“ถ้าไม่ใช่เพื่อตัวของแก เพื่อตระกูลลู่ หรือว่าฉันจะเป็นคนเลวที่คิดทำแบบนี้งั้นเหรอ”
นายท่านลู่มองไปที่ลู่จิ้นยวนด้วยดวงตาที่มีประกายไฟแห่งความโกรธคุกรุ่นอยู่ “ถ้าวันนี้แกคิดอยากจะไป งั้นก็จงไปแล้วไปลับไม่ต้องกลับมา ตระกูลลู่ไม่ต้องการแก ไอ้หลานที่อกตัญญูแบบนี้! ”
ขณะที่พูดนายท่านลู่ก็ได้ไอไปด้วย เนื่องด้วยอายุที่มากแล้ว เมื่อถูกกระตุ้นให้ตื่นเต้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างกายก็ยากที่จะรับไหว
ลู่จิ้นยวนรีบเดินขึ้นหน้าไปช่วยพยุงทันที “ท่านปู่ อย่าอารมณ์ร้อนเกินไปสิครับ ผมไม่ได้…..ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น”
“ฉันก็พูดมาเสียขนาดนี้แล้ว การหมั้นในครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่หลวงนัก เกี่ยวพันธ์กับชื่อเสียงหน้าตาของตระกูลลู่ ถ้าแกคิดจะไป ก็ให้ไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ ฉันจะไม่ขัดขวางแกอีก แต่ว่านับจากนี้ต่อไป ถือว่าฉันไม่มีหลานแบบแกอีก และตัวแกเองก็ห้ามพูดอีกต่อไปว่าเป็นคนของตระกูลลู่”
ลู่จิ้นยวนไม่เคยนึกคิดมาก่อนเลยว่า ท่านปู่ที่ทะนุถนอมตัวเขาราวกับเป็นแก้วตาดวงใจ ท่านปู่ที่รักและเอ็นดูเข้าจะพูดออกมาเช่นนี้ มือของเขาชะงักค้างนิ่งไป ปรากฏภาพต่างๆ นานามากมาย
มีภาพที่อยู่กับเวินหนิงอย่างหอมหวานสงบสุข และยังมีภาพที่อยู่ข้างหลังท่านปู่คอยศึกษาเก็บเกี่ยวจนหมดแรงกาย ทั้งหมดนี้ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เขาจะปล่อยมือละทิ้งไปไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งไหนก็ตาม ต่างก็เป็นสมบัติล้ำค่าที่ประเมิณค่าไม่ได้
“คิดเสร็จแล้วก็กลับไปกับฉัน”
นายท่านลู่ไอออกมาอีกหลายที เขาดันมือของลู่จิ้นยวนที่ช่วยพยุงตัวเองไว้ออก เดินจากไปอย่างช้าๆ และมั่นคง
ลู่จิ้นยวนจึงพึ่งสังเกตว่า ท่านปู่ที่เป็นแบบอย่างให้เขามาโดยตลอดนั้นได้แก่ตัวลงมากถึงเพียงนี้แล้ว แม้ว่าตัวเขาจะปฏิเสธในเรื่องของความแก่ชรา แต่เพราะแผ่นหลังที่โค้งงอและผมสีดอกเลานั้น ทำให้คนได้รับรู้ถึงความโหดร้ายของสิ่งที่เรียกว่าอายุ
“ท่านปู่……”
ลู่จิ้นยวนเดินเข้าไปหา สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่อาจที่จะทนเห็นภาพของท่านปู่ที่เดียวดายแบบนี้ไปได้ วีรบุรุษที่จำต้องเดินออกหลังม่านไปในช่วงบั้นปลายชีวิต ความรู้สึกนี้ทำให้คนรู้สึกปวดใจ
“รู้ว่าต้องกลับมาก็ดีแล้ว ไปเที่ยวเล่นข้างนอกมาเสียนาน ก็จำเอาไว้ด้วยว่าต้องกลับมาบ้านด้วย จิ้นยวน อย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะ! ”
นายท่านลู่คว้าท่อนแขนของลู่จิ้นยวนเอาไว้ เพื่อตัวเขาแล้ว ปู่คนนี้ก็ไม่ต้องการที่จะเก็บศักดิ์ศรีเหี่ยวๆ แก่ๆ แบบนี้ไว้หรอก ได้ส่งมอบเรื่องของตระกูลลู่ไปให้ตระกูลหลินจัดการดูแล และตอนนี้ถึงขนาดที่ว่ายอมใช้วิธีขมขู่เสียด้วยซ้ำ
แต่ว่า เขาเองก็ไม่มีทางเลือกอื่น ขอเพียงให้ลู่จิ้นยวนนั้นสงบจิตสงบใจได้ เขาก็คิดว่าสิ่งเหล่านี้ที่ทำลงไปนั้นคุ้มค่าพอแล้ว
“ผม………ผมเข้าใจแล้วครับ”
ลู่จิ้นยวนหลุบตามองลงต่ำ ตอนนี้ยั่วอารมณ์โกรธของท่านปู่ไปก็ดูจะไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดนัก อีกด้านหนึ่ง ตอนนี้คุณแม่ของเวินหนิงก็ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลหลิน ถ้าหากว่าเวินหนิงหายตัวไปล่ะก็ ไป๋หลินยวี่เองก็คงมีปัญหาแล้ว และเขาคงต้องรับความผิดนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วจริงๆ
“ดี งั้นพวกเราไปกันเถอะ”
นายท่านลู่พยักหน้า ลู่จิ้นยวนไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ช่วยพยุงท่านปู่เดินออกไปจาก ณ ที่แห่งนั้น
………….
หลังจากที่เวินหนิงพลิกตัวไปมานอนไม่หลับอยู่ทั้งคืน ที่ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา
เธอเดินไปเปิดประตูออก ก็เห็นเย่หวานจิ้งยืนอยู่หน้าประตู เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับเวินหนิง ณ ตอนนี้ที่เบ้าตาลึกโหลช้ำจนหมองคล้ำ ร่างทั้งร่างดูอ่อนโรยหน้าซีดเผือด ซ้ำยังกระเซอะกระเซิง เย่หวานจิ้งจึงดูสง่างามมากกว่า
เธอแทบจะไม่มีความรู้สึกผิด ละอายแก่ใจที่ได้ลักพาตัวหญิงท้องแก่มาเลยแม้แต่น้อย เห็นว่าเวินหนิงเดินออกมาเปิดประตูให้ ก็ถึงขั้นที่ว่ายิ้มออกมาให้เสียด้วย “ดูจากสีหน้าเธอแล้วก็ดูไม่ได้เป็นอะไรนะ แล้วก็สบายใจได้ ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก ไม่จำเป็นที่จะต้องพลิกตัวไปมานอนไม่หลับหรอกนะ”
คำพูดคำจาฉลาดหลักแหลม ในใจเวินหนิงแค่นยิ้มเย็นออกมา ท่าทีที่แสดงออกยังคงเย็นชา
ถือว่าเธอนั้นดูเย่หวานจิ้งออกทะลุปรุโปร่ง นอกจากคนจากตระกูลลู่แล้ว และก็บรรดาคนที่มีตำแหน่งอำนาจที่ควรค่าแก่การเคารพ คนอื่นนอกเหนือจากนี้ก็เป็นได้เพียงแค่มดปลวดเท่านั้น
เย่หวานจิ้งเดิมทีก็ไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้สึกเกรงกลัวอะไรนัก อีกทั้งยังไม่มีใครที่สามารถพอที่จะต่อกรอำนาจของเธอได้ ดังนั้นเมื่อประสงค์สิ่งใดก็จักต้องได้สิ่งนั้น
“ถ้าหากว่านายหญิงแห่งตระกูลลู่ถูกลักพาตัวไปแล้วยังคงรักษาไว้ซึ่งภาพลักษณ์อันสูงส่งอย่างเช่นตอนนี้เอาไว้ได้ ตอนไว้นั้นไว้ค่อยมาสอนดิฉันนะคะ”
เวินหนิงพูดออกไปอย่างทื่อๆ เย่หวานจิ้งกลับไม่ได้รู้สึกโมโหโกรธขึ้ง เพียงแค่ขมวดคิ้วเป็นปม ผู้หญิงคนนี้ช่างหยาบคายสิ้นดี เธอถามออกไปด้วยเจตนาดี กลับถูกเหน็บแนมกลับมาแบบนี้เสียได้
แต่ว่า ก็ไม่มีพิษสงอะไรหรอก เธอในตอนนี้ก็ทำได้เพียงแค่ปากคอเราะร้ายดื้อด้านไปอย่างนั้น รอจนกระทั่งเด็กคลอดออกมา เธอก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาพบเจอนังผู้หญิงชั้นต่ำแบบนี้อีกต่อไปแล้ว
“วันนี้ต้องออกเดินทาง ตระกูลู่มีเกาะอยู่ที่ทะเลหลวงอยู่หนึ่งเกาะ ที่นั่นได้จัดเตรียมการเอาไว้ให้เสร็จเรียบร้อยดีแล้ว เธอก็ไปคลอดเด็กที่นั่น คลอดเสร็จแล้ว จะไปไหนก็ไปได้เลย”
ทะเลหลวงอย่างงั้นเหรอ
สีหน้าของเวินหนิงขรึมขึ้นมาทั้นที แม้ว่าเธอจะรู้จุดประสงค์ของเย่หวานจิ้งก็ตาม แต่ทว่าไม่คิดเลยว่าเธอจะโหดร้ายได้ถึงขนาดนี้
อีกทั้งต่อให้เธอคนนี้ได้ตายลงในบริเวณพื้นที่ของทะเลหลวง ก็ไม่มีอาจมีใครล่วงรู้ได้ และต่อให้มีคนไปรายงานคดีความ ก็ไม่มีคนรับคดีไปจัดการหรอก!
“นายหญิงลู่ลงทุนลงแรงเสียขนาดนี้ คิดที่อยากจะเอาชีวิตของฉันหรือเปล่าคะ”
ฉับพลันนั้นเวินหนิงก็รู้สึกหวาดผวาขึ้นมา วิธีการของพวกตระกูลลู่นั้น เธอเคยเห็นมาก่อนแล้ว เย่หวานจิ้งก็เกลียดชังเธอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถ้าหากคิดที่จะฆ่ากันขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เห็นท่าทีเวินหนิงที่ดูตกใจ เย่หวานจิ้งก็หัวเราะออกมา “วางใจเถอะ ฉันไม่ได้เป็นโรคจิตใจมารขนาดนั้น ขอเพียงแค่เธอทำตัวเชื่อฟังว่านอนสอนง่าย อย่าไปทำเรื่องอะไรที่จะมายั่วอารมณ์โกรธของฉัน ฉันก็จะไม่ไปทำเรื่องน่าเบื่อขนาดนั้นที่ทำให้ตัวเองต้องอาบไปด้วยเลือดหรอกนะ”
คำพูดนี้ ฟังดูแล้วก็ราวกับว่าเป็นการปลอบขวัญ แต่ในความจริงแล้วกลับเป็นการกล่าวเตือน
ใบหน้าของเวินหนิงซีดเผือดลงทันที เธอได้คิดหาทางหนีออกมาหลายทาง เธอจะแสร้งว่าปวดท้องจะคลอดลูกขณะที่นั่งอยู่บนรถ หลังจากนั้นก็จะหาโอกาสให้คนมาช่วย แต่ไม่คิดเลยว่า เย่หวานจิ้งจะปิดประตูทางหนีของเธอลงแล้ว
ความนัยนั้นก็คือ ถ้าหากว่าเธอคิดวางแผนเล่นตุกติกล่ะก็ ก็จะทำให้เธอจากไปแบบไม่หวนกลับคืนมาอย่างงั้นเหรอ
ทันใดนั้นเวินหนิงก็รู้ตัวว่า การเผชิญหน้ากับตระกูลลู่อันยิ่งใหญ่นั้น พลังที่เธอมีอยู่ช่างอ่อนแอและน้อยจนเกินไปจริงๆ ตอนนี้ แม้แต่แรงที่จะดิ้นรนขัดขืนสักนิดเดียวก็ไม่มีแล้ว
“ฉัน………เข้าใจแล้ว……….”
เวินหนิงเปิดปากพูดออกมาด้วยความอัปยศ เย่หวานจิ้งจึงรู้สึกพึงพอใจ “งั้นก็ไปกันเถอะ”
เวินหนิงเดินตามหลังไปอย่างเชื่อฟัง แววตาที่อยู่ข้างในลึกๆ ไม่อาจสลัดความแค้นออกไปได้ หรือว่าก็จะกลายมาเป็นเครื่องผลิตลูกไปทั้งอย่างนี้กัน จะยอมเอาลูกตัวเองไปให้ตระกูลลู่เหรอ
เธอทำใจยอมรับไม่ได้จริงๆ แต่ว่าก็ไม่อาจที่จะทำอะไรได้เลย
เวินหนิงเดินขึ้นรถไปกับเย่หวานจิ้ง เธอไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมาเลยตลอดทั้งทาง เย่หวานจิ้งเรียกสูตินรีแพทย์เฉพาะทางมาร่วมเดินทางเพื่อดูแลเธอไปด้วย คนที่ไม่รู้เรื่องราวอาจคิดไปได้ว่าเธอได้รับความใส่ใจมากถึงขนาดไหน
“ต่อไปนี้คนคนนี้จะดูแลเธอตลอด 24 ชั่วโมง เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านสูตินรีเวชที่ต่างประเทศนี้ ฉันหวังเอาไว้ว่าเธอคงจะเชื่อฟังคำของแพทย์คนนี้ เข้าใจไหม”
ได้ยินคำที่เย่หวานจิ้งพูดออกมาอย่างเรียบๆ เพื่อเป็นการรับรองความปลอดภัยและความครบถ้วนแข็งแรงสมบูรณ์ดีของเด็กที่อยู่ในท้องเวินหนิง เธอนั้นช่างรอบคอบไปเสียทุกด้าน
“เข้าใจแล้ว”
เวินหนิงไม่ได้ต่อต้านเลย เพียงแค่คิดถึงเรื่องที่เย่หวานจิ้งอาจทำได้ เธอก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรโดยไม่คิดเลยแม้แต่น้อย ที่สำคัญจะไปยั่วโมโหผู้หญิงคนนี้ไม่ได้โดยเด็ดขาด
“ดีมาก” เห็นเวินหนิงอยู่ในโอวาทแล้ว เย่หวานจิ้งก็วางใจลงไปไม่น้อย รถยนต์แล่นมาถึงสนามบินในระยะเวลาอันรวดเร็ว ที่แห่งนั้น เครื่องบินของตระกูลลู่ได้รออยู่มาเป็นเวลานานแล้ว
เวินหนิงลงจากรถไป เดินไปทีละก้าวๆ และทุกย่างก้าวที่เดินออกไปนั้นก็ราวกับมีคมมีดเสียดแทงเข้าไปที่หัวใจ เหมือนการรับโทษสถานหนักที่เจ็บปวดทรมานอย่างเกินที่จะรับไหว แต่ว่าเธอไม่มีทางอื่น ทำได้เพียงแต่ต้องเดินตามไป
จะมีใครไหม……ที่จะมาช่วยเธอได้
สายตาจับจ้องมองไปจนถึงตอนที่กำลังจะขึ้นเครื่องบิน เวินหนิงมองไปรอบๆ อย่างเคว้งคว้างและสิ้นหวัง ราวกับกำลังมองหาเชือกแห่งความหวังเส้นสุดท้ายที่จะสามารถช่วยชีวิตเธอได้อย่างไรอย่างนั้น ขณะนั้นเอง ร่างอันคุ้นเคยก็ทำให้ดวงตาของเธอเป็นประกายขึ้นมา