โม่เทียนหวี๋พาทั้งสองไปที่โซนเสื้อผ้า
“เทียนหวี๋ ฉันขอไปเข้าห้องน้ำหน่อยค่ะ รบกวนคุณดูอันหรานให้หน่อยนะคะ”
“ไม่มีปัญหา วางใจได้ เดี๋ยวผมจะดูแลให้อย่างดีเลย”
คบกันมาห้าปี บวกกับบ้านตระกูลโม่ก็เป็นผู้มีบุญคุณที่ช่วยชีวิตเธอไว้ โม่โยวค่อนข้างจะไว้วางใจโม่เทียนหยวนอยู่มาก เธอพูดฝากฝังไม่กี่คำก็เดินออกไป
เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าสวรรค์กำลังเข้าข้างเขา ถ้าแม่อยู่เขาก็ทำอะไรได้ไม่สะดวกนัก ตอนนี้ดีเลย
โม่เทียนหวี๋เองก็รู้สึกว่าโม่โยวไม่อยู่ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้พูดคุยกับหนุ่มน้อยได้ถนัดหน่อย
ก็แค่เด็กคนหนึ่ง เอาของกินของเล่นมาล่อนิดเดี๋ยวก็ดีใจใหญ่แล้ว โม่เทียนหวี๋อยากซื้อใจเด็กหนุ่ม เพราะหวังให้โม่โยวรีบตอบรับคำขอแต่งงาน ไม่ได้เพราะเอ็นดูหรือใส่ใจเด็กหนุ่มอะไรหรอก
“อันหราน หนูชอบอะไรบอกลุงได้เลยนะ ลุงจะซื้อให้หนูทุกอย่างเลย”
ลู่อันหรานยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ : “จริงเหรอครับ?”
“แน่นอน ลุงไม่เคยพูดโกหก”
“คุณพ่อของเพื่อนที่โรงเรียน ซื้อเสื้อผ้าดีๆให้เขาด้วยครับ ผมก็อยากได้ครับ” ลู่อันหรานยิ้มอย่างไร้เดียงสา
โม่เทียนหวี๋เลิกคิ้วเล็กน้อย : “ไม่มีปัญหา ลุงซื้อให้หนูเอง”
“เย้ยๆๆ ขอบคุณครับ”
หนุ่มน้อยร้องขึ้นอย่างดีใจ ก่อนจะจูงมือโม่เทียนหวี๋ตรงไปยันร้านที่เล็งไว้ : “งั้นรีบไปเถอะครับ ผมพาลุงไปเอง”
นัยน์ตาของลู่อันหรานฉายแววเจ้าเล่ห์ขึ้นมา เชอะ รอก่อนเถอะพ่อจะเอาให้หมดตัวเลย
หนุ่มน้อยจูงมือโม่เทียนหวี๋มาถึงร้านที่ขายเสื้อผ้าเด็กโดยเฉพาะ
ถึงแม้ว่าบริษัทบ้านตระกูลโม่จะทำเกี่ยวกับธุรกิจเสื้อผ้าด้วย แต่สำหรับเสื้อผ้าเด็กแล้วเขาไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ ดูจากดีไซน์ของร้านนี้แล้วก็ดูดีใช้ได้
เขารู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเห็นว่าลู่อันหรานยังเด็กไม่น่ามีอะไรต้องระวัง เขาไม่มีทางรู้เลยว่า เสื้อผ้าเด็กร้านนี้แพงเวอร์วังมาก
พนักงานขายเข้ามาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม : ยินดีต้อนรับค่ะ ไม่ทราบว่ากำลังมองหาอะไรอยู่คะ”
ลู่อันหรานกระพริบตาปริบๆ ยิ้มให้พนักงานขายอย่างน่ารัก ก่อนจะหันไปมองหน้าโม่เทียนหวี๋ : “คุณลุงจะซื้อให้ผมจริงๆใช่มั้ยครับ”
“จริงสิ หนูชอบตัวไหนเลือกได้เลย”
“เสื้อร้านนี้สวยมาก ผมเลือกหลายตัวหน่อยได้มั้ยครับ?” หนุ่มน้อยทำสีหน้าคาดหวัง
“ได้เลย” เขาตอบทั้งที่ไม่ได้คิดแบบนั้น ก่อนจะโบกมือให้อย่างใจกว้าง
“คือ…….มันจะเสียเงินเยอะมากมั้ยครับ เดี๋ยวแม่จะว่าผมมั้ยครับ?” ลู่อันหรานทำสีหน้าลำบากใจ
“ไม่เป็นไร ฉันจะอธิบายแม่หนูเอง แพงแค่ไหนลุงก็ซื้อให้หนู” โม่เทียนหวี๋พูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
หนุ่มน้อยดีใจขึ้นมาทันที : ” ขอบคุณครับคุณลุง”
เขารีบจูงมือพนักงานขายเดินเข้าไปด้านในทันที โม่เทียนหวี๋เข้าไปนั่งรอบนโซฟาที่ตั้งอยู่ในร้าน
ร้านเสื้อผ้าเด็กร้านนี้ค่อนข้างกว้าง ถ้าให้ลู่อันหรานเดินดูเองน่าจะต้องใช้เวลานานอยู่มาก เขากลัวว่าถ้าแม่กลับมาซะก่อนแผนของเขาก็เป็นอันต้องพังลงแน่
หนุ่มน้อยจึงหันไปมองพนักงานสาวสวย ก่อนทำตาปริบๆให้ : “พี่สาวคนสวย”
พนักงานสาวเจอลูกค้าที่เป็นเด็กน้อยมามากมาย แต่เพิ่งเคยเจอเด็กหนุ่มที่ท่าทางดูเป็นผู้ดีและน่ารักแบบนี้ครั้งแรก รู้สึกชื่นชอบหนุ่มน้อยมาก
“หนูน้อยชอบเสื้อแบบไหนคะ เดี๋ยวพี่หยิบให้ค่ะ”
“เสื้อผ้าที่แพงที่สุดของร้านอยู่ตรงไหนครับ ช่วยพาไปหน่อย”
พนักงานขาย : “………..”
เสื้อผ้าที่แพงที่สุดถูกจัดแยกโซนไว้ต่างหาก ลู่อันหรานเลือกชุดได้ประมาณยี่สิบชุด รองเท้าประมาณหกถึงเจ็ดคู่ ขณะที่พนักงานสาวมองเขาด้วยสายตาตกใจ
เพราะเสื้อของเด็กอายุหกขวบไม้ได้ใหญ่มาก พอนำชุดยี่สิบชุดมาวางซ้อนกันก็ดูไม่ได้น่าตกใจอะไร ลู่อันหรานเดินกลับมาอย่างมีชัย
โม่เทียนหวี๋เดินเข้ามาหา : “อันหราน เลือกได้หรือยัง?”
หนุ่มน้อยยิ้มตาหยีก่อนพยักหน้า : “เลือกได้แล้วครับ อยู่นี่ครับ”
เขาปรายตามองกองเสื้อผ้าแวบหนึ่ง พอดูออกว่าเยอะอยู่ ในใจรู้สึกไม่ชอบสไตล์ของหนุ่มน้อยนัก แต่ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะหยิบกระเป๋าสตางค์เดินไปยันเค้าเตอร์ชำระเงิน : “เท่าไหร่ครับ”
พนักงานสาวนำเสื้อผ้าและรองเท้าใส่ในถุงใบใหญ่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนคิดเงินและปริ้นใบเสร็จออกมา
“คุณผู้ชายคะ ทั้งหมด ห้าแสนสองหมื่นแปดพันถ้วนค่ะ”
โม่เทียนหวี๋มือสั่นเล็กน้อย สงสัยว่าตัวเองฟังผิดหรือเปล่า: “………เท่าไหร่นะ?”
” ห้าแสนสองหมื่นแปดพันถ้วนค่ะ ” พนักงานสาวแจ้งอีกครั้งด้วยรอยยิ้มงดงาม
เสื้อพวกนี้ เธอเห็นกับตาว่าเด็กหนุ่มเลือกโดยไม่ดูและไม่ลองเลย บางตัวขนาดก็ไม่ได้ มีทั้งตัวเล็กและตัวใหญ่
เธอพยายามทักท้วงแล้ว แต่เด็กหนุ่มก็ไม่สนใจฟังเธอเลย บอกเพียงให้เธอเลือกตัวที่แพงที่สุดมาก็พอ
พนักงานสาวยังรู้สึกสงสัยเลยว่าเด็กหนุ่มตั้งใจทำแบบนั้นหรือเปล่า แต่พอมองดูตัวเล็กๆของหนุ่มน้อย และนึกไปถึงอายุของหนุ่มน้อยแล้ว ก็เหมือนว่าเธอจะคิดมากไปเอง
ไม่ว่ายังไง นี่ก็เป็นยอดใหญ่สำหรับเธอ ถ้าขายได้เดือนนี้เธอก็จะได้ผลงานและรายได้ก็จะมากขึ้นด้วย ในใจจึงรู้สึกมีความสุขไม่น้อย
เธอดีใจ ลู่อันหรานก็ดีใจ แต่โม่เทียนหวี๋กลับยิ้มไม่ออก
เขายังคงสงสัยว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า ก่อนจะปรับสีหน้าให้ยิ้มแย้มเข้าไว้ : รบกวนของดูใบเสร็จหน่อยได้มั้ยครับ?”
“ได้ค่ะ คุณผู้ชาย”
โม่เทียนหวี๋เอาใบเสร็จขึ้นมาดู ทันใดนั้นสีหน้าก็ดูเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
เสื้อผ้าเด็กที่อยู่ในถุง ราคาถูกที่สุดอยู่ที่หนึ่งหมื่นสามพัน แพงที่สุดอยู่ที่สองหมื่นหกพัน เขาที่ทำงานเป็นผู้บริหารธุรกิจเสื้อผ้ามานานหลายปีทำไมถึงไม่รู้ว่าเสื้อผ้าเด็กจะแพงขนาดนี้?
พอๆกับเสื้อผ้าแบรนด์เนมของผู้ใหญ่เลย
พนักงานสาวเห็นสีหน้าเขาแล้ว ก็รีบอธิบาย : “คุณผู้ชายคะ เสื้อทุกตัวของร้านเราจะออกแบบโดยดีไซเนอร์จากต่างประเทศอย่างปราณีตค่ะ ถึงแม้แบรนด์เราจะมีแค่เสื้อผ้าเด็ก แต่ก็เป็นแบรนด์ที่มีชื่อนะคะ”
ลู่อันหรานดึงปรายเสื้อของโม่เทียนหวี๋เล็กน้อย : “คุณลุง ไม่อยากซื้อให้ผมแล้วเหรอครับ?”
หนุ่มน้อยเม้มปากก่อนพูด: “แต่เมื่อกี้นี้คุณลุงยังพูดอยู่เลยว่าให้ผมเลือกหลายๆตัว อะไรที่ผมชอบก็จะซื้อให้ คุณครูที่โรงเรียนเคยบอกว่า เป็นคนต้องรับผิดชอบต่อคำพูด คุณลุงจะหลอกลวงผมเพียงเพราะเห็นว่าผมเป็นเด็กไม่ได้นะครับ”
โม่เทียนหวี๋ : “………”
มันไม่ใช่เรื่องสัจจะหรือไม่สัจจะมั้ย? เขาจะไปรู้ได้ไงว่าเด็กนี่จะเลือกเป็นขนาดนี้? โม่เทียนหวี๋หน้าตึงขึ้นมา รู้สึกอยากบีบคอเด็กนี่ให้ตายเสียตอนนี้
ในใจรู้สึกสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย สงสัยว่าเด็กนี่ตั้งใจแกล้งเขาหรือเปล่า
ลู่อันหรานมองเขาด้วยสีหน้าไร้เดียงสา พอเห็นสีหน้าเขาไม่สู้ดีนัก ก็กดมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะรีบวิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังของพนักงานสาว พร้อมตะโกนพูดขึ้น
“คุณลุง ผมไม่เอาเสื้อพวกนี้แล้วครับ อย่าดุผมเลย”
พนักงานสาวก็พอดูออกว่าคุณผู้ชายท่านนี้มองว่ามันแพงเกินไป
แต่เธอกลับมองเขาด้วยสายตาดูถูก เด็กหนุ่มพูดถูก ก่อนเข้าไปเขาเป็นคนบอกเองว่าเท่าไหร่ก็จะซื้อ พอถึงเวลาชำระเงินกลับจะกลับคำ ไม่รับผิดชอบในคำพูดเอาซะเลย
ที่สำคัญไม่ซื้อก็ไม่ซื้อสิ ทำไมต้องดุเด็กน้อยด้วย มันเกินไปแล้วนะ