เวินหนิงใช้สมองคิดอยู่นานมาก แต่คิดหาวิธีไม่ออก ผ่านไปสักพักหนึ่ง ก็มีคนมาเคาะประตู “คุณหนูเวิน ควรทานอาหารเย็นแล้ว”
เวินหนิงเห็นใครบางคนยืนอยู่ประตูทางเข้า ถืออาหารสองสามอย่าง “รู้แล้ว”
เปิดประตูรับของเข้ามา เวินหนิงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “ขอยืมโทรศัพท์ใช้หน่อยได้ไหม? ฉันอยากบอกคนที่บ้าน ไม่งั้นพวกเขาจะเป็นห่วง”
เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่คนในตระกูลเวินจะเป็นห่วง แต่ในใจเวินหนิงคิดว่าถ้าเหอจื่ออันรู้ว่าเธออยู่ที่นี่ บางทีอาจจะคิดหาทางได้
“ขอโทษครับ คุณลู่สั่งไว้ว่า ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากเขา คุณไม่สามารถติดต่อกับคนนอกได้”
คนรับใช้ไม่หวั่นไหวเลย วางอาหารไว้ที่ประตูแล้วเดินออกไป
เวินหนิงเห็นเขาเด็ดเดี่ยวขนาดนั้น ในใจก็ท้อแท้ ตอนนี้เธอเหมือนกำลังติดคุกเลย นอกจากทานอาหารเพื่อรอความตาย ก็ไม่มีวิธีอื่น
หัวใจปั่นป่วน รวมถึงแผลก็บาดเจ็บ เวินหนิงทานอะไรไม่ได้เลย ขยับตะเกียบได้สองสามทีก็วางมันลงข้างๆ
ตอนคนรับใช้มาเก็บอาหารเห็นเธอกินไม่เท่าไร ในใจก็เกิดความกังวล
แต่อย่างไรแล้ว ลู่จิ้นยวนสั่งให้เขาจับตาดู แต่ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้เธอหิวโหย ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา เขาไม่สามารถรับผิดชอบเรื่องนี้ได้
ดังนั้น คนรับใช้จึงวางอาหารลง แล้วโทรหาลู่จิ้นยวน “คุณลู่ คุณหนูเวินเธอ……เหมือนไม่ยอมกินอาหาร”
ลู่จิ้นยวนกำลังขับรถอยู่ระหว่างทางกลับบ้าน ได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น? ”
“เราได้รับคำสั่งจากคุณ ทำอาหารที่ถูกปากคุณหนูเวิน แต่เธอไม่กิน คือ……ทำยังไงดีครับ? ”
สีหน้าลู่จิ้นยวนคล้ำลงนิดหน่อย เวินหนิงมีความอดทนจริงๆ เขาไม่ให้เธอออกไปจากคฤหาสน์สักก้าวเดียว จะอดอาหารเพื่อขู่เขาเหรอ?
“เดี๋ยวฉันไป เก็บอาหารไว้”
ลู่จิ้นยวนหมุนพวงมาลัยอย่างกะทันหัน ขับไปยังที่ที่เวินหนิงอาศัยอยู่
……
เวินหนิงอยู่ในห้องนอน จ้องมองเพดาน ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีคอมพิวเตอร์ มีแค่โทรทัศน์หนึ่งเครื่องที่ส่งเสียงฮือฮา ในนั้นกำลังฉายละครโรแมนติกที่น่าเบื่อ เธอไม่คิดที่จะดูมันสักนิด
ละครหลอกลวงอย่างซินเดอเรลล่ากับเจ้าชายรูปงามพวกนี้ เธอดูจนเลี่ยนแล้วจริงๆ ในชีวิตจริงจะมีความรักแบบนี้ได้ไหม?
อย่างน้อย เธอก็ไม่เชื่ออีกต่อไป
ถึงแม้ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าลู่จิ้นยวนเคยรักตัวเองจริงๆ แต่ตอนนี้ ความจริงอันเย็นยะเยือกมันทำให้เธอสร่างแล้ว โลกนี้ไม่ใช่โลกแห่งเทพนิยาย จะมีความรักที่ก้าวผ่านครอบครัวไปมากขนาดนี้ได้ที่ไหน
ขณะที่กำลังคิดเพ้อเจ้อ ลู่จิ้นยวนก็ผลักประตูเข้ามาจากข้างนอก เพราะฝนตก และเขาก็รีบมา ดังนั้นเสื้อผ้าบนตัวจึงเปียกชื้นมาก
เวินหนิงคิดว่าเขาจะไม่มาที่นี่ อย่างไรแล้วที่นี่มันก็ห่างไกล ไปกลับมันต้องใช้เวลานานมาก ยิ่งไปกว่านั้น เขาควรใช้เวลานี้ไปอยู่กับมู่เยียนหรานไม่ใช่เหรอ
เพิ่งคืนดีกันได้ไม่นาน ไม่คิดว่าจะมีอารมณ์มาที่นี่หาเธออีก?
แต่เวินหนิงไม่ได้แสดงออกอะไร แค่ดูโทรทัศน์อย่างเฉยเมย หางตาไม่ได้มองไปที่ลู่จิ้นยวนอีก
พอมาถึงที่นี่ก็โดนเพิกเฉยโดยสิ้นเชิง ตอนแรกอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีของลู่จิ้นยวนก็ยิ่งแย่ลงไปอีก เขาเดินไป ถอดปลั๊กสายโทรทัศน์ที่ส่งเสียงดัง จากนั้นก็มองผู้หญิงที่สีหน้าไร้อารมณ์
“อดข้าวเหรอ หืม? ”
“แค่กินไม่ลง” เวินหนิงตอบเรียบๆ เธอทานไม่ลงจริงๆ มือเจ็บ เธอทานยาจีนเพื่อลูกเท่านั้น ทั้งร่างกายมีกลิ่นยาจีนคละคลุ้งไปทั่ว เธอไม่ได้อารมณ์ทานอาหารจริงๆ
แต่ความสบายๆ ของเวินหนิงอยู่ในสายตาของลู่จิ้นยวน กลายเป็นการดูถูก เพื่อผู้ชายคนนั้น เพราะไม่อยากแยกจากมัน ตอนนี้เธอจึงไม่สนใจเด็กที่ห่วงใยมากที่สุดด้วยซ้ำ ไม่ทานอาหารเพื่อประท้วงเหรอ?
ความรู้สึกของเธอที่มีต่อมัน ลึกซึ้งขนาดนั้นเชียว?
“ฉันเคยบอกแล้วว่าห้ามเธอคิดเรื่องอื่น อยู่ที่นี่ดีๆ แต่เธอฟังคำพูดฉันแบบหูซ้ายทะลุหูขวาใช่ไหม? ” น้ำเสียงของลู่จิ้นยวนโกรธเกรี้ยว
“เปล่า กินไม่ลง หรือคุณต้องการบังคับฉันกิน? ”
เวินหนิงมองไป เธอไม่เข้าใจว่าลู่จิ้นยวนโกรธอะไร
เธอไม่ทานอาหาร เขารีบฝ่าฝนกลับมา เหมือนเป็นห่วงเธอมาก แต่ถ้าเป็นห่วงจริงๆ จะหักมือเธอแบบนี้ กักขังอิสระเธอ ให้เธอถูกจังเหมือนในคุกแบบนี้เหรอ?
เขาเห็นตนเป็นคนมีชีวิตและความคิด หรือเป็นสัตว์เลี้ยงที่ถูกขังไว้ในกรงและสามารถเล่นได้ตามใจชอบ?
“คือ กินไม่ลง เธอก็ต้องกิน ไม่อย่างนั้น……”
สายตาลู่จิ้นยวนมองไปที่บริเวณท้อง ที่นั่น คือลูกของเธอกับชายคนอื่น การจ้องมองของชายหนุ่มแหลมคมขึ้น ทำให้เวินหนิงผ่านพ้นไปไม่ได้
“ฉันว่าเธอรู้ร่างกายตัวเองดี เธอไม่กินข้าว เด็กคนนี้ก็จะแคระแกร็น ฉันจะเรียกให้คนมาทำการผ่าตัดเธอทันที”
เวินหนิงเบิกตากว้าง “คุณ……ทำไมคุณถึง……? ”
ที่แท้ ลู่จิ้นยวนก็คิดจะทำแท้งเธอตั้งแต่แรกเหรอ?
ทันใดนั้นเวินหนิงก็รู้สึกเสียวสันหลัง
ตอนแรก เพราะลู่จิ้นยวนไม่ได้บังคับให้เธอทำแท้งลูกในท้อง เวินหนิงก็เคยรู้สึกหวั่นไหวอยู่บ้าง บางทีผู้ชายคนนี้อาจจะห่วงใยเธออยู่บ้าง อย่างน้อยก็ไม่บังคับให้เธอทำแท้ง ทำร้ายร่างกายของเธอ
ตอนนี้ เวินหนิงแค่รู้สึกว่าตัวเองในตอนแรกน่าขำสิ้นดี เขาแค่อดทนปล่อยเธอชั่วคราวเท่านั้น เธอคิดอย่างโง่เขลาว่าลู่จิ้นยวนจริงๆ แล้วไม่ได้โหดเหี้ยมไร้ความปรานีแบบนั้น ถึงขนาด……บอกความจริงออกไป
“ได้ยินหรือเปล่า? ”
ลู่จิ้นยวนมองสีหน้าซีดเซียวของเวินหนิง ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย แต่ไม่ได้ตอบอะไร จึงเร่งเร้า
“ฉัน……เข้าใจแล้ว”
เวินหนิงหายใจเข้าลึกๆ “ฉันจะตั้งใจกินข้าว คุณสัญญาได้ไหม ถ้าเป็นแบบนี้แล้วจะไม่ทำร้ายเขา? ”
เธอกังวลว่าลู่จิ้นยวนจะหาเหตุผลอะไรเพื่อให้เธอออกไปทำแท้งอีก
“ฉันรักษาคำพูดอยู่แล้ว เธอตั้งใจเชื่อฟัง กินข้าวดีๆ ฉันจะไม่ทำอะไรเขา”
ลู่จิ้นยวนพูดจบ นอกประตูก็มีคนรับใช้เคาะประตู อาหารที่เมื่อครู่นี้เวินหนิงไม่ได้ทาน เขาไปอุ่นแล้วมาเสิร์ฟอีกครั้ง วางลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง
เวินหนิงมอง เดินไปอย่างมึนๆ ทานมันทีละคำ กลิ่นไม่พึงประสงค์ยังอยู่ที่ปลายจมูก กลั้นลมหายใจเอาไว้ เธอทานไม่กี่คำก็อดไม่ได้ที่จะอาเจียนออกมา
แต่คราวนี้เธอไม่ได้รีบเข้าไปอาเจียนในห้องน้ำเหมือนตอนปกติ แต่ปิดปากเอาไว้ พยายามกลั้นความรู้สึกแย่นั้นเอาไว้
อาเจียนไม่ได้ ห้าม……ถ้าอาเจียนออกมาต่อหน้าลู่จิ้นยวน เขาจะต้องอับอายจนโกรธแน่ๆ
เวินหนิงกลั้นความรู้สึกแย่เอาไว้ น้ำตาไหลออกมาจากหางตา ท้องไส้ปั่นป่วน
ลู่จิ้นยวนเห็นท่าทางอึดอัดของเธอ ในใจก็ไม่ค่อยมีความสุข เธอทำแบบนี้เพราะต่อต้านให้เขาดูเหรอ?
เพราะเขาไม่อนุญาตให้เธออดข้าว ก็เลยทำแบบนี้เหรอ?