเหนือกว่าผู้อื่น จะได้ไม่นำพาภัยถึงตายมาสู่ตนเอง แต่อีกประการหนึ่ง ยังคงต้องทำให้ฝ่าบาทรู้สึกถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดของทั้งสองคนไว้
ตอนที่ 371 ลมพัดเอื่อยๆ
เซียงฉือคิดถึงคำพูดของเหอจิ่นเซ่อมาตลอดทาง แม้นางจะหลับไปตื่นหนึ่งแล้วแต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าจะต้องแบ่งเขตคั่นอย่างไร
จนกระทั่งเมื่อครู่ที่หรงจิงใกล้จะจูบนางแล้ว เซียงฉือจึงได้ตระหนก ชั่วขณะนั้นรู้สึกถึงเสียงหนึ่งจากในร่างกายที่บอกกับนางว่า ต้องหาวิธีหลบหลีกจากหรงจิงให้ได้
อย่าให้เขาเกิดความคิดที่มิสมควรกับตนเองขึ้นอีก
เพราะว่านางไม่ใช่ข้าราชสำนักสตรีทั่วไป นางหมั้นหมายกับเหอเจี่ยนสุยแล้ว ชายผู้ที่เติบโตมาพร้อมกับนาง เพื่อนางที่เป็นเพียงบุตรสาวขุนนางต้องโทษคนหนึ่ง เขาไม่คำนึงถึงชื่อเสียงลาภยศ ไม่เสียดายที่จะสละทรัพย์สมบัติทั้งหมดเพื่อหาหนทางช่วยเหลือครอบครัวของนาง
จากคนที่หยิ่งทะนงแต่ต้องไปทำเรื่องที่เขารังเกียจที่สุด เซียงฉือติดค้างน้ำใจเขามากมายเกินไป หนักหนาเกินไป นางจะทรยศต่อเขาไม่ได้เป็นอันขาด
เซียงฉือหลบพ้นแล้ว นางซ่อนอยู่ในมุมหลืบหนึ่ง ถึงจะยังคงนวดศีรษะอยู่ แต่ก็คิดถึงคำพูดประโยคนั้นของเหอจิ่นเซ่อขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
‘ลบออกจากใจ จดจำแต่กาย’
นางเข้าใจแล้วจริงๆ เหมือนดั่งยามที่ลมพัดขึ้นมา คนไม่รู้ว่าลมนั้นมีลักษณะอย่างไร ต่อเมื่อลมพัดเอากลีบดอกไม้ร่วงหล่นและหมุนเคว้งอยู่กลางอากาศ ถึงตอนนั้นจึงได้รู้ว่าที่แท้ลมก็เป็นเช่นนี้เอง
และนางก็เป็นเช่นนี้ ในชั่วขณะหนึ่งนั้นนางเข้าใจความหมายของเหอจิ่นเซ่อ ทั้งยังได้กระทำตามออกไปแล้ว ตอนนี้เหมือนลมพัดขึ้นเอื่อยๆ หรงจิงเห็นนางเป็นคนรู้ใจย่อมต้องปกป้องนาง ทะนุถนอมนาง จะไม่เห็นนางเป็นดั่งผู้หญิงคนหนึ่งที่คิดจะยึดไว้เป็นของตนเอง
เซียงฉือเข้าใจในจุดนี้แล้ว มุมปากนางจึงเชิดขึ้นน้อยๆ
นางต้องรักษาบุญคุณไว้เช่นนี้ ถึงตอนท้ายจะได้ทูลขอพระกรุณาให้นางได้ออกจากวัง
เมื่อนางคิดแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองออกไปยังลมที่เบื้องนอก เห็นลมพัดกลีบดอกไม้บนยอดไม้ ลอยละลิ่วๆ ไปไกล
หรงจิงอ่านรายงานต่างๆ ที่เซียงฉือเปิดเตรียมไว้ให้เขาจบแล้ว พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าทางฝั่งซ้ายมือมีกองรายงานตั้งใหญ่ รายงานพวกนี้ตั้งกองเป็นภูเขาเลากาขวางกั้นระหว่างเขากับเซียงฉือ
เขามองเห็นได้แต่เพียงมวยผมแต่มองไม่เห็นใบหน้านาง
หรงจิงไม่สบอารมณ์ เขาสุ่มดึงรายงานฉบับหนึ่งออกจากกองมาอ่าน
เซียงฉือจะนำรายงานที่คณะองคมนตรีส่งขึ้นมาจัดแจงอีกครั้ง แยกประเภทตามความคุ้นชินและความชอบของฮ่องเต้อย่างละเอียด รายงานที่เร่งด่วนจะถูกจัดวางอยู่เบื้องหน้าหรงจิง และนางยังจัดอีกส่วนที่เลือกอ่านในช่วงเวลาใกล้ๆ นั้นวางอยู่ทางฝั่งซ้ายมือของหรงจิง เพื่อสะดวกต่อเขาในการเปิดอ่านได้ทุกเวลา
หรงจิงเกิดความคิดประหลาดจึงดึงรายงานออกจากกองมาเล่มหนึ่ง แล้วเขาก็ตระหนกที่พบว่า เมื่อรายงานเล่มนั้นถูกดึงออกมาแล้ว เขาสามารถมองเห็นเซียงฉือที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือของเขาผ่านซอกเล็กๆ ได้
เขาจึงดึงออกมาอีกเล่มหนึ่ง ซอกนั้นก็กว้างขึ้นอีกมาก ตอนนี้สามารถมองเห็นหน้าตาเซียงฉือที่ก้มอยู่ ริมฝีปากหรงจิงผุดรอยยิ้มราวเด็กๆ ขึ้นมา
หรงจิงรู้สึกสนุกสนานเต็มประดา จึงดึงรวดเดียวออกมาสามเล่ม
“ครืน…”
เขาลืมคิดไปว่ารายงานตั้งนั้นจะเป็นคล้ายดั่งภูเขาพังทลายแล้วจู่ๆ ก็ล้มครืนลง เขาตกตะลึง เซียงฉือหันหน้ากลับไปอย่างรวดเร็ว
หรงจิงยังนั่งอยู่กับที่ในมือกำพู่กันอีกทั้งยังมีรายงานอีกหลายเล่มในมือ เขารู้สึกขัดเคือง เจ้ากองรายงานนี้ไม่มั่นคงเอาเสียเลย เขาเพียงดึงออกมาห้าเล่มก็ทลายลงเสียแล้ว
เซียงฉือหันไปทันทีที่ได้ยินเสียงแล้วก็พบว่าตั้งรายงานได้ทลายลงแล้ว เมื่อเห็นคิ้วที่ขมวดมุ่นของหรงจิงก็กังวลว่าเขาจะไม่พอใจ จึงรีบเรียกซูกงกงให้เข้ามาช่วยเก็บ
แต่หรงจิงกลับสะบัดมือ “ออกไป ออกไป!”
“ต่อไปห้ามกองรายงานให้สูงเช่นนี้อีก ยกไปวางทางเจ้าซะ”
เซียงฉือฟังคำพูดนั้นอย่างงงงวย หมายความว่าอย่างไร
“ฝ่าบาท สูงแค่ไหนจึงจัดว่าสูงเพคะ”
เซียงฉือเก็บไปพลางถามไปด้วย ด้วยในตำหนักนี้มีที่ให้วางรายงานอยู่ไม่มาก นอกจากโต๊ะหยกแล้วก็มีเพียงที่ตรงเบื้องหน้านาง ซึ่งที่ตรงนั้นก็ได้ตั้งกองเป็นภูเขาไปแล้ว