เวินหนิงขมวดคิ้ว รอยแผลบนใบหน้าหล่อเหลาของเขานั้น เป็นรอยชัดเจนมาก ทำให้คนอื่นดูแล้วรู้สึกไม่สบายตา
“ไม่เป็นไร”
ลู่จิ้นยวนกลับไม่ได้สนใจ แค่รอยข่วนเล็กน้อยตอนที่ต่อยกับไป๋ซินอวี๋โดยไม่ทันระวัง แค่แผลเล็กน้อยแค่นั้นแหละ
เวินหนิงเบะปาก “นายลืมแล้วเหรอว่าเมื่อวานนายพูดกับฉันว่ายังไง?”
ผู้ชายคนนี้ ทำไมถึงกลับไม่สนใจรอยแผลบนร่างกายตัวเอง?
”เธอกำลังเป็นห่วงฉันเหรอ?”
ลู่จิ้นยวนเข้าใจความหมายในคำพูดของเธอ ในดวงตาของเขาดีใจเพิ่มมากขึ้น
“ถือว่า…ถือว่าใช่แหละ” เวินหนิงถูกเขามองดูแบบนั้น ก็รู้สึกเขินอายนิดหน่อย จึงลุกขึ้น “ฉันไปเอายามาทาให้นาย”
ลู่จิ้นยวนไม่ได้ขัดอะไร ในเมื่อเวินหนิงยืนกราน เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องงอแง อีกอย่างเธอให้ความสนใจกับเขาแบบนี้ ในใจของชายหนุ่มก็ยิ่งชอบมากขึ้น
เวินหนิงหยิบยาที่เธอเคยใช้ออกมา ใช้สำลีจุ่มนิดหน่อย แล้วเช็ดลงบนแผลของลู่จิ้นยวนเบา ๆ “นายมีเรื่องบาดหมางกับใครเหรอ?”
คิดไปคิดมา ลู่จิ้นยวนออกไปข้างนอกก็มีคนติดตามตลอด เวลาปกติอยู่ในบริษัทตระกูลลู่ ระบบความปลอดภัยก็แน่นหนาสุด ๆ ทำไมถึงมีคนต่อยเขาได้?
แถมยังต่อยหน้าของเขา
“ไม่เป็นไร” ลู่จิ้นยวนมองเห็นความเป็นกังวลของเธอ เขาจับมือของเวินหนิงไว้ราวกับจะให้พลังและความมั่นใจแก่เธอ
ถึงแม้ไป๋ซินอวี๋กับเขาจะทะเลาะกันถึงขั้นนี้ แต่เมื่อมองผู้หญิงตรงหน้า เขาก็ยังรู้สึกว่ามันคุ้มค่า
“…” เวินหนิงไม่ได้พูดอะไร มองดูดวงตาที่จริงจังของลู่จิ้นยวน ก็เข้าใจแล้ว่าชายหนุ่มไม่อยากพูด ไม่อยากให้เธอเป็นกังวล
ถ้าแบบนั้นแล้วเธอก็ควรจะเชื่อใจเขา
“ฉันรู้แล้ว”
เวินหนิงพยักหน้า ไม่ได้ถามอะไรต่อ ลู่จิ้นยวนก็พยักหน้า เขาหยิบของในมือเธอโยนทิ้งไปด้านข้าง แล้วดึงเวินหนิงเข้ามาในอ้อมกอดของตัวเอง ขณะที่กำลังจะเพลิดเพลินกับข้าวโพดหอมมัน จู่ ๆ พยาบาลก็ผลักประตูเข้ามา “คุณเวินคะ…”
เวินหนิงรีบผลักลู่จิ้นยวนออกเหมือนกับถูกไฟช็อต เธอนั่งตัวตรง มองไปที่เธอด้วยความกระอักกระอวน
“ขอประทานโทษค่ะ…” พยาบาลอึ้งตกใจ โดยเฉพาะตอนที่เห็นสายตาเย็นชาของลู่จิ้นยวน แทบจะไม่กล้าพูดอะไร
“สภาพร่างกายของคุณฟื้นฟูได้ไม่เลว ตรวจร่างกายอีกรอบก็น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้วค่ะ”
เวินหนิงได้ยินคำพูดนี้ ก็โล่งอก “ค่ะ ฉันทราบแล้วค่ะ คุณออกไปก่อนเถอะค่ะ”
พยาบาลจึงรีบออกไป ถ้าขืนยังไม่ออกไปเธอก็อาจจะถูกลู่จิ้นยวนฆ่าเธอด้วยสายตาแล้ว
“ร่างกายของฉันเกือบหายดีแล้ว ไม่งั้นวันนี้พวกเราไปหายวี๋เฟยหมิงกันไหม? ฉันอยากจะฟังว่าเขาจะพูดว่ายังไง”
เวินหนิงยังคงคิดถึงเรื่องนี้ไม่หยุด โดยเฉพาะอยากจะทราบเบาะแสเกี่ยวกับเรื่องของคุณแม่
“ตกลง” ลู่จิ้นยวนดูเธอใจร้อนก็ไม่ได้ห้าม “เธอเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปหาเขากัน”
เวินหนิงพยักหน้า ในใจทั้งดีใจทั้งตื่นเต้น
…
ผ่านไปครู่หนึ่ง เวินหนิงเปลี่ยนชุดเสร็จ ลู่จิ้นยวนก็ได้ออกไปรอเธอที่ชั้นล่างอยู่ก่อนแล้ว
ชายหนุ่มเอนกายพิรถสปอร์ตสีน้ำเงินคันนั้นอย่างสบาย ๆ ถึงแม้จะเป็นท่วงท่าที่ปกติอย่างมาก แต่ท่าทางแบบนี้ของลู่จิ้นยวนเหมือนกับนายแบบไม่มีผิด อากัปกิริยาของเขาดูดีเป็นอย่างมาก
เด็กผู้หญิงที่เดินผ่านไปมามากมาย มองเขาอย่างหน้าแดง ดูเหมือนกำลังกระซิบคุยอะไรบางอย่าง
เวินหนิงมองดูอยู่สักพัก ฉากแบบนี้ช่างสะดุดตาจริง ๆ แต่สายตาของคนพวกนี้ทำให้เธอไม่พอใจสักนิด เธอเดินเข้าไป “พวกเราไปกันเถอะ?”
ลู่จิ้นยวนหยักหน้า ชายหนุ่มเปิดประตูรถให้เวินหนิงเข้าไปนั่ง แล้วสตาร์ทรถ
กลุ่มสาวน้อยมองถึงตรงนี้ หัวใจก็แตกสลาย “หล่อขนาดนี้ กลับมีแฟนแล้ว แต่ว่าดูท่าทางเหมาะสมกันมาก เอาไปลงบนอินเทอร์เน็ตต้องดังแน่ ๆ”
คิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็โพสต์ภาพบนเวยป๋อ แถมยังเขียนหัวข้อคู่รักที่สวยที่สุด
เห็นได้ชัดว่าเธอกลับไม่รู้ว่าการกระทำที่ไม่ระวังเล็กน้อยแค่นี้ จะเกิดปัญหามากแค่ไหนในอนาคต
…
รถที่รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ จอดลงในที่ที่ขังยวี๋เฟยหมิงไว้ ลู่จิ้นยวนพาเวินหนิงลงจากรถ
มองไปที่อาคารที่ดูเหมือนธรรมดานี้ เวินหนิงรู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก แล้วเดินตามหลังชายหนุ่มเข้าไป
ลู่จิ้นยวนเดินนำเวินหนิงเข้าไปทีละก้าว ที่นี่พูดได้ว่าเป็นความลับที่เขาปิดไว้แน่นที่สุด ดูคนละขั้วกับบริษัทตระกูลลู่ที่มีเกียรติยศสง่างามกันคนละเรื่อง ด้านหนึ่งสว่างด้านหนึ่งมืด
ถึงแม้จะเป็นมู่เยียนหรานก็ไม่มีทางรู้ถึงการมีอยู่ของที่นี่แน่นอน
“เวินหนิงเดี๋ยวฉันพาเธอเข้าไปดู เป็นสิ่งที่เป็นความลับที่สุดของตระกูลลู่ ถ้าหากเธอเห็นแล้วก็อย่าคิดจะหนีไปจากฉันอีก ไม่อย่างงั้นผลลัพท์ที่ตามมาจะร้ายแรงมาก”
“เธอคิดดีแล้วยัง?”
เวินหนิงมองท่าทางเคร่งขรึมของชายหนุ่ม ก็พอจะคาดเดาได้ว่าข้างในคืออะไร เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “ฉันคิดดีแล้ว”
พูดจบก็จับมือลู่จิ้นยวนไว้แน่น ชายหนุ่มดวงตาเคร่งขรึม แล้วกุมมือคู่นั้นที่ขาวผ่องแต่ค่อนข้างเย็นไว้ทันที
ทั้งสองเดินเคียงข้างกัน
เวินหนิงไม่ได้มองสุ่มสี่สุ่มห้า แต่บรรยากาศกดดันในนี้กลับทำให้เธอกลัวจนตัวสั่น
ถึงแม้จะเข้าใจอยู่ไม่น้อยว่าเบื้องหลังตระกูลใหญ่ ๆ จะมีความลับที่ไม่สามารถให้คนอื่นเห็นได้ แต่เมื่อลู่จิ้นยวนจะเปิดเผยให้เธอเห็น เธอก็มีความรู้สึกแปลก ๆ ในใจ
นี่หมายความว่าพวกเขาเป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้วใช่ไหม?
หรืออาจจะใช่มั้ง
เมื่อคิดแบบนั้น ในใจของเวินหนิงมีความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูก
ในไม่ช้า ทั้งสองก็มาถึงตำแหน่งที่ยวี๋เฟยหมิงอยู่
ยวี๋เฟยหมิงถูกขังไว้สามวันแล้ว ถึงแม้คนในนี้จะไม่ได้ทารุณเขา มีของกินอยู่ทุกวัน แต่ถูกขังไว้ในที่มืดเช่นนี้ ก็ทรมานยวี๋เฟยหมิงจนแทบจะเป็นบ้า
เขาก็เป็นคุณชาย ปกติคุ้นเคยกับความเพลิดเพลิน จะไปรับกับการทรมานแบบนี้ได้ยังไง เพียงแต่ตอนนี้แม้แต่แรงด่าคนเขาก็ไม่มีสักนิด เขาทำให้ลู่จิ้นยวนโมโหจริง ๆ เกรงว่าผลลัพท์ที่ตามมายิ่งคาดไม่ถึง
ในตอนนี้เอง ยวี๋เฟยหมิงได้ยินเสียงฝีเท้าอยู่ครู่หนึ่ง เขาลืมตามองไป เงาของเวินหนิงปรากฏขึ้นตรงหน้าในทันที ทำให้เขาดูเหมือนสัตว์ร้ายที่ถูกยั่วยวน พุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
”เวินหนิง นางผู้หญิงชั่ว ทำไมถึงมีหน้ามาที่นี่? ดูฉันถูกแกทำร้ายจนมีสภาพแบบไหนแล้ว?”
ยวี๋เฟยหมิงเขย่ากุญแจมือในมือของเขา ท่าทางราวกับคนบ้า
คำพูดของเขา ทำให้อารมณ์ของลู่จิ้นยวนขุ่นมัว เขาเหยียบลงอย่างแรงบนมือของยวี๋เฟยหมิงที่ยื่นออกมาไม่มีความเกรงใจ “อยู่ที่นี่ยังได้รับการสั่งสอนไม่พอเหรอ? หือ?”
ลู่จิ้นยวนแรงเยอะมาก เขาค่อย ๆ บดขยี้นิ้วมือของยวี๋เฟยหมิง ความรู้สึกเจ็บปวดนั้น สิบนิ้วเชื่อมไปที่หัวใจ เจ็บไปจนถึงหัวใจ
”อ้าาาาา!” ยวี๋เฟยหมิงกรีดร้องอย่างน่าเวทนา เขามองไปที่เวินหนิง ไม่กล้าพูดจาโผงผางอีกแล้ว เพียงแต่ในสายตาคู่นั้นกลับกลบความโกรธความเคียดแค้นไว้ไม่อยู่
เป็นเพราะผู้หญิงชั่วคนนี้ ยั่วยวนลู่จิ้นยวน ให้เขาช่วยจัดการกับตนเอง เป็นความผิดของเธอทั้งหมด!