ลู่จิ้นยวนยืนพิงกายอยู่ตรงหน้าต่าง มองออกไปข้างนอกอย่างสงบ เหมือนรูปปั้นแกะสลักที่งดงามไร้ที่ติ
“คุณมาได้ไง?” เวินหนิงเอามือทาบอกด้วยความตกใจที่เห็นเขา
เธอนึกว่าที่บ้านมีขโมยขึ้นซะอีก ถึงแม้ว่าของเธอจะไม่มีค่าอะไรเลยถ้าเทียบกับบ้านหลังนี้ก็ตาม
“มาดูว่าเธอไปทำอะไรมา” ลู่จิ้นยวนนึกถึงภาพที่มีชายหนุ่มมาส่งเวินหนิงเมื่อครู่ แล้วยังเป็นชายหนุ่มที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย
สำหรับพฤติกรรมติดตามส่อส่องอย่างเปิดเผยของลู่จิ้นยวนแบบนี้ เวินหนิงไม่เข้าใจเอาซะเลย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
เธอไม่เข้าใจว่าลู่จิ้นต้องการอะไร ยังไงเธอกับเขาก็เป็นแค่อดีตสามีภรรยาไปแล้ว เขาจะมายุ่งอะไรกับเธอมากมายทำไม?
“นั้นแฟนใหม่เธอเหรอ?” ลู่จิ้นยวนมองดูสีหน้าไม่พอใจของเธอ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรเท่าไหร่
เวินหนิงจากที่กำลังอารมณ์ดีๆ ก็ถูกเขาทำให้รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที “ฉันก็บอกแล้วไงว่าฉันไปกินข้าวบ้านเพื่อนร่วมงาน คนที่บ้านเขาไม่อยากให้ฉันต่อรถกลับเอง จึงให้พี่ชายมาส่ง จะเชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่คุณ”
เธอสงสัยจริง ในสายตาของลู่จิ้นยวนเธอเป็นผู้หญิงแบบไหนกันแน่ ทำไมแค่เห็นเธออยู่กับผู้ชาย ก็ชอบคิดว่าเธอมีอะไรกับเขา
เธอไม่ใช่ผู้หญิงง่ายๆแบบนั้นซะหน่อย
พอเห็นเวินหนิงพูดทีเดียวยาวเหยียด จนหน้าแดงก่ำด้วยอารมณ์ ลู่จิ้นยวนที่ตึงเครียดก็ผ่อนคลายลง “ฉันยังว่าอยู่ว่า สายตาเธอทำไมถึงได้แย่ขนาดนั้น”
เวินหนิงได้ยินเขาพูดแบบนั้น ก็ทำท่ามองบนนึกในใจลู่จิ้นยวนนี่หมดยารักษาแล้วจริงๆ ก่อนจะเดินไปเอาผลไม้ในตู้เย็นออกมากิน
ลู่จิ้นยวนจึงถามขึ้นช้าๆ “เพื่อนร่วมงานคนไหน?”
เวินหนิงเกือบจะคายสะตอเบอร์รี่ที่เพิ่งกินเข้าไปออกมา “หลิวเมิ่งเซวี่ยไง คนที่อันเฉินรับเข้ามาทำงานเป็นกรณีพิเศษน่ะ”
พอได้ยินชื่อนี้ สีหน้าลู่จิ้นยวนก็ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หลิวเมิ่งเซวี่ยคนนี้อยู่ที่ทำงานก็ไม่ตั้งใจทำงาน เอาแต่อู้งาน ถ้าไม่เห็นแก่ที่เธอมีบุญคุณกับเขา แล้วเขายังรับปากเธอไว้อีกละก้อ ลู่จิ้นยวนคงไล่เธอออกไปนานแล้ว
แต่ไม่คิดว่าเธอกับเวินหนิงจะมาสนิทสนมกันได้
“เธอเห็นเขาแล้ว ไม่รู้สึกแปลกๆบ้างเหรอ?”
ครั้งที่แล้ว เวินหนิงก็เห็นเธอวิ่งขึ้นไปปรนนิบัติเขาถึงที่แล้วไม่ใช่เหรอ แบบนี้ยังเป็นเพื่อนกันได้เหรอ ในใจเวินหนิงจะไม่รู้สึกอิฉาบ้างเลย?
” ก็ไม่นะ ” เวินหนิงส่ายหน้า สำหรับหลิวเมิ่งเซวี่ยแล้ว เธอมองเขาเป็นเหมือนเด็กน้อยที่ต้องการความช่วยเหลือคนหนึ่งแค่นั้น
ลู่จิ้นยวนรู้สึกได้ว่าในใจเธอไม่เคยให้ความสำคัญอะไรกับเรื่องนี้เลย อยู่ๆเขาก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
เขามองไปยันเวินหนิงที่กำลังกินผลไม้อย่างสบายใจ โดยไม่มองมาทางเขาซะนิด ก่อนจะเดินออกไปอย่างโมโห “เอาแต่กินอยู่นั้นแหละ”
พูดจบ ก็เดินออกไปทันที
เวินหนิงมองเขาที่เดินจากไปอย่างประหลาดใจ เธอกินของเธออยู่ดีๆทำไมต้องมาว่าเธอด้วย เธอใช้เงินตัวเองซื้อมานะ
หรือว่า เขาไม่อยากให้เธอสนิทกับหลิวเมิ่งเซวี่ย เพราะกลัวว่าเธอจะหลุดปากเรื่องที่พวกเขาเคยแต่งงานกันมาก่อน กลัวจะมีผลต่อความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองเหรอ?
คิดไปคิดมา เวินหนิงก็รู้สึกว่ามันเป็นไปได้สูงมาก เพราะหลิวเมิ่งเซวี่ยเป็นคนที่ลู่จิ้นยวนรับเข้ามาทำงานเป็นกรณีพิเศษ แล้วยังกล้าทำตัวสนิทแนบชิดกับเขาในบริษัทฯอีก ถ้าไม่มีคนให้ท้ายเธอจะกล้าขนาดนั้นได้ไง?
คิดไปเวินหนิงก็รู้สึกหมดอารมณ์จะกิน เธอโยนผลไม้ทิ้งไว้บนโต๊ะ ก่อนจะหันไปฟังดนตรีโมสาร์ทสำหรับลูกในครรภ์
……..
หลิวยวนเทากลับถึงบ้าน หลิวเมิ่งเซวี่ยก็เห็นว่าเขาสีหน้าไม่สู้ดีนัก จึงรีบถามว่าเกิดอะไรขึ้น
พอรู้ว่าเวินหนิงพักอยู่ในโซนชุมชนไฮโซ ในใจของหลิวเมิ่งเซวี่ยยิ่งรู้สึกเจ็บใจ แบบนี้ต้องรีบให้หลิวยวนเทารวบหัวรวบหางซะแล้ว
“ที่จริงแล้ว เธอเป็นลูกคุณหนู พี่ดูไม่ออกเหรอเธอคล้ายกับเวินหลานที่เป็นดาราดังน่ะ และใช้นามสกุลเวินเหมือนกัน เธอเป็นลูกสาวของบ้านตระกูลเวิน ถ้าพี่ได้แต่งกับเธอ อนาคตพี่ก็ไม่ต้องเป็นหวงอีกแล้ว”
หลิวเมิ่งเซวี่ยสร้างเรื่องโกหกขึ้นมา โดยไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง และเพื่อช่วยหลิวยวนเทา เธอยอมควักเงินที่ลู่จิ้นยวนให้เธอบางส่วนกับเขา “พี่ จีบผู้หญิงต้องใช้เงินนะ ฉันช่วยพี่เอง ขอแค่จีบให้ติด ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่คุ้มค่า”
………..
วันจันทร์
พอถึงที่ทำงาน ขณะที่เวินหนิงกำลังจะขึ้นบนตึก พนักงานรักษาความปลอดภัยก็ยื่นดอกไม้ช่องใหญ่มาให้เธอ
เวินหนิงรู้สึกงงๆ มองดูช่องดอกไม้โดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่เพื่อนร่วมงานต่างพากันแซวขึ้นมาซะก่อน “โห อะไรกันเนี่ย!”
“ของใครเหรอ? หน้าตาเป็นยังไงหล่อมั้ย? เก็บเงียบเชียวนะ?”
เวินหนิงหน้าแดงระรื่นเล็กน้อย เธอเคยชินกับกันทำงานอยู่ในบริษัทฯเงียบๆ พอมาเป็นจุดสนใจแบบนี้ก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา
เธอถือช่องดอกไม้ขึ้นไปยันชั้นบน เวินหนิงรีบเปิดดูการ์ดที่แนบมาด้วย สภาพเธอตอนนี้ ยังมีลูกที่ไม่รู้ว่าใครคือพ่ออยู่ในท้อง แล้วจะให้มาสานสัมพันธ์กับใครได้ยังไง?
เพราะฉะนั้น ต้องไปบอกให้เขาไม่ต้องมาเสียเงิน เสียเวลากับเธอจะดีกว่า
ลู่จิ้นยวนที่เพิ่งขึ้นมา ก็เห็นเวินหนิงที่ถือกุหลาบช่องใหญ่กำลังก้มหน้าดูการ์ดอยู่
ดอกไม้ช่องใหญ่มาก ทำให้เวินหนิงถูกช่องดอกไม้บังไปกว่าครึ่งตัว บนช่องดอกไม่สีสดมีใบหน้าขาวใสโผล่พ้นขึ้นม ทำให้ดูสดใสสวยงามขึ้นไปอีก ให้ความรู้สึกที่ว่าคนดูสวยสดใสกว่าดอกไม้
แต่ลู่จิ้นยวนกลับไม่มีอารมณ์ชื่นชมภาพตรงหน้า เข้าเดินเข้าไปด้วยสีหน้าเข้มขรึม ปรายตามองช่องดอกไม้แวบหนึ่ง “ไม่สวยเลย นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว ยังให้ของแบบนี้อยู่อีก?”
เวินหนิงเงยหน้าขึ้นมามองสีหน้าเย็นชาของลู่จิ้นยวน “ก็ไม่ได้ให้คุณซะหน่อย”
ยังไงก็เป็นนำ้ใจของคนให้ ถึงจะไม่ชอบ ก็ไม่ควรพูดแบบนี้
“มาวางอยู่บนตึกฉัน ทำไมฉันจะพูดไม่ได้?”
ลู่จิ้นยวนเห็นว่าเวินหนิงกล้าต่อปากต่อคำกับเขา ยิ่งพูดขึ้นอย่างไม่เกรงใจ
เห็นเวินหนิงไม่พูดอะไรอีก ชายหนุ่มจึงทำเสียงขึ้นจมูก ก่อนพูด “เอาไปทิ้งซะ อย่าให้ฉันเห็นมันอีก”
“คือ ไม่จำเป็นต้องทิ้งก็ได้มั้ง?” เวินหนิงดูบนการ์ดไม่ได้ลงชื่อ เขียนเพียงประโยคสั้นๆว่า “รักเธอตั้งแต่แรกพบ”
ถึงยังไงซะนี่ก็เป็นครั้งแรกที่มีคนส่งช่องดอกไม้ให้เธอ เวินหนิงรู้สึกเกรงใจถ้าจะเอาไปทิ้งแบบนี้
“จำเป็นหรือไม่จำเป็น ฉันเป็นคนตัดสิน ถ้าให้ฉันเห็นดอกไม้ช่องนี้อีก ฉันจะเป็นคนเอามันไปทิ้งเอง”
ไม่ทิ้ง แล้วจะเก็บไว้ให้เธอมานั่งคิดถึงคนให้เหรอ?
ลู่จิ้นยวนพูดเสร็จก็เดินจากไป เวินหนิงไม่รู้จะทำยังไง แต่ก็ขัดคำสั่งของลู่จิ้นยวนไม่ได้ เธอจึงแกะช่องดอกไม้ออก นำดอกไม้บางส่วนไปให้เพื่อนร่วมงาน บางส่วนนำไปใส่แจกันตั้งไว้ในห้องน้ำ
ลู่จิ้นยวนเห็นท่าทางเคืองๆของเธอแล้ว ก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ดอกไม้ช่องเดียว ต้องขนาดนี้มั้ย?
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา โทรฯหาอันเฉิน ออกคำสั่งไปไม่กี่ประโยค
ไม่นาน เวินหนิงก็ได้รับดอกไม้อีกช่องหนึ่งที่ใหญ่กว่าช่องเมื่อเช้าหลายเท่า
ถึงขนาดต้องใช้คนส่งถึงสองคนยกขึ้นมา
เวินหนิงเห็นแล้วก็ตกใจจนนิ่งอึ้งไป พอเปิดออกมาดู ก็เห็นว่าเป็นดอกลิลลี่จำนวนเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดอกจับช่องเป็นรูปหัวใจ
ลู่จิ้นยวนเห็นเวินหนิงทำท่าตกใจจนตาโต ก็ยกมุมปากขึ้นยิ้มเล็กน้อย