“หาเบาะแสที่คุณหนูเวินหายตัวไปเจอแล้วครับ แต่ว่า……”
อันเฉินส่งข้อความมา แต่ในนั้นไม่ได้พูดเคลียร์มาก
สีหน้ามู่เยียนหรานเปลี่ยนไปทันที ชื่อของเวินหนิงโผล่มาต่อหน้า เธอก็อยากจะโยนโทรศัพท์ในมือทิ้งทันที
ทำไม เกี่ยวกับเธออีกแล้ว?
ผู้หญิงคนนั้นเอาแต่หลอกหลอนชีวิตเธอ แต่ว่า……หายตัวไปได้ยังไง?
ท่าทางของลู่จิ้นยวนไม่ดีมากนัก เป็นเพราะเธอหายตัวไปงั้นหรอ?
ในใจมู่เยียนหรานก็รู้สึกอิจฉา ที่แท้ลู่จิ้นยวนก็ยังปล่อยวางผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ หายตัวไป อาจจะเป็นละครที่ผู้หญิงคนนี้แสดงขึ้นแล้วจะมาทำลายงานหมั้นของพวกเขาก็ได้
คิดไปด้วย มู่เยียนหรานก็พิมพ์ข้อความกลับไปว่า “เรื่องนี้นายไม่ต้องยุ่งอีก ฉันจะจัดการเอง”
เมื่อพิมพ์ส่งไปแล้ว มู่เยียนหรานก็รีบลบข้อความทันที นี่ห้ามให้คนอื่นรู้เด็ดขาด
อันเฉินก็ลังเลไปสักพักก่อนจะรายงาน พอรายงานแล้ว อาจจะมีผลกระทบกับงานหมั้นของลู่จิ้นยวน แล้วมีผลกระทบกับอนาคตเขาด้วย
แต่ยังไง เขาก็จะทำตัวไม่สนใจเรื่องของไม่ได้
เมื่อเห็นว่าลู่จิ้นยวนตอบกลับมาแบบนี้ อันเฉินก็คิดว่าเขาอาจจะรู้ความจริงแล้ว ก็เลยไม่ได้ทำอะไรอีก เพราะยังไง คนที่ลักพาตัวเวินหนิงก็เป็นคนของตระกูลลู่ เรื่องครอบครัวคนอื่น เขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะยุ่ง
เมื่อมู่เยียนหรานจัดการเรื่องนี้เสร็จ ก็เดินลงมาชั้นล่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ลู่จ้นยวนนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารแล้ว พอเห็นว่าเธอมาสาย “เธอมัวทำอะไรชักช้า?”
มู่เยียนหรานร้อนตัว ไม่รู้ว่าอันเฉินจะรายงานเรื่องนี้หรือเปล่า แต่ว่า ขอแค่ผ่านงานหมั้นไป ทุกอย่างก็จะง่ายไปกว่าเดิม
ขอแค่เธอได้หมั้นกับลู่จิ้นยวน เธอก็มีวิธีที่จะไม่ให้ผู้ชายคนนี้ไปจากตัวเองเด็ดขาด
“ไม่มีอะไร ก็แค่เติมหน้านิดหน่อย”
มู่เยียนหรานยิ้มแล้วนั่งลงบนเก้าอี้อย่างดูดี สีหน้ามองไม่ออกเลยว่ามีความผิดปกติอะไร
ลู่จิ้นยวนมองไปที่เธอ ก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้มีตรงไหนผิดปกติ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกสนใจเธอมาก ผู้ชายก็เลยหันมองไปทางอื่น
……
เวินหนิงยืนอยู่ริมทะเล แล้วมองไปสุดขอบฟ้า แต่ว่า ในสายตาเธอไม่ได้มีความกังวลเลย
ที่นี่เป็นเกาะส่วนตัวที่ตระกูลลู่ซื้อไว้ วิวก็สวยมากกว่าที่อื่นๆ มองเห็นท้องฟ้าแล้วก็ทะเลที่สะอาดนี้ แต่เธอกลับไม่มีอารมณ์มาชมวิวเลย แค่อยากจะปล่อยวางตัวเอง แล้วมองคลื่นน้ำที่ไกลที่สุด พร้อมทั้งวางมือลงบนท้อง แล้วกอดไว้แน่น
เป็นเพราะนิ้วมือกอดไว้แน่นจนเริ่มซีดขาว แต่เวินหนิงกลับไม่รู้สึกตัวเลย
เธออยู่ที่นี่มาสามวันแล้ว
ที่นี่ดูอยู่โดดเดี่ยวมาก นอกจากคนตระกูลลู่เธอก็ไม่เห็นใครอีกเลย มีแต่ทะเลที่กว้างใหญ่นี้ นอกนั้นไม่มีอะไรอีกเลย
ความรู้สึกแบบนี้ เหมือนคนทั้งโลกเป็นศัตรูเธอ มีเธอที่รออยู่อย่างเดียวดาย รอความหวังที่ริบหรี่นั้น
เธอจะทนรับไม่ไหวแล้ว
สายตาของเวินหนิงหม่นหมองไปกว่าเดิม เธอพยายามพูดคุยกับคนรับใช้หญิงที่เฝ้าเธอไว้ ให้พวกเธอเข้าใจความลำบากของการเป็นแม่ด้วย หวังว่าจะมีใครใจอ่อน แต่พวกเธอกลับไม่แสดงปฏิกิริยาเลย ไม่ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ
“คุณหนูเวินคะ พวกเราก็แค่ทำตามคำสั่ง ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ พวกเราก็จะลำบากไปด้วย เพราะฉะนั้น ขอให้คุณล้มเลิกความคิดนั้นเถอะค่ะ”
คำพูดตอบกลับของคนพวกนั้น ก็ทำให้เวินหนิงหมดหวังไปกว่าเดิม จนเธอนึกถึงช่วงเวลาที่ถูกลู่จิ้นยวนขังตัวไว้
ลู่จิ้นยวนเป็นคนขังเธอก่อน จากนั้นก็เป็นแม่ของเขา แล้วเป็นคนตระกูลลู่ ทำแบบนี้ไม่ให้เกียรติคนอื่นเลย
เธอทำผิดอะไรกันแน่ ถึงต้องเกี่ยวข้องรู้จักกับคนพวกนี้
“คุณหนูเวิน อารมณ์ของคุณไม่คงที่ กลับไปพักผ่อนในห้องดีกว่าครับ”
เสียงพูดที่เย็นชาของคุณหมอเอ่ยดังขึ้น
“……”
ดวินหนิงไม่ได้พูดอะไร กับคนพวกนี้ ถึงแม้พวกเขาก็แค่ทำตามคำสั่ง แต่ยังไง เธอก็ทำไม่ได้ที่จะไม่ลามปามไปถึงพวกเขา
ถ้าไม่มีพวกเขา เธอก็จะไม่อยู่ที่นี่ ก็จะไม่ถูกขังเหมือนสัตว์เลี้ยงในกรง
เพราะฉะนั้น กับคนพวกนี้ เธอไม่มีอะไรจะพูดเลย นี่ก็เป็นท่าทางที่เธอใช้ต่อต้านคนพวกนี้ด้วย
“คุณหนูคะ ถึงแม้คุณจะไม่พูด แต่เราก็จะไม่ใจอ่อนหรอกค่ะ ถ้ายังรับลมแบบนี้อีก คุณจะไม่สบายนะคะ”
พูดไปด้วย คนรับใช้หญิงก็หยิบเสื้อคลุมออกมา “ในเมื่อคุณไม่อยากกลับไป งั้นก็ใส่เสื้อเถอะค่ะ”
ในมือของคุณหมอถือเสื้อคลุมไว้ตัวหนึ่ง แล้วยื่นมาให้เธออย่างมีมารยาท จากนั้นก็ไม่ได้เอ่ยพูดอะไรอีกเลย
สายตาของเวินหนิงมองไปที่เสื้อตัวนั้น เสื้อตัวนั้นแค่มองก็รู้ว่าแพงมาก เป็นเสื้อขนแกะที่ดูดี ไม่ต้องสัมผัสก็รู้ว่าราคาไม่เบาแน่นอน เป็นของฟุ่มเฟือยที่เธอไม่มีปัญญาซื้อ
แต่ว่า เธอก็ไม่มีอารมณ์ที่จะมาชื่นชมของพวกนี้ ยืนอยู่ที่นั่นไม่ขยับเลย
“คุณหนูเวินครับ คุณทำแบบนี้ทำให้พวกเราลำบากมาก ถ้าคุณไม่อยากกลับไป แล้วไม่ยอมสวมเสื้อด้วย ถ้าไม่สบาย ถึงเวลาคุณกับเด็กในท้องจะลำบาก แล้วก็……คุณแม่ของคุณด้วย”
สายตาของเวินหนิงเยือกเย็น “คุณพูดแบบนี้ ไม่รู้สึกละอายใจหรอ? คุณยังเป็นหมอที่มีจรรยาบรรณอยู่หรือเปล่า?”
ตอนนี้ นอกจากจะใช้เด็กในท้องข่มขู่เธอ ยังใช้คุณแม่ที่อยู่โรงพยาบาลข่มขู่เธอด้วย คนพวกนี้ ไม่รู้สึกละอายใจกันบ้างเลยหรอ?
“ที่ผมทำไปก็เพื่อเด็กในท้องของคุณ”
คุณหมอเอ่ยพูดอย่างเรียบนิ่งด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก เหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่มีความรู้สึกอย่างนั้น
เวินหนิงหันหน้าไป พอเห็นว่าเธอไม่พูดอะไร คุณหมอก็เรียกคนรับใช้นำเสื้อไปคลุมบนตัวเธอ
เวินหนิงไม่ได้ต่อต้าน แล้วปล่อยให้คนอื่นกระทำไปเหมือนหุ่นไม้ที่ไม่มีชีวิตอย่างนั้น
เมื่อเห็นว่าเธอยอมสวมเสื้อแล้ว คุณหมอก็เรียกคนรับใช้มาอีก “ใกล้เวลาแล้ว คุณหนูเวิน คุณควรจะรับประทานมื้อเที่ยงที่มีสารอาหารครบถ้วนแล้วครับ”
เวินหนิงส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย “ฉันไม่หิว”
ถูกคนอื่นขังอยู่แบบนี้ เธอจะมีอารมณ์กินอะไรได้ยังไง?
“ไม่หิวก็ต้องทานครับ เมื่อวานตรวจเช็คร่างกายแล้วพบว่าร่างกายคุณขาดสารอาหารบางอย่าง ถ้าไม่ทานจะไม่ดีต่อเด็กในท้องครับ”
พูดไปด้วย คนรับใช้ก็เดินมาแล้ววางอาหารลงบนโต๊ะ
ในจานมีเค้กที่ตกแต่งไปด้วยผลไม้แล้วก็อัลมอนด์ วัตถุดิบทุกอย่างถูกคัดสรรมาอย่างดี แล้วมีเชฟทำให้โดยเฉพาะ รับประกันสารอาหารแล้วก็ความอร่อยได้แน่นอน
“ถ้าไม่ทานน้ำใจของเชฟก็จะเสียเปล่านะครับ”
เวินหนิงรู้สึกรำคาญเขามาก ก็เลยหยิบช้อนขึ้นมาตักกิน รสชาติก็อร่อยดี อาหารที่นี่ก็เป็นของที่เธอชอบหมดทุกอย่าง รสชาติอร่อยมาก
แต่ว่า เวินหนิงกลับไม่มีอารมณ์มาลิ้มลองอาหารพวกนี้เลย “คุณหมอ คุณรู้สึกหรือเปล่าว่าฉันเป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงที่ถูกเลี้ยง? พอถึงเวลาก็ฆ่าทิ้ง แล้วนำของที่พวกคุณต้องการไป ก็จะหมดประโยชน์ทันที”