โทรศัพท์ถูกตัดสายไป เวินหนิงก็รู้สึกเหงื่อตกจนทำให้เสื้อตัวเองเปียก เหมือนเพิ่งออกมาจากน้ำที่เยือกเย็น อากาศก็อึดอัดจนทำให้หายใจลำบาก
ไป๋อี้อันก็ลุกขึ้นแล้วพยุงตัวเวินหนิงอ่อนแรงไว้ “เวินหนิงเธอเป็นอะไร?”
“ไม่ ฉันไม่เป็นอะไร……” เวินหนิงหนีออกจากมือของไป๋อี้อันแล้วถอยหลังไป เธอกลัวว่าจะทำให้ไป๋อี้อันลำบาก เธอกำโทรศัพท์ไว้แน่นแล้วเอ่ยลากับเขา “ฉันมีธุระไปก่อนนะ ไว้เราค่อยติดต่อกันวันอื่น”
“เดี๋ยวก่อน” ไป๋อี้อันรู้ถึงความลำบากของเวินหนิง คนที่ถูกใส่ร้ายแล้วเข้าคุกแล้วยังตกอยู่ในมือของตระกูลลู่ หลายๆเรื่องก็ทำอะไรไม่ได้ ถึงเขาจะอยากช่วยแต่ช่วยได้เท่าที่จะไม่ทำร้ายเวินหนิง “บัตรเครดิตฉัน เธอเอาไปสิ ถ้าอยู่ที่ตระกูลลู่ไม่พอใจอะไรเธอก็ออกไปซื้อเอง ใช่ ฉันยังเอาเสื้อผ้ามาให้เธอด้วย เป็นสไตล์ที่เธอชอบแต่ก่อน ถ้าไม่สะดวกออกไปซื้อก็ยังมีเสื้อผ้าเปลี่ยน”
เวินหนิงก้มลงมองตัวเอง นี่เป็นเสื้อผ้าที่เอาออกมาจากเรือนจำ กางเกงยีนส์กับเสื้อขาวแขนสั้นเมื่อสามปีก่อน ดูตลกมาก “ไม่เป็นไร ฉันมีเสื้อผ้า……”
“อย่าเกรงใจกันเลย พอแล้ว กลับไปเถอะ ถ้ากลับดึกคนตระกูลลู่จะหาเรื่องเธออีก”
ไป๋อี้อันยัดเสื้อผ้าไปในมือเวินหนิง จากนั้นก็หันหลังเดินไป เวินหนิงก็เลยต้องรับเสื้อผ้าไว้แล้วนั่งรถของตระกูลลู่กลับไป
จากที่ไกล ไป๋อี้อันนั่งอยู่ในรถแล้วมองเห็นร่างกายที่ผอมบางของเวินหนิงเข้าไปในรถ ในใจก็รู้สึกเกร็งแล้วมือก็จับพวงมาลัยรถไว้แน่น
เวินหนิง รอผมอีกหน่อย สักวันผมจะทำให้เธอได้รับอิสระ
ระหว่างทางกลับไปเวินหนิงก็รู้สึกไม่สบายใจ ภาวนาขอให้ค่ำคืนมาอย่างช้าๆ เธอกลัวว่าผู้ชายคนนั้นจะทำอะไรกับเธอแต่ก็ไม่กล้าบอกกับคนอื่น
คนขับรถก็เป็นลูกน้องของผู้ชายคนนั้น เธอยิ่งไม่กล้าแสดงสีหน้าอะไรที่ผิดปกติเลย
มีชั่ววินาทีหนึ่ง เธออยากจะกระโดดลงรถแล้ววิ่งหนี แต่เธอรู้ว่าตัวเองหนีไม่พ้นกำมือของตระกูลลู่แน่นอน!
เวินหนิงรู้สึกเหมือนถูกบีบคอจนหายใจไม่ออก
เวินหนิงนั่งอยู่ที่ห้องรับแขกนั่งอยู่อย่างนั้นจนดึกก็ไม่กล้ากลับห้อง คนรับใช้ที่เดินผ่านไปผ่านมาก็ใช้สายตาที่แปลกใจมองเธอ สุดท้ายเย่หวานจิ้งกลับมาก็เห็นว่าเวินหนิงยังนั่งอยู่บนโซฟาก็เลยด่าเธออย่างหงุดหงิด “ดึกขนาดนี้แล้วเธอไม่ไปอยู่กับจิ้นยวน ยังนั่งบื้ออยู่ที่นี่ทำไม!”
“หนู หนูนอนไม่หลับเลยมาสูดอากาศที่ห้องรับแขก……”
“กลับห้องไปเดี๋ยวนี้ นอนไม่หลับก็นวดให้จิ้นยวน นวดจนหลับไปเลย อย่าให้ฉันเห็นเธอกลางดึกอีก รู้สึกสะอิดสะเอียน!”
เวินหนิงทำอะไรไม่ได้สุดท้ายก็เลยต้องเดินกลับห้อง ทันทีที่ปิดประตู ไฟในห้องก็มืดลงแล้วเวินหนิงก็ถูกใครบางคนกดไว้ที่ประตู
“ไอ้หน้าอ่อนตอนเช้าแตะเธอตรงไหนบ้างหะ? ใช้มือข้างไหนแตะ? ฉันจะไปตัดมือมันทิ้ง!”
“เราเป็นแค่เพื่อนกัน นายไปทำร้ายเขาอย่างไร้เหตุผลไม่ได้!”
“เวินหนิง นี่แค่กี่วันเอง เธอก็ทนไม่ไหวจนต้องออกไปหาไอ้หน้าอ่อนนั่น! หนึ่งเดือนก็เป็นแค่ข้ออ้างของเธอสินะ เธออยากใช้เวลานี้หาผู้ชายให้ตัวเองแล้วหาที่พึ่งพิงแล้วหาโอกาสหลุดพ้นจากฉันสินะ! ยังกล้าออกหน้าแทนไอ้หน้าอ่อนนั้นอีก เธอเชื่อหรือเปล่าถ้าเธอพูดอีกคำนึงพรุ่งนี้ฉันก็จะให้มันไปเจอยมบาล?”
เวินหนิงนึกถึงรถเฟอร์รารี่ของยวี๋เฟยหมิง คนขับรถพุ่งชนไปอย่างไม่ลังเล ไม่คำนึงถึงเลยว่าในรถมีคนหรือเปล่า หรือว่าพวกเขาไม่กังวลเลยด้วยซ้ำว่าในรถมีคนหรือเปล่า เพราะฉะนั้นสำหรับเขา ถ้าจะทำให้ไป๋อี้อันตายก็แค่กระดิกนิ้วแค่นั้น
“ขอร้อง อย่าทำแบบนี้……ฉันไม่ได้จะหาให้คนอื่นช่วย ฉันกับเขาไม่มีอะไรกัน ถ้านายไม่ไว้ใจต่อไปฉันจะไม่เจอเขาอีก……”
เวินหนิงรู้สึกถึงความกลัว ถ้าวันนี้เธออยู่กับไป๋อี้อันนานกว่านี้ตอนนี้เธอก็คงจะได้รับข่าวร้ายของไป๋อี้อันแล้วใช่ไหม?
การกระทำที่เธอเอ่ยขอร้องได้ผล ผู้ชายคนนั้นปล่อยเธอ แต่เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่เธอถือไว้ในมือก็โมโหอีกครั้งแล้วโยนถุงเสื้อผ้าลงกับพื้นพร้อมกับบัตรที่ไป๋อี้อันให้ด้วย
ผู้ชายคนนั้นมองไปที่เสื้อผ้ากับบัตรบนพื้นแล้วยิ้มอย่างเยือกเย็น “ทั้งเสื้อผ้าทั้งบัตร ยังบอกว่าไม่มีอะไรอีกเหรอ?”
ใบหน้าของเวินหนิงถูกผู้ชายคนนั้นจับไว้ เธอเอ่ยพูดอย่างลำบาก “ก็แค่เสื้อไม่กี่ตัว……”
“แค่เสื้องั้นหรอ? ถ้าครั้งหน้าก็คงจะเข้าถวายร่างกายให้มันแล้วล่ะสิ!”
“พอแล้ว! นายคิดจะทำอะไร เสื้อผ้าพวกนี้ก็ไม่ใช่เงินของนาย จะเอาหรือไม่เอาก็เป็นอิสระของฉัน นายมีสิทธิ์อะไรมาห้ามฉันทุกเรื่อง!”
“อิสระ? เหอะ เวินหนิง เธอคงโดนตาแก่ลู่ตามใจแล้วลืมว่าตัวเองอยู่ที่ไหนแล้วเป็นใครแล้วเหรอ!”
“ฉันจะมีอิสระหรือเปล่าเกี่ยวอะไรกับนาย นายก็แค่ไอ้บ้าปีศาจ ไม่งั้นเราก็ตายไปด้วยกันเลย!”
“งั้นฉันก็จะทำให้เธอตายก่อน!”
“นาย! ปล่อยนะ! อื้อ……”