“ก็แค่อะไร?”
ลู่จิ้นยวนให้เธอพูดให้จบ
เวินหนิงสูดหายใจเข้าลึก “ที่ฉันทำแบบนั้นฉันมีจุดประสงค์ของตัวเอง”
เธอไม่ใช่คนสำส่อน ถ้าไม่ใช่เพราะหลักฐาน แล้วเพื่อตามหาคุณแม่ จะยุ่งกับยวี๋เฟยหมิงได้ยังไง
“จุดประสงค์อะไร?”
ลู่จิ้นยวนไม่พอใจกับคำตอบนั้นอย่างชัดเจน “สรุป เธอคิดจะอยากทำอะไร?”
เวินหนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ เธอมองสบตาลู่จิ้นยวน จนลืมไปว่าท่าทางที่ใกล้ชิดของทั้งสอง “ถ้าฉันบอกแล้ว นายจะเชื่อหรอ?”
ลู่จิ้นยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาค่อยนึกขึ้นได้ สำหรับคำพูดของเวินหนิงที่พูดกับเขา ก็แค่ฟังผ่านๆ ไม่เคยตั้งใจฟังเลย แล้วไม่เคยเชื่อด้วย
ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก เขาก็พยักหน้า “ขอแค่เธอพูด ฉันก็จะเชื่อ”
เวินหนิงยิ้ม “ถ้าฉันบอกว่า คนที่ชนนายตอนนั้นไม่ใช่ฉัน แต่เป็นเวินหลาน วันนั้นเป็นวันเกิดครบรอบสิบแปดปีของฉัน เธอกับคนในครอบครัวฉันหลอกให้ฉันใส่ชุดนั้น แล้วให้ฉันขับรถคันนั้นออกไปรับลม นายจะเชื่อไหม?”
เวินหนิงไม่รู้ว่าเป็นอะไร มองเห็นสายตาคู่นั้นก็พูดเรื่องทุกอย่างออกมา
หรือว่า ลู่จิ้นยวนอาจจะไม่เชื่อ แต่อย่างน้อย เธอก็ไม่ได้โกหก
ลู่จิ้นยวนเงียบไปสักพัก คำพูดนี้ทำให้รู้สึกตกใจมาก แขนที่เขาวางอยู่บนตัวเวินหนิงก็คลายออกไม่น้อย
เวินหนิงรู้สึกได้ ก็เลยยิ้มเยาะเย้ยให้ตัวเอง
ดูเหมือนว่า เธอจะโลกสวยเกินไป ลู่จิ้นยวนยังฝังใจกับเรื่องตอนนั้น กับเรื่องที่ผ่านไปแล้ว จะเชื่อฟังคำพูดด้านเดียวของเธอได้ยังไง?
คิดไปด้วย เธอก็ลุกขึ้น แต่ลู่จิ้นยวนก็จับแขนไว้
“นั่งลง”
เสียงของผู้ชายคนนี้ มีความแหบแห้ง
ถึงแม้จะเป็นเขา เป็นผู้ถูกกระทำ จะให้เข้าใจเรื่องตอนนั้นก็ถือว่ายากลำบากอยู่
“เธอพูดว่า คนที่ชนฉันตอนนั้นเป็นเวินหลาน?”
คำพูดแบบนี้ ดูตลกมาก ถ้าเกิดขึ้นกับคนอื่น ลู่จิ้นยวนก็จะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้
แต่ เขารู้เรื่องที่ตระกูลเวินทำกับเวินหนิง เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเธอ ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
แต่ว่า อยากจะให้ยอมรับ ก็ยังลำบากอยู่ เพราะยังไง ถ้าเวินหนิงพูดความจริง นี่ก็จะเป็นข่าวที่เสียหายรุนแรงมาก
ตอนนั้น คนตระกูลลู่เกลียดเธอที่เธอชนแล้วหนี ก็เลยใช้เส้นสาย พูดตามหลักแล้ว ชนแล้วหนีปกติจะไม่ได้รับโทษหนักขนาดนั้น
เวินหนิงมองเห็นสายตาที่ลึกลับของลู่จิ้นยวน เธอไม่รู้ว่าลู่จิ้นยวนจะเชื่อเธอหรือเปล่า แต่เธอหวังว่าเขาจะเชื่อ
ลู่จิ้นยวนมองสบตาเวินหนิง ในสายตาเธอ มีความคาดหวังเล็กน้อย เป็นความคาดหวังที่อยากจะได้รับความเชื่อใจ
ลู่จิ้นยวนไม่ใช่คนใจอ่อนอยู่แล้ว แต่มองเห็นเวินหนิงในตอนนี้ เขาก็รู้สึกเจ็บปวดใจ
“เรื่องนี้ ฉันเชื่อเธอ เดี๋ยวฉันจะให้คนไปสืบ แล้วคือความบริสุทธิ์ให้เธอ”
ลู่จิ้นยวนพูดออกมาทีละคำ เวินหนิงก็รู้สึกแสบจมูกทันที เธอคิดว่าก่อนเธอจะพลิกคดีได้ ลู่จิ้นยวนจะไม่เชื่อเธอเด็ดขาด แต่ว่าตอนนี้ พูดคำไม่กี่คำ ก็ทำให้เธอทำตัวไม่ถูก
สำหรับเวินหนิง สิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือความเชื่อใจ
“ฉันหาหลักฐานเจอแล้ว อีกไม่นาน ก็สามารถพลิกคดีได้แล้ว”
เวินหนิงพูดไปด้วย ก็รู้สึกเหมือนมีแสงสว่างที่ห่างหายไปนาน
ขอแค่แลกเปลี่ยนหลักฐานในมือยวี๋เฟยหมิงได้ เธอก็จะสามารถลบล้างความผิดตัวเอง อนาคตของเธอก็จะไม่มืดมนกับเรื่องนี้อีก
“หาหลักฐาน……หรือว่า เธออยากจะพึ่งยวี๋เฟยหมิง?”
ลู่จิ้นยวนฉลาดขนาดไหน พอคิดไปครู่เดียว ก็เข้าใจเลยทันที
ยวี๋เฟยหมิงเป็นคู่หมั้นเก่าของเวินหลาน ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไม่ปกติ ถ้าลงมือกับเขา ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดี
แต่……
พอนึกถึงการกระทำที่เวินหนิงเป็นฝ่ายจูบยวี๋เฟยหมิงก่อน สีหน้าลู่จิ้นยวนก็ดูแย่ทันที
“ใช่”
เวินหนิงพยักหน้า แต่ลู่จิ้นยวนกลับจับคางของเธอไว้ “ใครให้เธอคิดแผนแบบนี้? เพื่อความจริงที่ว่า เธอยอมจะทำอะไรกับผู้ชายคนนั้นจริงหรอ?”
“ไม่แน่นอน แต่ว่า ถ้าต้องเสียสละ มันก็คุ้มค่า”
เวินหนิงพูดอย่างไม่ย่อท้อ เรื่องแบบนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าเพื่อจะล่อยวี๋เฟยหมิง การเสียสละแบบนี้เธอก็ทนได้
“ฉันไม่อนุญาต” ลู่จิ้นยวนนึกถึงภาพเหตุการณ์นั้น สีหน้าตึงทันที
เธอยังอยากใช้ตัวเองเพื่อที่จะไปหลอกล่อยวี๋เฟยหมิง เธอกล้ามาก!
ถ้าเกิดวันไหนผู้ชายคนนั้นคิดจะทำอะไร แล้วใช้วิธีการสกปรก เธอจะตายยังไงก็คงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ!
คุณชายที่ชอบมั่วสูงอย่างยวี๋เฟยหมิง จะใช้วิธีการแบบนี้ก็คงจะยากอยู่แล้ว
“ไม่ ฉันจะต้องสืบหาความจริงให้ได้”
เวินหนิงหัวดื้อขึ้นมาทันที แต่ที่สำคัญคือ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เธอคิดได้ เธอจะยอมแพ้แบบนี้ไม่ได้
“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ได้”
ลู่จิ้นยวนมองเห็นความไม่ยอมแพ้ในสายตาของเธอ “เรื่องนี้ฉันจะช่วยเธอเอง เธออย่าทำอะไรวู่วาม”
เวินหนิงเถียงเขาไม่ได้ ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ แต่ว่า ลู่จิ้นยวนก็อยากให้เธอรับประกันกับเขา ก็เลยพยักหน้าแบบขอไปที
“ดีมาก” เมื่อเห็นว่าเธอไม่เถียงต่อ มุมปากลู่จิ้นยวนก็เลิกขึ้น แล้วจุมพิตมีฝีปากที่ชุ่มชื่นของเธอ เวินหนิงตกใจแล้วดิ้น แต่ผู้ชายคนนั้นกอดไว้ จนขยับไม่ได้เลย
แต่ว่าครั้งนี้ ท่าทางลู่จิ้นยวนอ่อนโยนมาก ไม่ได้มีความเอาแต่ใจแล้วก็โมโหเหมือนวันปกติ อ่อนโยนจนเหมือนกับสำลี แล้วทำให้อารมณ์ของเวินหนิงคล้อยตามไปอย่างไม่รู้ตัว
พอจูบเสร็จ เวินหนิงก็หายใจเสียงดัง แล้วใบหน้าก็แดงไปกว่าเดิม
เธออยากถามลู่จิ้นยวนมากว่าทำไมถึงจูบเธอ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถาม เธอกลัวว่าจะได้รับคำตอบที่ไม่อยากได้ยิน
“ฉัน ดึกมากแล้ว ฉันจะกลับแล้ว” เวินหนิงลุกขึ้น แล้วพูดด้วยเสียงติดๆขัดๆ อยากรีบไปจากสถานที่ที่อึดอัดนี้
ลู่จิ้นยวนเอ่ย “รออยู่ที่นี่ เดี๋ยวฉันเรียกอันเฉินส่งเธอกลับไป”
ทีแรกเวินหนิงอยากจะปฏิเสธ แต่ลู่จิ้นยวนก็ยังยืนยันคำเดิม “ดึกขนาดนี้ ไม่งั้นเธออยู่ค้างที่นี่?”
ถ้าจะให้เวินหนิงออกไปโบกรถรถคนเดียว เขาไม่วางใจขนาดนั้น
เวินหนิงรู้สึกแปลกใจ ตอนนี้ดึกมาก แล้วไม่มีใครอยู่ด้วย ถ้าลู่จิ้นยวนให้เธออยู่ต่อ ไม่รู้ว่าจะเจอใครอีกหรือเปล่า
“ฉันจะรออันเฉินมารับ”
เวินหนิงอ่อนข้อให้ ลู่จิ้นยวนจึงรู้สึกพอใจ จากนั้นก็โทรเรียกอันเฉินมา
ไม่นานนัก อันเฉินก็มาถึง พอเดินเข้ามาในห้องพักฟื้นแล้วเห็นเวินหนิง ก็รู้สึกแปลกใจ แต่มันก็ดูเหมือนเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมาก
“ส่งเธอกลับบ้าน ถึงแล้ว โทรมารายงานด้วย”
ลู่จิ้นยวนเห็นเวินหนิงเดินตามอันเฉินออกไป ก็เลยลุกขึ้นจากโซฟา ในหัวก็มีแต่คำพูดที่เวินหนิงพูดเมื่อกี้
ถ้าเวินหนิงเป็นแพะรับบาปแทนตระกูลเวิน งั้นเวินฉีโม่ ก็ต้องชดใช้กับการกระทำที่หลอกลวงของเขา