เย่หวานจิ้งก็ทุ่มสุดตัวเช่นกัน ทิ้งความสำรวมของคุณนายที่มีชื่อเสียงเอาไว้ เธอรู้ว่าตอนนี้ตัวเองเหมือนคนปากร้ายสร้างปัญหา แต่เธอไม่มีทางเลือกอื่น
ตราบใดที่ทำให้ลู่จิ้นยวนกลับเนื้อกลับตัวเลิกรากับผู้หญิงคนนั้น เธอก็ไม่มีความละอายอะไร
ลู่จิ้นยวนได้ยินคำพูดนี้ ก็รีบเดินไปข้างหน้ากดมือเย่หวานจิ้งไว้ ตอนนี้มือเธอยังมีเข็มฉีดยาที่ฉีดเข้าเส้นเลือด ตอนนี้การกระทำแบบนี้มันจะทำให้เลือดไหลย้อนกลับ
เย่หวานจิ้งรู้นิสัยลู่จิ้นยวน เขาจะสงสารตัวเองที่เป็นแม่คนนี้ ดังนั้นจึงจับมือลู่จิ้นยวนไว้ “จิ้นยวน ลูกฟังแม่สักครั้งได้ไหม? ไม่งั้นแม่คิดว่าจะตายตาไม่หลับ”
“แม่อย่าพูดแบบนี้” ลู่จิ้นยวนได้ยินคำว่าตายคำนี้ ก็สีหน้าหนักอึ้ง น้ำเสียงเข้มงวดอย่างมาก
เขาไม่อยากประนีประนอมแบบนี้ แต่เย่หวานจิ้งไม่ยอมให้โอกาสเขาหายใจเลย “ลูกสัญญากับแม่ แม่ก็จะทำการผ่าตัด ไม่งั้นก็ไม่พูดเรื่องนี้อีก”
“แม่ แม่ต้องทำแบบนี้……”
ลู่จิ้นยวนหมดหนทางสุดขีด ขณะที่สองแม่ลูกอยู่ในบรรยากาศหยุดชะงัก มู่เยียนหรานก็เคาะประตู เดินเข้ามา เห็นบรรยากาศระหว่างสองคนนี้แปลกนิดหน่อย ก็ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “ฉันมาผิดเวลาหรือเปล่าคะ? ”
ไม่กี่วันมานี้ มู่เยียนหรานเหมือนเป็นอีกคน มาที่โรงพยาบาลทุกวัน ถึงขนาดเพื่อเอาอกเอาใจเย่หวานจิ้ง เธอไปหาเซฟเพื่อสอนเธอทำน้ำซุปบำรุงผิวเหล่านั้นให้เธอด้วยซ้ำ เพื่อปรุงน้ำซุปให้เธอเองกับมือ
“ไม่เลย เธอมาในเวลาที่เหมาะสม”
เย่หวานจิ้งยิ้มทักทายมู่เยียนหราน จับมือของเธอไว้ ทันใดนั้นก็ชี้ไปที่แผลพุพองบนนิ้วเธอด้วยน้ำเสียงโอเวอร์ “โอ๊ยตาย นี่มันเพราะตุ๋นซุปให้ฉันใช่ไหม? ลำบากเธอจริงๆ เลย มีน้ำใจมากกว่าใครบางคนเยอะเลย”
ลู่จิ้นยวนเข้าใจแน่นอนว่ากำลังโทษตนอยู่ เหลือบมองมือที่บาดเจ็บของมู่เยียนหราน เขาก็ถอนหายใจ “เยียนหราน เรื่องพวกนี้ เธอไม่ต้องทำเองก็ได้ มือเธอใช้เล่นเปียโนดีกว่านะ”
“ยากมากที่จิ้นยวนจะเป็นห่วงใคร ในเมื่อเป็นแบบนี้ เยียนหราน เราเพิ่งคุยเรื่องจัดงานหมั้นให้เร็วที่สุดอยู่ล่ะ ทางด้านเธอมีความคิดอะไรไหม? ”
มู่เยียนหรานได้ยินดังนี้ก็ตกตะลึง ปลาบปลื้มในใจมาก แต่ไม่สามารถแสดงออกมาได้ ก้มหน้าลง “ฉัน……ฉันไม่มีความเห็นอะไรค่ะ แค่จิ้นยวนคิดว่า……”
เย่หวานจิ้งดึงมือมู่เยียนหรานไปทางลู่จิ้นยวน มีคำเตือนในดวงตา ราวกับกำลังพูดว่า ถ้าลูกไม่สัญญา แม่ก็จะละทิ้งการรักษาทันที ตายให้ลูกดู
ลู่จิ้นยวนกัดฟัน ริมฝีปากขยับ สุดท้ายก็ไม่ได้ปฏิเสธ
ตอนนี้อาการเย่หวานจิ้งไม่คงที่ เขาไม่สามารถเอาชีวิตเธอมาเสี่ยงได้
เห็นลู่จิ้นยวนยอมแพ้ เย่หวานจิ้งก็ยิ้ม “เยียนหราน เขาเห็นด้วยอยู่แล้ว เอาแบบนี้นะ อีกสองวันเราไปเจอผู้หลักผู้ใหญ่กัน แล้วกำหนดวัน จากนั้นก็จัดพิธีให้เร็วที่สุด”
“พวกพิธีอื่นๆ ไม่ต้องก็ได้มั้งครับ? ” ลู่จิ้นยวนได้ยินก็รู้สึกปวดศีรษะยากที่จะแก้ปัญหา
ตอนแรกเขาแค่ใช้แผนรับมือชั่วคราว เพียงแค่ไม่อยากให้เย่หวานจิ้งโกรธเท่านั้น แต่ถ้าจัดพิธีด้วย ถ้าต้องการปฏิเสธอีกครั้งก็ยากแล้ว
“ฉันก็ไม่สนเรื่องนี้ค่ะ คุณป้า”
มู่เยียนหรานพูดอย่างเห็นอกเห็นใจ แค่ในดวงตามีความน้อยใจเล็กน้อย ทำให้เย่หวานจิ้งเหลือบมองลู่จิ้นยวนอย่างไม่พอใจ
“ไม่ได้ ตระกูลลู่เราแต่งเข้าบ้าน จะละเลยได้ยังไง? ต้องจัดพิธียิ่งใหญ่ เพื่อให้ทุกคนรู้ว่าลูกกับเยียนหรานกิ่งทองใบหยกอยู่ด้วยกัน”
เย่หวานจิ้งแค่คิดถึงภาพลักษณ์ดีๆ ของมู่เยียนหรานที่จะนำพาประโยชน์มาให้ลู่จิ้นยวน อารมณ์ก็ดีขึ้นมาก ยิ่งไปกว่านั้น พิธีการใหญ่โต เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการชะล้างโชคร้ายในการเจ็บป่วยที่ผ่านมา
นายท่านลู่ได้ยินบทสนทนาที่เร่าร้อนด้านในก็เดินเข้ามา ได้ยินคำพูดนี้ ก็พยักหน้าเห็นด้วย “พูดถูก ตระกูลลู่ของเราเคยแพ้การโอ้อวดใครที่ไหน? ห้ามทำให้เยียนหรานน้อยหน้าเด็ดขาด”
“ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงนี้ตระกูลลู่ไม่ค่อยสงบสุข ใช้เรื่องดีๆ เรื่องนี้กำจัดโชคร้ายทั้งหมดออกไปพอดี ดีมากเลยล่ะ”
นายท่านลู่พูดจบก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา จากนั้นก็เรียกพ่อบ้าน ให้เขากำหนดเวลาและสถานที่งานหมั้นให้เร็วที่สุด
“ท่านปู่……”
ลู่จิ้นยวนเห็นผู้ใหญ่สองท่านตัดสินใจเรื่องนี้โดยไม่ฟังคำอธิบายใดๆ ก็รู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ เขายังไม่ทันได้แสดงความคิดเห็นเลย ก็โดนผลักให้ทำการตัดสินใจ ความรู้สึกนี้มันแย่มาก
ยิ่งไปกว่านั้น บอกว่าตระกูลลู่ห้ามทำให้ลูกสะใภ้น้อยใจ แล้วเวินหนิงกับเขาได้แค่จดทะเบียนสมรสเอง ไม่เห็นพวกเขาจัดพิธีอะไรให้เลย
“ตัดสินใจตามนี้นะ”
นายท่านลู่ไม่สนว่าลู่จิ้นยวนต้องการพูดอะไร ยิ้มแล้วเดินออกไป ไปจัดการสิ่งที่จำเป็นสำหรับงานหมั้น
“โอเคแล้ว เรื่องงานแต่งของลูกก็ตัดสินใจได้แล้ว แม่ก็วางใจ พวกลูกออกไปก่อนเถอะ แม่อยากนอน”
เย่หวานจิ้งเห็นเรื่องต่างๆ ใกล้เสร็จแล้วก็เหนื่อย พอดีเลย ก็ให้สองคนได้มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันตามลำพังบ้าง จึงไล่พวกเขาออกไป
ลู่จิ้นยวนทำหน้าหนักอึ้ง ออกไปกับมู่เยียนหรานทีละคน ฝีเท้าเขายาวมาก ไม่สนว่ามู่เยียนหรานที่ใส่รองเท้าส้นสูงจะเดินตามทันไหม ก็เดินไปแบบนั้น ไม่หันหน้ากลับมาด้วยซ้ำ
มู่เยียนหรานกว่าจะไล่ตามทัน ไปถึงครึ่งทาง อารมณ์ก็พุ่งขึ้นมา “จิ้นยวน นี่คุณหมายความว่าไง? ”
กว่าจะได้หมั้นกัน ท่าทีของเขา มันทำให้เธอผิดหวังมาก
หรือเขาไม่อยากแต่งกับตนเหรอ?
ลู่จิ้นยวนหยุดฝีเท้า มันเป็นจุดบอดพอดี ไม่มีใครเดินผ่าน เขามองดวงตามู่เยียนหราน “เยียนหราน ฉันเคยบอกหลายครั้งแล้ว เราจบกันแล้ว ทำไมยังมาที่นี่อีก……”
“จิ้นยวน หรือว่าในใจคุณ ฉันเป็นคนที่วุ่นวายเหรอ? ฉันปล่อยคุณไปไม่ได้จริงๆ แต่ฉันก็มีศักดิ์ศรี ที่ฉันมาที่นี่เพราะคุณป้าดูและฉัน ดีกับฉันมาตั้งแต่เด็ก ถ้าฉันไม่มาฉันก็รู้สึกผิดต่อตัวเอง”
มู่เยียนหรานพูดอย่างชอบธรรม ทำให้ลู่จิ้นยวนพูดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง
“แต่ เรื่องงานหมั้น……ฉันไม่เห็นด้วยจริงๆ นะ ฉันทำเพราะแม่ฉันป่วย เรื่องนี้ฉันต้องพูดกับเธอให้รู้เรื่อง”
ได้ยินประโยคนี้ สีหน้ามู่เยียนหรานก็เศร้านิดหน่อย ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าตอนนี้ที่ลู่จิ้นยวนรับปากงานหมั้นแค่เพราะเป็นแผนการรับมือเย่หวานจิ้งชั่วคราว แต่ถ้าพลาดโอกาสครั้งนี้ไป พวกเขาก็จะพลาดจริงๆ ดังนั้น ถึงจะไม่เต็มใจ แต่เธอก็ต้องลองดู
ดังนั้น มู่เยียนหรานจึงฝืนลบความไม่เต็มใจทิ้งไป “ฉันรู้ จิ้นยวน ดังนั้นฉันสัญญากับคุณ งานหมั้นครั้งนี้มันจะไม่มีอะไร ถ้าคุณต้องการเลิก ฉันก็ไม่บังคับคุณ ไม่ใช้สถานะคู่หมั้นบังคับคุณ ฉันสัญญา แค่เพื่อให้อาการป่วยคุณป้าหายไวๆ ”
ลู่จิ้นยวนมองมู่เยียนหรานอย่างลึกซึ้ง ทันใดนั้นรอยยิ้มแห่งความโล่งใจก็ปรากฏขึ้น “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็โอเค เยียนหราน เธอช่วยฉันแสดงละครนี้ให้จบ ในอนาคตฉันจะพยายามชดเชยให้เธอ”