“รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมขนาดนี้เชียว”
ลู่จิ้นยวนมีน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงมากอย่างไม่รู้ตัว เมื่อสักครู่อันที่จริงแล้วเขาแค่คิดอยากจะสั่งสอนเวินหนิงสักเล็กน้อย ว่าไม่ให้เธอคิดจะปิดบังกับเขา แต่ไม่คาดคิดเลยว่าร่างที่ดูบอบบางอ้อนแอ้นของเธอนั้นจะกลับกลายเป็นว่าทำให้เขารู้สึกสนุกอยากแกล้งขึ้นมา
“คุณไม่สนใจอยู่แล้วนี่ ถ้าหาก…..ถ้าหากว่าเมื่อกี้นี้ฉันถูกเพื่อนบ้านเห็นเข้า คุณคิดว่าพวกเขาจะมองฉันยังไง เป็นผู้หญิงสำส่อนที่ไม่รักนวลสงวลตัวคนหนึ่งงั้นเหรอ”
เพราะรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม เวินหนิงจึงไม่อดทนฝืนกลั้นอีกต่อไป พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไป
ลู่จิ้นยวนถูกดวงตาคู่นั้นที่สะท้อนความรู้สึกแย่ออกมามองใส่จนเจ็บใจปวดตาม คิดอะไรขึ้นมาออกแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป
เวินหนิงเห็นเขานิ่งครึมไป ก็แค่นหัวเราะกับตัวเองออกมาหนึ่งที
คนแบบลู่จิ้นยวนนั้น จะมาเข้าใจความรู้สึกของเธอได้อย่างไรกัน เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับผู้หญิงเพียงคนเดียว สำหรับผู้ชายแบบเขาแล้วก็คือข่าวฉาวเรื่องชีวิตรักเล็กๆ ที่ไม่ได้ส่งผลเสียทำลายชื่อเสียงเขาเลย แต่สำหรับคนธรรมดาเช่นเธอนั้น กลับเป็นความพังพินาศย่อยยับเลยทีเดียว
ความแตกต่างเช่นนี้ เกรงว่าเขาไม่อาจที่จะเข้าใจได้เลย
“อาหารเย็นที่เอามาให้วันนี้ก็ขอบคุณมากนะ แต่ว่าถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นคุณก็ออกไปเถอะ คนตระกูลลู่จะได้ไม่ต้องเป็นกังวลด้วย”
เวินหนิงไม่อยากที่จะยุ่งเกี่ยวอะไรกับลู่จิ้นยวนต่อแล้ว จึงเอ่ยปากไล่เขาทั้งอย่างนั้น
เพียงทว่ารออยู่ตั้งนาน ก็ไม่ได้ยินเสียงปิดประตูเสียที เวินหนิงถึงพึ่งจะเห็นลู่จิ้นยวนที่กำลังเดินเข้ามาหา สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาก
หรือว่าเขาจะโกรธประโยคที่เธอพึ่งพูดออกไป
เวินหนิงคิดว่าเขาจะด่าทอเธอว่าไม่รู้จักสำนึกในบุญคุณ หรือไม่เข้าใจถึงความผิดชอบชั่วดี แต่ก็ไม่คาดคิดว่า ชายคนนั้นจะนั่งลงที่ข้างกายเธออย่างนิ่มนวล “ที่เธอพูดก็มีเหตุผล ก่อนหน้าฉันก็เคยมีอคติกับเธอ ต่อไปนี้ฉันจะระวังตัว”
เวินหนิงถึงกับทำตัวไม่ถูกไปพักหนึ่ง ลู่จิ้นยวนเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก แต่ว่าก็ไม่ได้คิดที่จะจากไป กลับกลายเป็นว่าทอดกายนอนลงบนเตียงของเวินหนิงอย่างไม่เกรงใจ
“ในเมื่อเธอไม่พูดออกมา งั้นฉันก็จำเป็นที่จะต้องใช้รับมือวิธีแบบพิเศษแล้ว”
ลู่จิ้นยวนมองไปที่เวินหนิงที่มีท่าทางประหลาดใจหนึ่งที “คืนนี้ฉันจะค้างที่นี่”
เวินหนิงตื่นตะลึงตกใจ เขาจะค้างที่นี่?
ห้องที่เธอเช่านั้นเป็นเพียงห้องขนาดเล็ก จะไปมีที่พอให้เขาอยู่ได้อย่างไร หรือว่า……
ก็เหลือเพียงว่าพวกเธอทั้งสองคนจะต้องนอนบนเตียงเดียวกันแล้ว
“ห้องของฉันเล็กมาก ไม่มีที่………”
เวินหนิงรีบปฏิเสธออกมาทันที แต่ทว่าลู่จิ้นยวนกลับไม่ใส่ใจฟังนอนแผ่กายอยู่บนเตียง แถมยังแย่งหมอนของเวินหนิงมาอีก
ในเมื่อไม่อาจใช้ได้ทั้งไม้แข็งและไม้อ่อนกับเวินหนิงให้เธอพูดสิ่งที่กำลังปิดบังเขาออกมาได้ งั้นเขาก็เหลือเพียงแต่ต้องอยู่ที่นี่ดูให้เห็นกับตาตัวเองแล้ว ทำให้เธอไม่กล้าที่จะทำอะไรอย่างไม่ยั้งคิด
เวินหนิงดูเขาที่ไล่ก็ไม่ไป จึงทำได้เพียงแต่ยอมรับไปทั้งอย่างนั้น
“งั้นคุณไปนอนข้างนอก” เวินหนิงเอานิ้วชี้ไปที่โซฟาที่อยู่ข้างนอก เธอไม่ยอมที่จะนอนบนเตียงเดียวกับลู่จิ้นยวนแน่ อันตรายเกินไป
“ไม่ โซฟาเธอเล็กขนาดนั้น ฉันจะไปนอนได้ยังไง”
เวินหนิงเริ่มที่จะมีน้ำโห ทำไมก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นมุมที่หน้าด้านหน้าทนแบบนี้ของลู่จิ้นยวนกันนะ
“งั้นฉันไปเอง แบบนี้โอเคใช่ไหม” เวินหนิงกอดผ้าห่มกำลังจะเดินไป อย่างเลวร้ายที่สุดก็แค่นอนบนโซฟาแค่คืนเดียวเท่านั้น
“ไม่ เตียงเธอก็ไม่เล็ก นอนกันพอ”
ลู่จิ้นยวนดึงเวินหนิงแล้วกดเธอลงกับเตียง เวินหนิงตกใจจนไม่กล้าขยับตัว กลัวว่าจะเผลอไปทำให้เรื่องเล็กจุดประกายกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ ลู่จิ้นยวนไม่ได้ทำอะไรเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่กอดเธออย่างเงียบๆ อยู่แบบนั้น
เวินหนิงที่นอนอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างเงียบๆ ไปสักพัก ก็เริ่มที่จะถูกความง่วงงุนโจมตีขึ้นมา ค่อยๆ คลายความระแวดระวังของตนลง แล้วจึงหลับลงไปอย่างไม่รู้ตัว
ลู่จิ้นยวนจึงมองดูหญิงสาวในอ้อมกอดตน ค่อยๆ ลุกขึ้นลงจากเตียงไปปิดไฟ
แต่ตอนกำลังจากเดินไป ก็โทรศัพท์หาอันเฉิน “ไปหามาว่าวันนี้เวินหนิงโทรหาใครไปบ้าง”