ความทะยานอยากที่ต้องการจะควบคุมนี้ ทำให้คนรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก นี่จะต้องเป็นเพราะเคยได้รับบาดแผลทางจิตใจอย่างใหญ่หลวงถึงได้เป็นอย่างรุนแรงถึงขนาดนี้
“ฉันเหนื่อยแล้ว ไปพักผ่อนได้หรือยัง”
เวินหนิงไม่อยากที่จะไปเกี่ยวข้องกับเย่หวานจิ้งมากไปกว่านี้ จึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาอย่างนิ่งๆ
“เธอก็เพียงแค่ต้องร่วมมืออย่างว่าง่าย ฉันก็จะไม่ทำให้เธอรู้สึกลำบากแล้ว ไปเถอะ”
เย่หวานจิ้งตอบกลับ เพียงแต่ว่าอะไรบางสิ่งที่อยู่ในแววตาของเวินหนิงนั้น ทำให้เธอรู้สึกไม่พึงพอใจ
เย่หวานจิ้งกลับเห็นความชิงชังและสมเพชที่มีต่อตัวเธอที่อยู่ในสายตาของผู้หญิงคนนี้ เวินหนิงที่มีสถานะตำ่ช้าแบบนี้ จะไปคู่ควรที่จะทำแบบนั้นได้อย่างไรกัน
เพียงแค่เย่หวานจิ้งคิดว่าจะได้ไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเวินหนิง ก็ทำให้ตัวเธอรู้สึกไม่สบายไปทั้งกาย จึงไม่คิดที่อยู่เพื่อเกี่ยวข้องตรงนี้อีก “พวกแกก็ดูแลเธอให้ดีด้วย ฉันต้องกลับประเทศไปจัดเตรียมเรื่องงานหมั้น และต้องมั่นใจว่าจะดูแลเด็กให้ปลอดภัยไร้กังวลนะ”
เวินหนิงที่ยังเดินจากไปได้ไม่ไกลนัก ได้ยินคำว่าหมั้นคำนี้ ร่างกายก็สั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ สภาพของเธอนั้นตกไปอยู่ในสายตาการรับรู้ของเย่หวานจิ้ง จึงทำให้เธอรู้สึกพอใจขึ้นมาได้แล้วบ้าง
ดูท่าแล้ว ผู้หญิงคนนี้จะมีแนวคิดที่ว่าแม่เทิดทูนลูกเป็นดั่งสมบัติ แต่ทว่าตอนนี้ก็ได้ถูกเธอทำลายลงเสียแล้ว
เคราะห์ดี ที่เธอมาเจอได้อย่างทันเวลา
เย่หวานจิ้งจากไปแล้ว เวินหนิงกลับไปที่ห้องนอน นางพยาบาลสองคนอยู่ที่ทางด้านหลังของเธอเองก็ไม่มีความคิดที่จะจากไปไหน
“พวกเธอทำอะไรอยู่ที่นี่” เวินหนิงรู้สึกไม่สบายใจที่ถูกคนจับจ้องดูอยู่แบบนี้ จึงคิดที่จะไล่ให้คนออกไป
“พวกเราเองก็ได้รับหน้าที่ให้ต้องปฏิบัติตามนะคะ คุณหนูเวิน เพียงแค่หนึ่งเดือนนี้เองค่ะ ขอให้คุณได้โปรดอดทนเอาหน่อยนะคะ”
เวินหนิงมองดูท่าทางที่ดูเย็นชาของสองคนนั้น ก็รู้สึกอัดอั้นตันใจ “พวกเธอที่ไปช่วยเหลือคนเลวแบบนี้ ฉันดูพวกเธอแล้วก็หลับไม่ลง ออกไปให้พ้นซะ! ”
“ขอโทษด้วยค่ะ คุณหนูเวิน ได้โปรดทำตัวให้ชินด้วยนะคะ”
คำพูดของเวินหนิง ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย ทั้งสองคนนั้นยังคงยืนอยู่ที่ข้างเตียงของเธอ ราวกับเป็นเทพที่อารักขาประตูอย่างไรอย่างนั้น ยืนปักหลักไล่ก็ไม่ไป
แม้ว่าเวินหนิงจะรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ไม่มีทางเลือก “แล้วแต่พวกเธอละกัน ฉันจะพักผ่อน ห้ามพวกเธอส่งเสียงรบกวนฉันเด็ดขาด”
พูดเสร็จก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเองจนถึงศรีษะ คิดที่อยากจะหลีกหนีความรู้สึกที่คอยถูกจับตาดูอยู่แบบนี้
“คุณหนูเวิน ทำแบบนี้จะอึดอัดไม่ดีนะคะ เพื่อเด็กที่อยู่ในท้อง อย่าทำแบบนี้จะดีกว่านะคะ”
ในตอนนี้เองที่เวินหนิงมาถึงขีดสุดของความโมโหแล้ว “นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ พวกเธอคิดอยากจะทำอะไรกันแน่”
“หน้าที่ของพวกเราก็คือทำให้เด็กปลอดภัย คลอดออกมาอย่างแข็งแรงสมบูรณ์ดี ได้โปรดคุณหนูเวินอย่าทำให้พวกเราลำบากเลยค่ะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ พวกเราคงต้องรายงานนายหญิงใหญ่ให้เธอมาจัดการนะคะ”
เวินหนิงใบหน้าซีดเผือด ถ้าเย่หวานจิ้งรู้เข้าล่ะก็ ไม่แน่ว่าอาจจะลงไม้ลงมือกับคนแม่ได้ นอกจากที่เธอจะต้องร่วมมือแต่โดยดีแล้ว เธอก็ไม่อาจทำอย่างอื่นได้เลย
คิดได้ดังนี้ ในใจเวินหนิงก็มีความรู้สึกขมขื่นที่ทำอะไรไม่ได้ผุดขึ้นมา หรือว่าลู่จิ้นยวนจะวางแผนจัดการมาตั้งแต่แรกเลยนะ
ที่ได้เชิญคุณหมอมาดูอาการป่วยของแม่ ล้วนแต่เป็นการลวงหลอก ทำไปเพียงเพื่อที่จะได้ควบคุมตัวเอาไว้ ตอนนี้คุณแม่ก็ได้กลายมาเป็นเบี้ยที่พวกเขาเอามาใช้ขมขู่ ความรู้สึกซาบซึ้งที่มีในตอนแรกนั้น ก็คงเป็นได้เพียงเรื่องที่น่าเยาะเย้ยเรื่องหนึ่ง
เวินหนิงไม่ได้ตั้งใจที่จะหาเรื่องอะไรอีก นอนทอดกายอยู่บนเตียง หลับตาลง เพียงแค่ว่าทำอย่างไรเธอก็หลับไม่ลง
อันเฉินจะเห็นข้อความพวกนั้นไหมนะ หรือว่าจะมีคนช่วยเธอโทรศัพท์ออกไปไหมนะ ติดต่อไปที่ต่างประเทศนั่น
ตอนนี้สิ่งที่เธอทำได้ ก็มีเพียงแต่จะต้องรอเท่านั้น
………
พลบค่ำ
ลู่จิ้นยวนนอนพลิกตัวไปมาทั้งคืน แม้ว่าร่างกายจะร้องโอดครวญถึงความเหนื่อยล้า แต่เขายังคงไม่สามารถที่จะพักผ่อนได้อย่างเต็มอิ่ม
เพราะเพียงแค่ได้ปิดเปลือกตาลงเท่านั้น เขาก็จะได้เห็นภาพของเวินหนิงที่อยู่ในสภาพที่หดหู่อย่างน่าอนาถ แววตาของเธอนั้นสิ้นหวัง ทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ออก
ถ้าเกิดมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเธอขึ้นมาจริงๆ แล้วเขาจะทำอย่างไร
ลู่จิ้นยวนหอบหายใจอย่างทรมานขมขื่น บริเวณหน้าอกเจ็บปวดจนเกินทน
ขณะนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“จิ้นยวน ทุกคนมาถึงกันแล้ว คุณรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง แล้วพักผ่อนสบายดีไหม”
เสียงของมู่เยียนหรานดังลอดเข้ามา วันนี้พ่อแม่ของเธอก็มาแล้ว ในเมื่อเป็นเรื่องงานหมั้นของลูกสาว เรื่องใหญ่เสียแบบนี้ เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะมาเพื่อคุยถกหารือกันสักเล็กน้อย
เดิมทีตอนนี้ลู่จิ้นยวนก็ไม่คิดที่อยากคุยกับใคร คิดแค่อยากที่จะอยู่คนเดียวเพียงลำพังอย่างเงียบๆ เท่านั้น แต่เมื่อคิดถึงคำที่ท่านปู่พูด เขาก็จึงทำได้เพียงแต่ฝืนลุกขึ้นยืน
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังอยู่ข้างในห้อง มู่เยียนหรานก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ถ้าหากว่าลู่จิ้นยวนไม่ไว้หน้าเธอ ไม่ยอมมาพบพ่อกับแม่ล่ะก็ งั้นเธอก็คงไม่เหลือแล้วซึ่งศักดิ์ศรี ยังดีที่นายท่านลู่ยืนอยู่ข้างเดียวกับเธอในตอนนี้ และให้การสนับสนุนเธออย่างเป็นที่แน่นอน ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็………
เมื่อคิดแล้วมู่เยียนหรานก็ตัดสินใจได้ว่า นายท่านลู่ผู้ที่มีอำนาจบารมีล้นเหลือนี้ เธอคงจำจะต้องเกาะท่านเอาไว้ให้แน่นๆ แล้ว แบบนี้ต่อให้ลู่จิ้นยวนมีใจโกรธขึ้งเธอ แต่ก็ไม่อาจที่จะไล่ให้เธอไปไหนได้
ลู่จิ้นยวนเปิดประตูออก มู่เยียนหรานเงยหน้าขึ้นมองเขา เพียงแค่แรกเห็นก็ทำให้เธอตะลึงงัน ลู่จิ้นยวนในตอนนี้ไม่มีแล้วซึ่งความสง่างามเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงดูราวกับรังนกก็ไม่ปาน ใต้เบ้าตาโหลลึกช้ำเป็นสีคล้ำ หนวดเคราเริ่มโผล่ขึ้นมาเป็นตอๆ ช่างแตกต่างกับตอนที่เขาเป็นปกติราวกับคนละคน
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย……
ถ้าเขาเป็นเช่นนี้ต่อไปล่ะก็ พ่อและแม่ของเธอคงได้สบสนงุนงงเป็นแน่
“จิ้นยวน คุณจะ จัดการตัวเองหน่อยไหมคะ”
มู่เยียนหรานพูดออกมาอย่างระมัดระวัง แต่ว่าบรรยากาศรอบตัวของลู่จิ้นยวนในตอนนี้นั้นได้มีรัศมีอันตรายแผ่ออกมา ที่เธอพูดออกไปแบบนี้ได้นั้นเป็นเพราะได้รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีอยู่ออกมา
“เธอคิดว่าฉันที่เป็นอยู่แบบนี้ ไม่เหมาะสมงั้นเหรอ ในเมื่อไม่เหมาะสม งั้นก็ไม่ต้องพบกันแล้วล่ะ ก็ดีเหมือนกัน ฉันก็ไม่มีอารมณ์เสียด้วย”
ลู่จิ้นยวนมองดูมู่เยียนหรานหนึ่งที บางทีเธอก็ไม่เข้าใจผู้หญิงคนนี้เลย ตอนแรกเขาก็รักเธอเสียจนนอกจากเธอแล้วก็จะไม่แต่งงานกับใครอีก แต่เธอก็ไม่สนใจแลเขา ไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดีก็จะออกไปไขว่คว้าตามหาสิ่งที่เรียกว่าความฝัน
ตอนนี้ เขาไม่มีอารมณ์ความรู้สึกต่อเธอเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เธอกลับคอยแต่จะเอาใจเขาทั้งวัน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่หนีไปไหน
ประกอบกับสถานการณ์ของตระกูลมู่ในตอนนี้ จึงได้ทำให้ลู่จิ้นยวนนึกสงสัยถึงสิ่งที่เป็นแรงผลักดันให้เธอ แม้ว่าตระกูลมู่จะเป็นตระกูลยิ่งใหญ่ที่มีเกียรติ แต่เพราะด้วยเรื่องสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่คล่องตัว ทั้งตระกูลก็เลยไม่เหลือซึ่งอะไรแล้ว กลายเป็นเพียงชั้นวางที่ว่างเปล่า
แม้ว่าภายนอกมู่เยียนหรานจะดูเป็นหญิงงามที่สวยหยาดเยิ้ม แต่จนในท้ายที่สุดแล้วก็สูญเสียแรงสนับสนุนจากตระกูลไป ก็เลยไม่มีซึ่งความกล้าอย่างที่เคยมีในตอนแรกแล้ว
“มู่เยียนหราน เธอคิดจะแต่งงานกับฉัน สุดท้ายแล้วเป็นเพราะว่าชอบฉันคนนี้ หรือว่าเป็นเพราะฉันคือตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเธอ และสามารถนำผลประโยชน์มาให้เธอได้มากที่สุดกัน”
คำพูดของลู่จิ้นยวน ทำให้มู่เยียนหรานตัวแข็งชะงักค้างไป เธอปฏิเสธออกไปไม่ได้เลย สำหรับลู่จิ้นยวนแล้วเธอสามารถมีได้ซึ่งทุกสิ่งอย่างตามที่ประสงค์ได้อย่างแน่นอน แต่เมื่อถูกถามออกมาตรงๆ แบบนี้แล้ว ก็ทำสีหน้าไม่ถูกขึ้นมา
“นี่คุณหมายความว่าอะไรกัน”
“หมายความว่าอะไร เธอก็รู้อยู่แก่ใจดี”
ลู่จิ้นยวนถอนสายตากลับมา เอามือขึ้นไปขยำผมอย่างสะเปะสะปะ “เธอยังจำสิ่งที่ฉันบอกกับเธอได้ไหม”
“ที่ฉันหมั้นกับเธอ ก็เป็นเพียงการหมั้นทางธุรกิจเท่านั้น ถ้าคิดอยากจะเอาอะไรนอกเหนือจากนี้ไปจากฉัน ก็อย่าแม้แต่จะคิดเลย ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน”
พูดเสร็จ ลู่จิ้นยวนก็ลงไปข้างล่าง ไม่แม้แต่จะเหลือบสายตามาแลมู่เยียนหรานเลย
มู่เยียนหรานโมโหมากเสียจนกำหมัดแน่น ท่าทีที่ลู่จิ้นยวนปฏิบัติต่อเธอนั้นยิ่งแย่ลงไปมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้หญิงคนนั้นก็ได้จากไปแล้วแท้ๆ ทำไมถึงยังเป็นแบบนี้อยู่อีกล่ะ
ขณะที่กำลังโกรธขึ้งอยู่นั้น ทันใดนั้นก็มีเสียงดนตรีอันรื่นหูดังขึ้นมาจากในห้องของลู่จิ้นยวน
มู่เยียนหรานหันไปดู ลู่จิ้นยวนลืมหยิบโทรศัพท์ไปด้วย ด้วยความสงสัยที่พลุ่งพล่านขึ้นมาในใจ เธอจึงมองดูข้อความที่ปรากฏขึ้นอยู่บนหน้าจอ