นึกย้อนความทรงจำไปทีละฉากๆ แววตาของเวินหนิงก็หนักแน่นมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จะมาแย่งลูกไปจากเธอไม่ได้ เธอก็คือแม่ของเด็กคนนี้
“ถ้าฉันเป็นเธอล่ะก็ จะไม่ไปมีความสัมพันธ์แบบนี้กับผู้ชายที่จะไปแต่งงานกับคนอื่นหรอก แล้วก็ยิ่งจะไม่ให้ลูกของตัวเองกลายมาเป็นเด็กหนึ่งในหมื่นที่เกิดมาแบบนอกสมรสถูดทอดทิ้งแบบนี้หรอกนะ”
เย่หวานจิ้งมองเวินหนิงอย่างเยือกเย็น ทั้งนี้ก็เพราะเธอเองก็เป็นแม่คนหนึ่ง เธอถึงได้เข้าใจถึงความยากลำบากที่เวินหนิงจะต้องประสบ
มีเพียงแต่วิธีนี้เท่านั้น ถึงจะเป็นการปูทางให้อนาคตของลู่จิ้นยวนให้ราบรื่นไร้อุปสรรค
นี่เป็นเพียงสิ่งเดียว ที่คนเป็นแม่แบบเธอสามารถทำให้ได้
“ถ้าสมมติว่าเอาตามนั้น แล้วจะเป็นอย่างไรล่ะ ฉันจะต้องให้ทุกอย่างที่ฉันสามารถให้ได้กับเขา ฉันไม่สามารถที่จะให้เขาได้ลิ้มรสความขมขื่นได้เลยแม้แต่น้อย แล้วลูกที่ต้องถูกพรากออกจากแม่แท้ๆ เองจะมีความสุขไหมล่ะ”
“อย่าพูดให้ขำไปหน่อยเลยเวินหนิง ดูสภาพเธอตอนนี้สะก่อนว่าจะให้อะไรเขาได้? เงินอย่างนั้นเหรอ หรือว่าตำแหน่ง หรือว่าทั้งหมดที่มีนอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้”
เย่หวานจิ้งพูดอย่างดูแคลน “ดูเธอที่เป็นแม่ที่ไร้ความสามารถแบบนี้ นี่แหละถึงจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดสำหรับเด็กคนหนึ่งได้ ลองคิดเพื่ออนาคตของเขาดู ฉันว่าเธอใจเย็นลงก่อนจะดีกว่านะ ร่วมมือกันหน่อย รอให้เด็กคลอดออกมาก่อน ฉันก็จะใจดีสักหน่อย ให้เงินกับเธอไปสักก้อน เธอจะได้ไม่ต้องเสียทั้งคนทั้งเงินไปยังไงล่ะ”
ดวงตาเวินหนิงจ้องเขม็งเบิกกว้าง “ฉันจะไม่ขายลูกของตัวเองกินแน่ คุณคิดว่าฉันเป็นคนอย่างไรกัน”
เย่หวานจิ้งดูเธอที่ดื้อด้านแบบนี้ ก็กังวลว่าอารมณ์ที่ปะทุเดือดจัดอยู่ตลอดของเวินหนิงจะส่งผลไม่ดีต่อตัวเด็ก
“เดิมทีน่ะนะ เพื่อที่จะเป็นการดูแลสภาพอารมณ์และจิตใจของเธอ ก็ไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ออกมาหรอก แต่ว่า เวินหนิง เธอไม่สงสัยบ้างหรอกหรือว่าฉันรู้ได้อย่างไรว่าเด็กที่อยู่ในท้องของเธอเป็นลูกใคร”
เวินหนิงชะงักจนราวกับว่าถูกแช่แข็งอย่างไรอย่างนั้น เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆ แล้วมองดูเย่หวานจิ้ง เธอเคยครุ่นคิดถึงคำถามนี้ไปแล้ว แต่ก็ไม่กล้าที่จะคิดไปไกล เพราะไม่ว่าผลลัพท์จะออกมาว่าเป็นใคร ก็กลัวว่าล้วนแล้วแต่เป็นผลสรุปที่เธอไม่อยากจะได้ยินทั้งสิ้น
เธอจะต้องถูกหักหลังอย่างแน่นอน
“คือจิ้นยวนเองที่บอกฉัน”
เย่หวานจิ้งพูดออกมาอย่างเรียบๆ แม้ว่าจะพูดเท็จอยู่ แต่สีหน้าก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
“ไม่……..จะเป็นไปไม่ได้……..”
ไม่ใช่ว่าลู่จิ้นยวนเชื่อว่าเด็กไม่ใช่ลูกของเขามาโดยตลอดงั้นเหรอ
แล้วเขาจะไปพูดกับเย่หวานจิ้งแบบนี้ได้อย่างไรกัน?
“เขาเคยพาเธอไปโรงพยาบาลใช่ไหม ตอนนั้นเขาก็เรียกให้คนมาตรวจยืนยัน DNA แล้ว อันที่จริง เขาก็รู้เรื่องมาตั้งนานแล้วล่ะนะ”
“แล้วทำไมเขาถึงไม่บอกฉันเลยล่ะ ตลอดที่ผ่านมาทำไมถึงได้……..”
เวินหนิงรู้สึกราวกับร่างทั้งร่างของเธอตกลงไปสู่ห้วงแห่งความโกลาหล ทำไมลู่จิ้นยวนถึงได้ทำแบบนี้
“แน่นอนก็ต้องเป็นเพราะว่าเขาต้องการที่จะหมั้นกับมู่เยียนหรานยังไงล่ะ มีเหตุอะไรให้ต้องยอมรับเธอ ผู้หญิงที่ได้คลอดลูกนอกสมรสออกมากันล่ะ ตระกูลมู่นั้นยิ่งใหญ่ชั้นสูง จะไปรับเรื่องลูกนอกสมรสได้อย่างไร”
“เธอคิดว่าเขาปฏิบัติกับเธอดี ให้ของพวกนั้นกับเธอก็เพราะว่าเขารักเธออย่างงั้นเหรอ แต่ก็เป็นเพราะว่ารู้สึกผิดอยู่นิดหน่อยเท่านั้นแหละ ในเมื่อ ผู้หญิงตัวคนเดียวแบบเธอ กำลังท้องกำลังไส้แต่ก็ไม่มีคนยอมรับเลย ช่างน่าสงสารเสียจริง”
เย่หวานจิ้งพูดทีละคำอย่างช้าๆ ชัดๆ คำพูดของเธอนั้น ราวกับคมมีดที่กรีดเสียดแทงเข้าไปที่หัวใจของเวินหนิง เจ็บปวดเสียจนลมหายใจของเธอนั้นแผ่วเบาลงทุกทีเพราะรู้สึกทรมาน
ลู่จิ้นยวน……..รู้แล้วงั้นเหรอ
ตั้งแต่แรกเขาก็รู้อยู่แล้วว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของเขา แต่เพียงเพราะว่าต้องการที่จะแต่งงานกับมู่เยียนหราน ก็เลยไม่อยากยอมรับ?
ไม่ เธอไม่เชื่อ คนคนนั้น………จะใจร้ายถึงขนาดนี้ได้อย่างไรกัน
“ถ้าเป็นแบบนั้น งั้นเขาจะบอกคุณทำไมกันล่ะ ในเมื่อก็ไม่ต้องการเด็กคนนี้อยู่แล้ว ให้ฉันเลี้ยงดูจนโตด้วยตัวคนเดียว แค่นี้เค้าก็สบายแย่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“แน่นอนว่าเป็นเพราะกังวลเธอที่เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวไร้ความสามารถ แม้ว่าจะเซ็นสัญญาเก็บเป็นความลับแล้ว แต่ว่า ถ้าเกิดวันใดวันหนึ่งเธอเกิดเงินหมดขึ้นมา เปลี่ยนใจใช้ลูกที่มีสายเลือดของเขามาสร้างข่าวเน่าๆ อะไรขึ้นมา นี่ก็ถือว่าเป็นการโจมตีครั้งใหญ่ต่อชื่อเสียงของเขาแล้ว”
“เวินหนิง เธอนี่ช่างใสซื่อเสียจริง คิดจริงๆหรือว่าลู่จิ้นยวนจะชอบผู้หญิงแบบเธอ ความจริงก็คือเล่นๆ กับเธอเท่านั้นแหละ ให้ได้รู้สึกถึงความแปลกใหม่ เขาก็เลยทำกับเธอดี เอาเธอมาดูแลไว้อยู่ในอุ้งมือ แต่เมื่อเล่นจนเบื่อแล้ว เธอมันก็เป็นเพียงแค่ขยะริมทางเท่านั้นแหละ จะแลเขายังไม่คิดที่เหลือบตามาแลดูเธอเลย”
เย่หวานจิ้งย่างเท้าเข้ามาใกล้เวินหนิงทีละก้าวๆ ในสายตาของเธอมองเห็นความสิ้นหวังและความจนตรอก นี่จึงทำให้เธอมีความรู้สึกพอใจอย่างแปลกประหลาด
ผู้หญิงคนนี้ที่เป็นราวกับหนามที่แทงอยู่ในอกเธอ ในที่สุดก็จะถูกเธอตีให้ตายแล้ว
ดูเธอที่อยู่ในสภาพตะลึงงันจนตัวแข็งทื่อ ก็กลัวว่าในใจจะยังคงกอดเสี้ยวความหวังเอาไว้อยู่ เธอคงคิดเสียแต่ว่าถ้าบอกถึงตัวตนของเด็กออกไปแล้ว ลู่จิ้นยวนจะกลับมางั้นเหรอ
ในเมื่อก็เป็นเช่นนี้แล้ว เธอก็เหลือแต่วิธีที่ต้องหยิบยื่นความตายนี้ใส่พานมอบให้แล้ว
“ไม่ เป็นไปไม่ได้…..”
“จะเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรกัน…….”
“คุณให้ฉันโทรหาเขาหน่อย ในเมื่อเป็นสิ่งที่เขาทำ ก็ต้องให้เขาบอกกับฉันด้วยปากของเขาเองถึงจะถูก ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ฉันไม่ยอมเชื่อหรอก! ”
สภาพอารมณ์ของเวินหนิงนั้นถูกบีบจนจะถึงขีดสุดแล้ว เธอเอามือขึ้นกุมหัวตัวเอง หัวของเธอปวดจนราวกับจะแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆ ปวดเสียจนอยากจะกรีดร้องออกมาให้สุดเสียง เจ็บทรมานมากเสียจนที่ว่าเธออยากจะเป็นลมให้สิ้นสติไปเสียร้อยรอบ
จากนั้นก็ยิ่งมีความคิดที่อยากจะหนีไปเสียให้พ้นๆ ความรู้สึกนั้นก็ยิ่งเป็นเหมือนกับเงาคอยตามติด
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้เคยเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา ทำให้เธอที่แม้แต่จะคิดให้สลบลงไปก็ทำไม่ได้ จึงทำได้แต่เพียงแผดร้องได้ความเศร้าโศก
“เธอคิดอย่างงั้นเหรอว่าโทรไปหาเขา แล้วเขาจะรับโทรศัพท์”
เย่หวานจิ้งยิ้มออกมา หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโยนให้เธอ เวินหนิงก็รีบคว้าเอาไว้ราวกับเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยยื้อชีวิตเธอเอาไว้ แล้วรีบโทรไปหาเขาทันที
ขณะที่กำลังต่อสาย เวินหนิงแทบจะอ้อนวอนร้องขอให้ลู่จิ้นยวนรับสายโทรศัพท์ เธออยากจะถามทุกอย่างให้แน่ชัด ถามให้รู้ไปเลยว่าที่เย่หวานจิ้งพูดมานั้นเป็นความจริงหรือไม่
แต่ว่า สุดท้ายแล้วก็ไม่มีคนรับสาย
แสงสว่างที่อยู่ในดวงตาของเวินหนิงค่อยๆ ดับมืดบอดลงทีละนิด จนในที่สุดก็เปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า
เขาก็หน่ายเธอไปแล้วเช่นนี้ เล่นเสียจนพอใจแล้ว แม้แต่ความคิดที่จะติดต่อหากันก็รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เกินจำเป็น ถึงขนาดที่ว่าไม่มอบความสุขให้แก่เธออีกเลย
“รู้แล้วสินะ เธอก็มากับฉันอย่างสบายใจได้แล้ว อย่าไปดิ้นรนขัดขืนอะไรที่ไร้ประโยชน์เลย เขาไม่มีทางสนใจเธอแล้ว”
เวินหนิงได้สูญสิ้นไปซึ่งความรู้สึกและการรับรู้แล้ว เธอไม่ตอบกลับคำพูดของเย่หวานจิ้งแม้แต่น้อย เพียงแค่นั่งอย่างทื่อๆ อยู่ ณ ที่ตรงนั้น
เย่หวานจิ้งพูดไปแล้วหลายประโยค เห็นเธอที่นิ่งทื่อราวกับตอไม้ ก็รู้สึกหมดสนุกและไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก ส่งเสียงฮึ่มอย่างเย็นๆ ออกมาหนึ่งเสียง “งั้นเธอก็พักผ่อนอยู่ที่นี่ไปละกัน พรุ่งนี้เริ่มออกเดินทาง อย่าคิดเล่นลูกไม้อะไรอีกนะ และเธอก็รู้เอาไว้สะด้วย ว่าโรงพยาบาลที่แม่เธออยู่น่ะเป็นของพวกเราตระกูลลู่ที่คอยจัดการอยู่ ถ้าเธอกล้าทำอะไรผิดแผกล่ะก็ แค่พวกฉันกระดิกนิ้วก็ถือว่าง่ายจนเกินไปเสียด้วยซ้ำ”
แววตาของเวินหนิงสั่นไหว
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เวินหนิงถึงพึ่งจะขยับริมฝีปาก “ฉันเข้าไปแล้ว ฉันจะไม่คิดทำอะไรแผลงๆ”
ช่างน่าขันเสียจริง แต่แรกเริ่มเดิมทีลู่จิ้นยวนก็เป็นคนจัดการเรื่องให้แม่เข้าโรงพยาบาล เชิญหมอที่เก่งที่สุดมารักษาแม่ เธอก็นึกว่านั่นเป็นการแสดงความรักของเขา
ไม่คาดคิดเลยว่า ที่แท้ก็คือเหลือทางหนีทีรอดเอาไว้แค่นั้นแหละ รอจนกระทั่งให้ทั้งสองคนฉีกทึ้งใบหน้าฆ่ากันขึ้นมาจริงๆ ก็ยังสามารถใช้การป่วยของแม่มาข่มขู่เธอได้ บีบบังคับเธอให้ยอมจำนน
คิดวางแผนมาดีเสียจริง ลู่จิ้นยวนทำไมถึงได้ต่ำช้าถึงขนาดนี้ นี่เขารอให้ถึงวันนี้มาตั้งแต่แรกหรือเปล่ากันนะ
เย่หวานจิ้งได้ออกไปแล้ว บรรยากาศในห้องกลับมาเงียบสงบ เวินหนิงยังคงนั่งอยู่ที่ตรงนั้น เล็บของเธอจิกแน่นลงไปที่โซฟาที่โอบอุ้มตัวเธอเอาไว้อยู่ จนทิ้งร่อยรอยเป็นริ้วเอาไว้ที่ชั้นผิว
“ทำไม ทำไมกัน”
“ลู่จิ้นยวน ฉันเกลียดคุณ ฉันเกลียดคุณ…..”
“ทั้งชาตินี้ฉันก็ไม่มีวันอภัยให้คุณอีกเด็ดขาด”