บ่วงแค้นแสนรัก – ตอนที่ 242 เวินหนิงเจอเข้ากับเรื่องอันตราย

วันนี้ลู่จิ้นยวนอยู่ ณ ที่ตรงนั้นนานกว่าปกติ จนสุดท้ายเมื่อเห็นว่าแสงไฟในห้องดับมืดลง ฝ่ายชายถึงได้จากไป

เมื่อเห็นว่าเขาจากไปแล้ว เย่หวานจิ้งก็สะกดกลั้นอารมณ์โกรธที่พลุ่งพล่านแล้วบอกให้คนขับออกรถ เดิมทีก็ดีขึ้นมามากเพราะว่าลู่จิ้นยวนและมู่เยียนหรานจะหมั้นกันและร่างกายก็ฟื้นตัวขึ้นมาเยอะแล้ว แต่เวลานี้กลับรู้สึกทรมานอยู่ลึกๆ ข้างใน

ตัวเธอเองไม่อาจที่จะปล่อยให้ตัวเขาเสื่อมแย่ลงไปมากกว่านี้ได้ สุดท้ายแล้วเขารู้ไหมว่าเด็กที่อยู่ในท้องของเวินหนิง เป็นลูกของเขา?

ถ้าหากว่าไม่รู้ล่ะก็ ก็จะต้องห้ามให้เขารู้ถึงเรื่องนี้โดยเด็ดขาด

แต่ถ้าหากรู้แล้ว ก็ต้องให้เด็กคนนั้นมาอยู่ในอุ้งมือ ภายใต้การควบคุมของเธอถึงจะถูก

ขณะที่คิดนั้น เย่หวานจิ้งก็โทรศัพท์หาลู่จิ้นยวน “จิ้นยวน จะกลับประเทศเมื่อไหร่”

ลู่จิ้นยวนที่รับโทรศัพท์จากเย่หวานจิ้ง ก็รู้สึกใจไม่สงบขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ “กลับพรุ่งนี้ครับ การผ่าตัดของท่าน ตอนนี้เตรียมการเป็นอย่างไรบ้างแล้วครับ”

เย่หวานจิ้งอดที่จะยิ้มเย็นเยือกขึ้นมาในใจไม่ได้ ลูกชายคนนี้ที่เธอเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนโต กลับหัดริเริ่มที่จะพูดโกหกกับเธอแล้ว เริ่มที่จะหลอกเธอผู้เป็นแม่คนนี้เสียแล้ว

สำหรับลู่จิ้นยวนแล้วเธอฝืนที่จะโทษความผิดลงไปไม่ได้ จึงต้องโยนความผิดทั้งหมดไปให้เวินหนิง คนที่เป็นราวกับระเบิดเวลา

“ฉันไม่เป็นอะไร แล้วก็เรื่องงานหมั้น ตอนนี้เตรียมงานเป็นอย่างไรบ้าง”

ลู่จิ้นยวนไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่เรียกว่าการหมั้นเลย ในความคิดของเขา มันก็เป็นเพียงการกระทำที่ไม่ได้มีความหมายอะไรมากมายเป็นพิเศษเลย แต่ก็กลัวว่าเย่หวานจิ้งจะคิดมาก เขาจึงทำได้เพียงพูดออกไปอย่างคลุมเครือ

ยิ่งเย่หวานจิ้งได้ฟัง ความกรุ่นโกรธที่มีต่อตัวเวินหนิงก็ยิ่งข้นคลั่ก ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นความผิดของเธอ ไม่อย่างนั้นแล้วลู่จิ้นยวนจะมาพูดโกหกกับเธอแบบนี้ได้อย่างไรกัน

“จิ้นยวน ไม่ต้องโกหกแม่แล้ว นี่ทำให้แม่ผิดหวังนะรู้ไหม” เย่หวานจิ้งพูดออกมาจากใจจริงด้วยความเป็นห่วง ในขณะเดียวกับก็เงยหน้าขึ้นไปมองที่ที่เวินหนิงอยู่

ความรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างแปลกๆ ที่อยู่ในอกของลู่จิ้นยวนยิ่งแรงมากขึ้น “คุณแม่……..”

เย่หวานจิ้งไม่ได้เอ่ยพูดอะไรออกมาต่อ กลับตัดสายโทรศัพท์ทิ้งไปทันที

อีกไม่กี่วัน ก็จะถึงวันหมั้นของลู่จิ้นยวนกับมู่เยียนหรานแล้ว งั้นเธอไม่มีเวลาเหลือพอที่จะมาชักช้าลีลาแล้ว ต้องรีบลงมือทันที

…….

เวินหนิงนอนหลับอยู่ในห้องไปแล้ว แต่ว่าข้างนอกจู่ๆ ก็มีเสียงฟ้าผ่าดังลงมาปลุกให้เธอตื่นขึ้น

เธอลุกขึ้นนั่งทันที ใจก็มีความหวาดผวาอย่างรุนแรงอยู่เต็มอก เพราะว่าในห้องไม่ได้เปิดหน้าต่างจึงทำให้รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก เวินหนิงสูดหายใจเข้าปอดไปหลายที ความรู้สึกที่แน่นอยู่ในอกก็ไม่ผ่อนคลายลงไปเลย

นี่มัน…….เป็นอะไรกันแน่……..

เวินหนิงส่ายหัวไปมา ลุกขึ้นยืนจะไปเปิดไฟเพื่อที่จะได้ไปเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท แต่ทว่า เมื่อกดเปิดไฟแล้ว แต่ในห้องกลับไม่มีแสงสว่างขึ้น

ทั้งห้องปกคลุมไปด้วยความมืดมิด มีเพียงแสงจากสายฟ้าที่ฟาดผ่ากลางท้องฟ้า ทิ้งไว้ซึ่งเส้นแสงสว่างที่ทำให้คนผวา เหมือนกับฉากในหนังสยองขวัญที่เคยดูอย่างไรอย่างนั้น

“ไม่…….ไม่เป็นไรนะ…….ต้องเป็นเพราะฉันคิดมากไปแน่ๆ”

เวินหนิงตกใจกลัวจนตื่นเต็มตา เมื่อเป็นดังนี้แล้วเธอจึงปลอบใจตัวเอง มือหนึ่งก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมา คิดจะโทรศัพท์ให้คนมาช่วย แต่ก็พบว่าสัญญาณโทรศัพท์มือถือนั้นไม่มีขึ้นเลยสักขีด

ไม่มีไฟ ไม่มีสัญญาณ ในห้องนี้ก็มีเพียงแค่ตัวเธอคนเดียว เวินหนิงก็ไม่มีใจจะนอนต่อแล้ว เหงื่ออันเย็นชื้นซึมออกมาจากตัวเธอ ในช่วงเวลานั้นเองที่ข้างนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา

เวินหนิงหันไปดูเวลาที่ปรากฏอยู่บนโทรศัพท์มือถือ ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าๆ แล้ว ที่นี่เป็นเขตชานเมือง ไม่มีคนเดินไปเดินมาในช่วงเวลานี้แน่ๆ หรือว่า ที่ไฟดับและไม่มีสัญญาณนั้นจะเป็นเรื่องที่มีคนจงใจทำ?

เวินหนิงรู้สึกเพียงแค่ว่าหัวใจที่อยู่ในอกเต้นเร็วและแรงขึ้น ราวกับว่าจะทะลุออกมาจากอกเหมือนกับในหนังผี เธอหายใจเข้าเฮือกใหญ่เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้อารมณ์ที่พลุ่งพล่านไปกระทบต่อเด็กที่อยู่ในท้อง แล้วก็พลันหยิบแจกันดอกไม้ที่อยู่บนหัวเตียงติดมือมาด้วย จากนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปที่ประตูอย่างเงียบเชียบ

ถ้าสมมติว่ามีคนเลวบุกเข้ามาปล้น เธอจะทำอย่างไรดีล่ะ จะให้เกิดเรื่องอะไรกับเด็กที่อยู่ในท้องไม่ได้เด็ดขาด…..

ความคิดในหัวของเวินหนิงตีกันยุ่งไปหมด และในตอนนั้นเอง เสียงฟ้าผ่าที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างก็ยิ่งดังมากขึ้นไปอีก ผสมปนเปไปกับเสียงสายฝนที่กระทบลงมา บรรยากาศที่หนักอึ้งอยู่รอบๆ ก็เข้มข้นมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เหงื่อซึมชุ่มไปทั่วใบหน้าของเวินหนิง ผมหน้าม้าที่ปรกอยู่ตรงหน้าผากก็ชุ่มชื้นเปียกไปด้วยเหงื่อ

“อยู่ที่นี่แหละ”

ชั่วขณะนั้นเองที่มีเสียงคนพูดดังลอดเข้ามา

เวินหนิงตัวแข็งทื่อ เพราะว่าคนพวกนี้พูดด้วยภาษาจีน ไม่ใช่ภาษาต่างประเทศ อย่างน้อยนี่ก็เป็นการอธิบายได้ว่า พวกมันไม่ใช่อันธพาลที่เป็นคนท้องถิ่น แต่เป็นคนจากประเทศจีนเอง?

แต่ คนแบบไหนกันที่จะเดินทางเป็นพันลี้เพื่อมาตามหาตัวเธอ

เวินหนิงเค้นจนสมองแทบแตกก็คิดไม่ออก และในขณะที่เธอกำลังคิดอยู่นั้นเอง คนพวกนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหว ประตูถูกเปิดออกมาจากด้านนอก เวินหนิงรีบเดินเข้าไปข้างในหลายก้าวและหลบตัว แต่แสงสว่างจากหน้าจอโทรศัพท์ก็พลันสว่างวาบขึ้นมา ทำลายความมืดมิดที่ปกคลุมอยู่

“เธอคนนั้นแหละ”

คนกลุ่มนั้นเห็นเวินหนิง ก็ไม่ได้เร่งรีบที่จะลงมือทำอะไร แต่กลับใจเย็นเป็นอย่างมาก

“พวกแกเป็นใคร มีจุดประสงค์อะไรกันแน่” เวินหนิงกำแจกันดอกไม้ที่อยู่ในมือ คนพวกนี้ประหลาดมาก ถ้าหากว่าจะมาปล้นกันจริงล่ะก็ ทำไมถึงไม่เปิดปากพูดถึงเรื่องเงิน และพวกมันกลับไม่ได้ออกค้นหาอะไรเลยเสียด้วยซ้ำ ทำเพียงแค่จ้องมาที่ตัวเธอเขม็งก็เท่านั้น

ความรู้สึกแบบนี้ ราวกับว่าอยู่ในกลางป่าและกำลังถูกสัตว์ป่าดุร้ายจ้องมองมาอย่างไรอย่างนั้น เธอก็คือเหยื่อที่ไร้ซึ่งพละกำลังและจนตรอก หวาดกลัว แต่ทว่าก็ไม่มีทางให้หนีได้เลย!

“คุณผู้หญิง ทางที่ดีสงบใจไว้ดีกว่านะ ท่าทีของคุณในตอนนี้ คิดว่าจะสู้กับพวกเราที่มีคนเยอะกว่าได้อย่างงั้นเหรอ”

“พวกแกเป็นใครกันแน่”

“วางใจได้ พวกเราไม่ทำร้ายคุณหรอก แล้วยิ่งในท้องของคุณน่ะ เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลลู่อีก คุณไปกับพวกเราซะดีๆ เถอะ”

คนที่เป็นหัวหน้าพูดออกมาด้วยเหตุผล อีกทั้งเด็กที่อยู่ในท้องของเวินหนิงในตอนนี้นั้นก็โตเต็มแก่แล้ว ถ้าหากว่าลงไม้ลงมือพลาดพลั้งเผลอไปทำเธอแท้งเข้า เกิดเรื่องขึ้นมาเขาเองก็จะรับผิดชอบความผิดนี้ไม่ไหวเช่นกัน

“………”

ทำไมพวกมันถึงรู้ได้ว่าเด็กคนนี้เป็นใคร

หรือว่า……..ตระกูลลู่?

คนพวกนี้ คือคนที่ตระกูลลู่ส่งมาเพื่อมาเอาเด็กไปอย่างนั้นเหรอ

เวินหนิงโกรธขึ้งขึ้นมาทันที เดิมทีแล้วไม่ว่าเธอจะอยู่หรือตายก็จะไม่พูดว่าพ่อของเด็กคนนี้เป็นใคร กลัวว่าตระกูลลู่คิดจะเก็บเด็กแต่ไม่เอาแม่ แต่ทว่า คนพวกนี้ก็มาถึงที่แล้ว หรือว่าคิดจะมาเอาเด็กไปจากเธอกัน?

เรื่องอะไรกัน ลู่จิ้นยวนไม่ต้องการเธอแล้ว แต่กลับยังอยากจะแย่งเด็กไปจากเธออย่างงั้นเหรอ

“ฉันไม่รู้เรื่องว่าพวกแกพูดเรื่องอะไร เด็กที่อยู่ในท้องฉัน ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลลู่เลย นี่เป็นลูกของฉันกับคนอื่น เชิญออกไปจากที่นี่ด้วย”

“คุณหนูเวิน ในเมื่อพวกเราก็มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่แล้ว ก็ต้องรู้เรื่องเข้าใจแล้วเป็นอย่างดี คุณเก็บแรงเอาไว้ใช้ตอนเดินออกไปกับพวกเราเถอะ ทำตัวให้ดีหน่อย จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็…..”

ทันทีที่สิ้นเสียงลง ก็มีผู้ชายร่างใหญ่คนหนึ่งพุ่งขึ้นมาที่ข้างหน้า อาศัยจังหวะที่เธอกำลังมุ่งความสนใจไปอยู่ที่คนที่กำลังเอ่ยปากพูดอยู่ พลันปัดของที่อยู่ในมือเธอตกลงไปที่พื้น เอาแขนของเธอไขว้ไปที่หลัง แล้วจับเธอเอาไว้อย่างแน่นหนา

“ปล่อยฉันนะ พวกแกปล่อยฉัน พวกแกทำผิดคนแล้ว! ”

เวินหนิงไม่คิดเลยว่าคนพวกนี้จะมือไม้ไวกันขนาดนี้ ถึงขนาดที่ว่าเธอยังไม่ทันได้โต้กลับ เธอดิ้นขัดขืนอยู่สักพัก นอกจากที่ว่าจะทำให้ตัวเองบาดเจ็บแล้ว คนที่จับตัวเธอเอาไว้อยู่กลับนิ่งสนิทไม่ขยับตัวเลยแม้แต่นิดเดียว รูปร่างที่แตกต่างกันของทั้งสองคน ในสายตาของเขาแล้วการดิ้นรนขัดขืนเล็กๆ น้อยๆ ของเวินหนิงก็คือการกระทำที่ไร้ค่าเหมือนมดกัด

บ่วงแค้นแสนรัก

บ่วงแค้นแสนรัก

ของขวัญวันเกิดอายุ18ปีของเวินหนิง คือเธอต้องติดคุก10ปี เพื่อการแก้แค้นเธอจึงตอบตกลงคำขอร้องของปีศาจ เธอต้องแต่งงานกับสามีที่นอนอยู่ในสภาพเหมือนผัก แต่คิดไม่ถึงว่า…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset