เวินหนิงแปลกใจไป ทำไมอันเฉินถึง……
แต่ว่า เธอก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจ “เปล่า ก็แค่รู้สึกเหนื่อย”
อันเฉินเอือมระอา อยากจะอธิบาย แต่เวินหนิงก็เอ่ยปากไล่ “ฉันเหนื่อยแล้วอยากพักผ่อน คุณกลับไปก่อนเถอะ”
เห็นเธอยืนยันแบบนี้ อันเฉินก็ทำอะไรไม่ได้ คิดไปคิดมา เรื่องนี้ก็คงจะต้องให้เจ้าตัวมาจัดการเองจะดีกว่า “งั้นผมไม่รบกวนแล้วนะครับ”
เมื่ออันเฉินเดินออกไป ก็ไปหาลู่จิ้นยวน แล้วรายงานอาการเวินหนิงกับเขา จากนั้นก็พูดเติมไปเองว่า “หรือว่า คุณหนูเวินยังรู้สึกติดใจกับเรื่องบนดาดฟ้าวันนั้น”
เมื่อลู่จิ้นยวนได้ยินก็ขมวดคิ้ว “นายเป็นคนพูดมากตั้งแต่เมื่อไหร่?”
อันเฉินก็จากไปอย่างเอือมระอา อยู่ขั้นกลางระหว่างสองคนนี้ รู้สึกว่าอึดอัดมาก
เมื่อลู่จิ้นยวนจัดการเรื่องของหลิวเมิ่งเซวี่ยเสร็จ ก็มองเธอขึ้นรถย้ายโรงพยาบาลไป จากนั้นก็เงยหน้ามองขึ้นไปตรงห้องของเวินหนิง
กี่วันนี้ เหมือนว่าเขาจะไม่เคยไปเยี่ยมเธอเลยสักครั้ง
ได้ข่าวว่า เธอไม่กินข้าวอีกแล้ว?
เมื่อนึกถึงคุณหมอพูดว่าสารอาหารเธอไม่ครบถ้วน ผู้ชายคนนี้ก็ขมวดคิ้ว สุดท้ายก็เดินไปหา
ลู่จิ้นยวนเปิดประตูเข้าไป เวินหนิงกำลังดูทีวีอยู่ ตอนนี้เธออยู่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรทำ ก็เลยต้องเสียเวลากับเรื่องไร้สาระแบบนี้
“ร่างกาย เป็นยังไงบ้าง?” ถึงแม้ลู่จิ้นยวนจะมาเยี่ยม แต่ก็พูดแค่น้อยนิด
เมื่อเวินหนิงได้ยินเขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแบบนี้ ในใจก็ยิ้มอย่างยากเย็น ถ้าไม่อยากมาเยี่ยมเธอก็ไม่จำเป็นต้องมา ทำไมต้องทำตัวเย็นชาแบบนี้ด้วย เธอได้ยินแล้วไม่รู้สึกอบอุ่นใจเลย
“ยังดี ไม่ตายหรอก”
คำพูดเวินหนิงก็เย็นชาเหมือนกัน แค่ฟังก็ดูเหมือนว่ากำลังหาเรื่อง
ลู่จิ้นยวนเกือบจะโมโห แต่ว่า พอนึกถึงเรื่องที่อันเฉินพูดกับเขา ก็หักห้ามไว้ “วันนั้น ที่ผมต้องพูดกับคนพวกนั้นว่าช่วยคนอื่นแต่ไม่ช่วยเธอ เป็นเพราะโจรพวกนั้นเคยมีคดีมาแล้ว พวกเขาเป็นคนที่ไม่รักษาคำพูด ไม่มีทางทำตามสิ่งที่ผมเลือกแน่นอน ก็เลย เพื่อที่จะคุ้มกันความปลอดภัยของเธอ ก็เลยพูดแบบนั้น”
เวินหนิงมองไปที่ลู่จิ้นยวน “ถ้าเป็นนาย ถ้าถูกทอดทิ้งแล้วมาได้ยินคำแก้ตัวแบบนี้ จะเชื่อหรอ?”
เวินหนิงไม่เชื่ออยู่แล้ว ใครจะรู้ว่านี่เป็นข้ออ้างที่ลู่จิ้นยวนคิดขึ้นมาหรือเปล่า หรือว่าคิดแบบนั้นจริงๆ?
เธอไม่อยากยืดยื้ออะไรที่เกี่ยวกับเขาอีก
“ผมจำเป็นต้องโกหกด้วยหรอ?” นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่จิ้นยวนอธิบายแบบนี้กับคนอื่น แต่พอเห็นเวินหนิงสงสัย ในใจก็รู้สึกไม่สบอารมณ์
“จะเชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่”
พูดจบ ลู่จิ้นยวนก็ลุกขึ้น “ในเมื่อเธอหวงชีวิตขนาดนี้ งั้นก็ทำตามที่คุณหมอพูด กินข้าวดีๆ อย่าให้คนอื่นรู้ว่าสารอาหารไม่ครบถ้วนอีก ถ้าถึงเวลา ก็จะคิดว่าผมทารุณอะไรเธออีก”
ลู่จิ้นยวนเดินออกไป
เวินหนิงนั่งอยู่บนเตียง แล้วเห็นแผ่นหลังของเขาเดินจากไป
ในหัวก็มีแต่คำพูดของเขาวนเวียนอยู่
ถึงแม้จะบอกตัวเองว่าอย่าไปเชื่อคำพูดของผู้ชายคนนี้ แต่ว่า หลังจากที่ได้ยินคำอธิบายของเขา อารมณ์เธอ ก็ดีกว่าเมื่อกี้ไม่น้อย
ลู่จิ้นยวนทำแบบนี้ เป็นเพราะจะปกป้องเธอจริงหรอ?
เวินหนิงก็โทรไปหาอันเฉิน เมื่ออันเฉินได้ยินว่าเธอกำลังจะหลอกถามอะไรบางอย่าง ในใจก็รู้สึกโล่งอกไปด้วย
ทั้งสองทะเลาะกัน เขาก็จะบ้าอยู่แล้ว ต้องรีบพูดให้เคลียร์ ไม่งั้นเขาก็จะเป็นคนไกลเกลียอีก
“ถ้าไม่เชื่อ เดี๋ยวผมจะเอาข้อมูลที่ผมเช็คได้วันนั้นให้คุณดู”
เมื่อได้ยินอันเฉินพูดแบบนี้ เวินหนิงก็แน่ใจแล้วว่า สิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง
แล้วอีกอย่าง ลู่จิ้นยวนไม่จำเป็นต้องโกหกเธอด้วย เพราะยังไง ถึงแม้เขาจะทำแบบนั้น เวินหนิงก็ทำอะไรเขาไม่ได้
พอนึกถึงที่นี่ อารมณ์เวินหนิงก็ดีขึ้นไม่น้อย เมื่อกี้อารมณ์เสียก็เลยไม่รู้สึกหิว ตอนนี้ท้องก็ร้องทันที
เวินหนิงรีบเรียกพยาบาลมา แล้วรีบกินอาหารมื้อเที่ยง
กินไปด้วย เธอก็ลูบท้องไปด้วย “ต่อไปคุณแม่จะไม่เอาแต่ใจแบบนี้อีก ขอโทษนะคะลูกรัก”
พอกินเสร็จ อารมณ์เวินหนิงก็กลับมาเป็นปกติ เมื่อนึกถึงท่าทางที่ลู่จิ้นยวนมีต่อตัวเอง ในใจก็รู้สึกผิด ขณะเดียวกัน ก็รู้สึกสับสนด้วย
ตอนนี้ ลู่จิ้นยวนยังไม่รู้ว่าเด็กในท้องของเธอเป็นลูกของเขา
เธอ จะบอกเขาดีไหม?
พอจินตนาการถึงสีหน้าของลู่จิ้นยวนเมื่อรู้เรื่องนี้ เวินหนิงก็รู้สึกว่าในหัวตีกันวุ่น
คิดไม่ออกก็เลยไม่คิดดีกว่า เธอดึงผ้าห่มขึ้นมาแล้วปิดหัวตัวเองไว้ จากนั้นก็นึกอะไรออก แล้วรีบลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์
“เรื่องครั้งนี้ ขอบคุณมาก”
หลังจากที่พิมพ์ส่งข้อความไปให้ลู่จิ้นยวน เวินหนิงก็กลับมามุดในผ้าห่มอีกครั้ง
ในเมื่อเขาช่วยเธอ งั้นก็ต้องขอบคุณสิ
ลู่จิ้นยวนกลับไปถึงบริษัทแล้ว กี่วันนี้ก็เอาแต่ยุ่งเรื่องที่โรงพยาบาล งานในบริษัทก็กองเป็นภูเขา เขาต้องรีบกลับไปจัดการ
จากนั้น โทรศัพท์ก็ดัง แล้วเห็นว่าเวินหนิงส่งข้อความมา มุมปากผู้ชายคนนั้นก็คลายออก
ผู้หญิงคนนี้ ยังถือว่ามีหัวใจ ไม่เหยียบย่ำความหวังดีของเขา
……
เวินหนิงหลบอยู่ในผ้าห่มไปสักพัก โทรศัพท์ก็ไม่ดังสักที ลู่จิ้นยวนไม่ได้ตอบกลับเธอ
ในใจเธอก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง ผ่านไปนานมาก ค่อยปิดเสียงโทรศัพท์
เมื่อกี้เธอเหมือนผู้หญิงที่เพิ่งสารภาพรักแล้วกำลังรอคำตอบ ก็แค่คำขอบคุณ ทำไมลู่จิ้นยวนต้องตอบอะไรกลับมาด้วย
ในใจกำลังว้าวุ่น เวินหนิงก็นอนไม่หลับ ก็เลยเปิดทีวีดูรายการบนนั้น
บังเอิญมาก ในทีวีก็กำลังเป็นละครที่ดราม่ามาก
นางเอกในทีวี มีแต่คุณแม่ไม่มีคุณพ่อตั้งแต่เด็ก เธอรู้สึกน้อยใจมาก ตอนที่เรียนอยู่ก็ถูกเพื่อนล้อว่าเป็นเด็กไม่มีพ่อ แล้วถูกรังแก
เวินหนิงเห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นดึงมือคุณแม่ไว้ แล้วถามเธอว่าคุณพ่ออยู่ไหน ท่าทางที่คุณแม่ไม่รู้จะอธิบายยังไง ในใจก็รู้สึกเสียใจไปด้วย
ทีแรก เธอไม่อยากได้เด็กคนนี้ ตอนนี้เก็บไว้แล้ว ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จนลืมคิดไปถึงเรื่องในอนาคต
พอเห็นละครเรื่องนี้ เธอค่อยรู้ เลี้ยงเด็กคนหนึ่งไม่ได้ง่ายเหมือนที่คิดไว้
ถ้าเด็กถามว่าพ่อของตัวเองเป็นใคร เธอจะตอบยังไง? ครอบครัวที่ไม่มีคุณพ่อ อีกหน่อยเด็กจะโดนรังแกหรือเปล่า จะมีรอยด่างอะไรในใจหรือเปล่า?
คำถามพวกนี้ ทำให้เวินหนิงตกอยู่ในภวังค์
โดยเฉพาะ……ที่ลู่จิ้นยวนเลือกที่จะช่วยเธอตอนที่เธออยู่ในอันตราย นี่ก็แสดงว่า เขาไม่ได้เกลียดเธอขนาดนั้นใช่ไหม?
พอนึกถึงที่นี่ เวินหนิงก็ไม่รู้จะทำยังไงดี
ส่วนหนึ่งเป็นห่วงอนาคตของเด็ก อีกส่วนหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าลู่จิ้นยวนจะคิดยังไงกับเด็กคนนี้