“เปิดแผนที่ของย่านนี้ออกมาซิ” ลู่จิ้นยวนพูดออกมาอย่างเย็นเยียบ
อันเฉินที่นั่งอยู่ข้างคนขับพยักหน้ารับ แล้วพลันเคาะแป้นพิมพ์ของคอมพิวเตอร์พกพาที่อยู่บนตักไม่หยุดเลยทีเดียว ไม่นานนัก แผนที่โดยละเอียดของเขตชุมชนย่านนี้ก็ปรากฏขึ้นมาให้เห็น
“เลี้ยวซ้ายในอีกสองร้อยเมตรข้างหน้าจะเจอกับถนนสายเล็กๆ ถ้าหากว่าความเร็วของรถเร็วพอล่ะก็ จะสามารถไปดักหน้ารถคันนั้นได้ทันพอดี”
ลู่จิ้นยวนไม่ลังเลที่จะออกคำสั่งผ่านหูฟังลงไปในทันที สั่งให้พวกเขาไล่ตามต่อไป
ระยะทางสองร้อยเมตรถือว่าไม่ไกลนัก ด้วยเวลาอันรวดเร็วก็ถึงแล้ว ปรากฏว่าหากเลี้ยวแล้วก็จะเจอเข้ากับถนนเส้นเล็กๆ สายหนึ่ง เขาจึงรีบหักพวงมาลัยเลี้ยวไปในทันที พุ่งเข้าไปในถนนสายนั้น
ลู่จิ้นยวนเหยียบคันเร่งสุดฝีเท้า โดยเร่งความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ล้อบดเข้ากับถนนจนเกิดประกายไฟแปลบปลาบขึ้นมา อันเฉินกำห่วงช่วยพยุงที่อยู่เหนื่อหัวแน่น เพื่อที่จะทำให้ตัวเขาไม่กวัดแกว่งตามไปด้วยได้
เพียงแปปเดียวรถของพวกเขาก็พุ่งออกมาจากถนนเส้นหนึ่ง หักพวงมาลัยแล้วจอดรถให้ขวางอยู่บนกลางถนนหลวงทันที
ทั้งสองคนมองไปยังที่อีกด้านของถนน ก็เห็นรถตู้คันสีดำอันคุ้นเคยปรากฏขึ้นมาอยู่ในสายตา จากที่ไกลๆ ก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้น ด้วยเวลาไม่นานนักก็ได้พุ่งเข้ามาหา
ลู่จิ้นยวนเปิดประตูรถออก ในมือมีแท่งเหล็กโผล่ขึ้นมาอยู่หนึ่งแท่ง สายตาจับจ้องมองไปที่รถตู้คันนั้น ในใจก็คำนวณระยะทางที่เหลือ จากนั้นแท่งเหล็กที่อยู่ในมือก็ส่งเสียงแหลมหวือเนื่องจากถูกเขาเหวี่ยงออกไป
แท่งเหล็กพุ่งเข้าไปกระทบกับกระจกหน้าของรถตู้ กระจกปริแตกเนื่องด้วยแรงกระทบอันมหาศาล จากนั้นกระจกทั้งบานก็แตกกระจายออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
แรงปะทะของแท่งเหล็กกลับไม่ได้ผ่อนลงเลย ทะลุผ่านบานกระจกที่แตกละเอียด ปักลงไปที่หน้าผากของคนขับรถอย่างเต็มแรง เลือดพลันสาดกระจายไปทั่ว
เสียงกระแทกดังสวบดังขึ้นมาหนึ่งที รถตู้ก็หยุดนิ่งสนิทลงในทันที พวงมาลัยหักเลี้ยวไปด้านหนึ่ง รถจึงสะบัดด้วยความเร็วเข้าไปพุ่งชนใส่รั้วที่อยู่ด้านข้าง ตัวรถชนเสียหายจนยับเยินไม่มีชิ้นดี
รถที่ไล่ตามมาทางด้านหลังก็จอดลงด้วยเช่นกัน ลู่จิ้นยวนส่งสัญญาณมือให้ลงมาจากรถ แล้วล้อมรอบรถตู้เอาไว้
ลู่จิ้นยวนสาวเท้าก้าวยาวๆ เข้าไปหา เปิดประตูรถออก คว้าเอาผู้ชายสองคนที่ถูกให้สวมผ้าคลุมหัวออกมา แล้วจึงมองเห็นผู้หญิงที่ถูกทิ้งเอาไว้ที่ด้านท้ายของรถ
หัวใจของเขาบีบรัดแน่นขึ้น รีบอุ้มผู้หญิงคนนั้นออกมาในทันที แต่เพียงเสี้ยววินาทีเขาก็นิ่งไปทั้งร่าง
อันเฉินไม่เข้าใจการกระทำนั้น จึงเหลือบตามองดู แล้วดวงตาจึงเบิกโพลงขึ้นมาในทันที ความรู้สึกหนาวสะท้านก็แผ่ขึ้นมาในจิตใจเขา ผู้หญิงในอ้อมแขนบอสคือใครกัน
นี่ไม่ใช่โม่โยวนี่
ลู่จิ้นยวนมองดูเสื้อผ้าอันคุ้นตาที่อยู่บนร่างของผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมแขนตน ยังจะไม่เข้าใจอะไรอีก เขาคลายมือออก นัยน์ตาสีดำสนิทราวกับหมึกก็พลันเกิดความบ้าคลั่งเฉกเช่นพายุฝนที่โหมกระหน่ำ
ยังมีลูกน้องซึ่งมีหน้าที่คอยปกป้องโม่โยวได้ตามมาสมทบอย่างเงียบๆ โดยเมื่อเห็นดังว่าก็งุนงงหวาดผวากันเป็นแถบ พวกเขาคาดไม่ถึงกันเลยว่าจะมีการสลับตัวเกิดขึ้น
ตอนนั้นคิดเพียงแต่ว่านี่เป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน จึงกลับกลายเป็นว่าไม่ได้สังเกตถึงเรื่องนี้กันเลย บรรดาลูกน้องพากันสบตามองเข้าหากัน ต่างพากันเห็นความหวาดผวาที่ซ่อนอยู่ข้างในแววตาลึกๆ ของกันและกัน
จบสิ้นแล้ว เรื่องกลายมาเป็นแบบนี้ พวกเขาไม่อาจที่จะหลีกหนีความผิดนี้ไปได้ แต่ที่สำคัญมากกว่านี้ก็คือ ได้กระทำความผิดที่งี่เง่าไว้เสียขนาดนี้ พวกเขายอมรับไม่ได้เลยจริงๆ
หลายคนพากันคุกเข่าลงทันที รอรับบทลงโทษอันโหดร้ายด้วยจิตใจที่ตายจนเป็นเถ้าถ่าน ถ้าจบเรื่องนี้ไปแล้วและยังสามารถรักษาดวงชีวิตเอาไว้ได้อยู่ล่ะก็ นั่นก็คงเป็นเพราะพระเจ้าคุ้มครองแล้วกระมัง
แต่ตอนนี้ลู่จิ้นยวนไม่มีเวลามาสั่งสอนพวกเขา มองไปยังผู้ชายสองคนที่อยู่ข้างบน ในมือเขาถือมีดสั้นเอาไว้อยู่
“แล้วคนล่ะ? ”
สีหน้าของทั้งสองคนซีดเผือด หันมาสบตามองกัน ไม่มีใครยอมเอ่ยปากพูดอะไรขึ้นมาเลย
เสี้ยววินาทีต่อมา
“อ๊าา……..”
เสียงฉึกดังขึ้นมา ปลายแหลมของมีดสั้นเสียบแทงลงไปที่บริเวณไหลของชายคนหนึ่งอย่างเต็มแรง ลู่จิ้นยวนทำสีหน้าเคร่งขรึม มีดสั้นที่อยู่ในมือก็ขยับอยู่ที่บริเวณปากแผลไม่มีหยุด
“ฉันถามว่า แล้วคนล่ะ”
ลู่จิ้นยวนโยนมีดทิ้งไป แล้วคว้าเอานิ้วมือของผู้ชายตรงนั้นมา จากนั้นก็ใช้มือหักทิ้งลงไปทีละนิ้วๆ
ว่ากันไว้ว่านิ้วทั้งสิบนั้นเชื่อมต่อเข้ากับหัวใจ ความเจ็บปวดนี้ ต่อให้เป็นชายชาตรีก็ทนไปได้ไม่กี่น้ำหรอก เสียงคร่ำครวญร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมาที่ข้างหูอย่างไม่มีหยุด จนในที่สุดก็ยอมเปิดปากพูดขึ้น
ลู่จิ้นยวนเอาที่อยู่นั้นส่งไปให้ลูกน้อง จากนั้นก็พาอันเฉินและคนอีกไม่กี่คนขึ้นรถไปด้วย แล้วจึงกลับรถมุ่งหน้าไปยังที่ตั้งของตระกูลโม่ในทันที
ตระกูลโม่ ภายในห้องของโม่เทียนยวี๋
ณ ตอนนี้ภายในห้อง เสื้อผ้าบนตัวของโม่โยวนั้น กระดุมถูกฉีกกระชากจนเปิดออกหมด เผยให้เห็นเสื้อชั้นมากกว่าครึ่ง บนใบหน้ายังมีรอยประทับของฝ่ามือหลงเหลืออยู่
โม่โยวในตอนนี้นั้น สีหน้าอันอ่อนโยนที่มักจะประดับอยู่บนใบหน้าไปหายไปแล้ว รอบดวงตาแดงก่ำ กัดริมฝีปากที่ซีดเผือดของตัวเองจนแน่น
ในมือกำเศษกระจกเอาไว้ เธอเอามาจากที่ได้ทุบกรอบรูปที่ตั้งอยู่ตรงหัวเตียง ร่างทั้งร่างของเธอนั้นหดเกร็งจนถึงขีดสุด จ้องไปที่โม่เทียนยวี๋ตาเขม็ง ในแววตามีความสิ้นหวังและหวาดผวาแต่ก็ยังมีความบ้าคลั่งเพื่อที่จะเอาชีวิตรอดเจือมาอยู่ด้วยเช่นกัน
โม่โยวที่เป็นแบบนี้นั้น แม้ต่อให้ไปอยู่ตรงหน้าของลู่จิ้นวน เขาก็จะรู้สึกราวกับว่าเป็นคนแปลกหน้า
การคุมคามและดูถูกเหยียดหยามเมื่อสักครู่ของโม่เทียนยวี๋ ทำให้ความเกลียดอาฆาตชนิดที่โม่โยวไม่เคยมีมาก่อนปะทุขึ้นมา ท่าทีที่ต้องการเอาชีวิตรอดเมื่อสักครู่ ทำให้โม่เทียวยวี๋มีความรู้สึกหวาดหวั่นก่อเกิดขึ้นมาอยู่ภายในใจ
ณ ช่วงเวลานี้โม่เทียนยวี๋เองก็อยู่ในสถานการณ์ลำลากเช่นกัน เอามือยกขึ้นกุมหน้าผาก เลือดเหลวข้นสีแดงสดก็ไหลรินลงมา นี่คือที่โม่โยวใช้ที่เขี่ยบุหรี่ตีเขาเมื่อสักครู่
ใบหน้าของเขาขรึมจนดำทะมึน จ้องไปที่โม่โยวอย่างเอาเป็นเอาตาย ในแววตาเต็มไปด้วยกลิ่นอายความรุนแรงและโหดร้าย ทำไมโม่เทียนยวี๋ถึงคาดไม่ถึงเลยนะว่า โดยปกติยัยผู้หญิงชั้นต่ำคนนี้จะอ่อนแอราวกับกระต่าย แต่เมื่อสักครู่นี้กลับกล้าที่จะลงไม้ลงมือกับเขาได้
เขาเดินเข้าไปหาโม่โยวทีละก้าวๆ ทุกย่างก้าวที่สาวเข้ามาหานั้นราวกับว่ากำลังเหยียบย่ำลงไปบนหัวใจของโม่โยว ราวกับว่าหัวใจดวงนี้ของเธอจะเด้งทะลุออกมาอย่างไรอย่างนั้น
“คุณ คุณอย่าเข้ามานะ ออกไป…..” ทั้งร่างของโม่โยวหวาดผวาตัวสั่นจนหยุดไม่อยู่ ความรู้สึกต่างๆ นานาพุ่งถึงขีดสุดและถาโถมเข้าใส่ตัวเธอ เศษกระจกที่อยู่ในมือตวัดเข้าไปใส่แขนที่ขาวราวกับหิมะอย่างไม่ลังเล จนเกิดบาดแผลเปิดขึ้นมาหนึ่งแผล
บาดแผลจากความคมนั้นทำให้ใบหน้าของเธอขาวซีดมากยิ่งกว่าเดิม แต่ในใจของเธอกลับรู้สึกโล่งอกขึ้นมาเล็กน้อย เพราะว่าความเจ็บปวดนี้ทำให้แขนขาที่อ่อนแรงของเธอฟื้นคืนแรงกลับมาได้เล็กน้อย เธอจึงมีความรู้สึกปลอดภัยขึ้นมา
การกระทำที่ทำร้ายตนเองของเธอนั้น ทำให้ย่างก้าวของโม่เทียนยวี๋หยุดชะงักลงเล็กน้อย มุมปากของเขาพลันยกขึ้นวาดเป็นองศาที่ดูชั่วร้าย แล้วจึงเดินไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง
โม่โยวกำเศษกระจกที่มีคราบเลือดติดอยู่แน่น แล้วพลางก้าวถอยหลังทีละก้าวๆ
ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนไม่ไกลมากนัก เพียงไม่นานโม่เทียนยวี๋ก็เดินไปเข้าไปถึงตัวเธอ เธอส่งเสียงแหลมกรีดร้องออกมา เศษกระจกที่อยู่ในมือแทงออกไปข้างหน้าเต็มแรง แต่ถูกเขาที่ระวังตัวเอาไว้อยู่แล้วจับเข้าไปที่ข้อมือจนทำให้เศษกระจกนั้นร่วงหล่นลงไปที่พื้น
“แม่งเอ้ย อีเวร มึงกล้าทำร้ายกูเหรอ แล้วคอยดูว่าวันนี้กุจะจัดการกับมึงยังไง”
โม่เทียนยวี๋บีบไหล่ของเธอแน่น อัดเธอเข้าไปติดกำแพงอย่างแรง มือกวัดแกว่งลงไปหนึ่งที เสียงแควกของเสื้อผ้าที่ถูกฉีกกระชากก็ดังขึ้น
ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้ไปกระตุ้นระบบประสาทของโม่โยว เธอแผดร้องเสียงแหลมออกมา ไม่รู้ว่ามีแรงมาจากที่ไหนกัน จึงเริ่มดิ้นอย่างไม่คิดชีวิต เล็บที่ยาวแหลมก็ข่วนลงไปบนลูกตาของโม่เทียนยวี๋
“อ๊า……….” โม่เทียนยวี๋ปล่อยมือออกแล้วเอาขึ้นไปกุมตาซ้าย
โม่โยวหันไปมองซ้ายขวา แล้วจึงออกตัววิ่งไปยังทิศทางที่มีหน้าต่างทันที
เขาถูกผู้หญิงที่ตนคิดจะสั่งสอนทำร้ายซ้ำอยู่หลายครั้งหลายครา โม่เทียนยวี๋โกรธจนขาดสติ ไม่รับรู้ถึงเหตุและผล จากนั้นจึงพุ่งตัวออกไปฟาดฝ่ามือลงไปบนใบหน้าของโม่โยวเต็มแรง
“อีสถุน มึงอยากตายใช่ไหม เดี๋ยวกูจะจัดให้มึงเอง”
เขาเคลื่อนมือเข้าไปบีบคอของโม่โยว สีหน้าเต็มไปด้วยความโหดร้าย กัดฟันกรอดจนกรามขึ้นเป็นสัน
บานหน้าต่างนั้นใหญ่มาก แต่ว่าขอบหน้าต่างนั้นเตี้ยมาก มีส่วนสูงแค่ประมาณความยาวของขาของผู้ใหญ่เท่านั้นเอง ร่างครึ่งร่างของโม่โยวถูกบีบให้ออกไปห้อยอยู่ข้างนอกหน้าต่าง