เวินหนิงถือของแล้วจากไป สีหน้าไม่ได้นิ่งเฉยเหมือนเมื่อกี้ แต่กลับมีความกังวลแฝงมาด้วย
เธอรู้จักเวินหลานคนนี้ดี ยอมลดค่าตัวแล้วมาที่นี่ต้องวางแผนอะไรแน่นอน สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดก็เพื่อที่จะทำลายเธออีกครั้ง แล้วเอ่ยพูดเรื่องเล่าของเธอให้เธอถูกเยาะเย้ยจนทนไม่ได้แล้วจากไปเอง……
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เวินหนิงก็กำมือไว้แน่นพร้อมกับริมฝีปากตัวเอง กัดริมฝีปากแน่นจนเลือดออกก็ไม่รู้สึกตัว
“นี่เวินหนิง? เธอเป็นพี่น้องของเวินหลานจริงหรอ? ทำไมเธอไม่เห็นพูดเลย?”
เวินหนิงกำลังเดินไปด้วยพร้อมความหงุดหงิดในใจ เสี่ยวจางแผนกโฆษณาก็เดินมา พอเห็นเธอก็ทักทายอย่างเป็นกันเอง
“ไม่มีอะไรน่าพูด” เวินหนิงส่ายหัว ความสัมพันธ์ของเธอกับเวินหลานไม่ดีสักหน่อย อาจจะพูดได้ว่าเป็นน้ำกับไฟที่เข้ากันไม่ได้ จะเอ่ยพูดถึงเธอได้ยังไง?
จากนั้นเวินหนิงก็นึกอะไรได้ “ใช่สิ เธอเซ็นสัญญากับบริษัทเราแล้วหรอ?”
เวินหนิงยังแอบหวังในใจลึกๆ เสี่ยวจางคิดไปคิดมา “ตอนนี้ยังไม่ เรื่องพรีเซนเตอร์ก็ต้องผ่านการพิจารณาจากบอสลู่ แต่ว่าตอนนี้ก็รับปากกันแล้ว ทำไม เธอถามเรื่องนี้ทำไม?”
“เปล่า” เวินหนิงส่ายหน้าแล้วรีบกลับไปชั้นบนสุด
ลู่จิ้นยวนกำลังทำงาน เวินหนิงมองผ่านกระจกเข้าไปก็เห็นผู้ชายคนนั้นกำลังก้มมองดูเอกสารในมือ ในใจก็รู้สึกสับสนมาก
ถ้าเธอไปขอร้องให้เขาช่วย ไม่ให้เซ็นอนุมัติเวินหลานเป็นพรีเซนเตอร์ให้บริษัท เขาจะคิดยังไง?
แต่ว่า……
แต่พอนึกถึงวิธีการที่สกปรกของเวินหลาน เวินหนิงไม่อยากให้เธอทำแผนสำเร็จอีกครั้ง เลยลังเลไป ลู่จิ้นยวนเหมือนรู้สึกบางอย่างได้เลยเงยหน้าขึ้น ก็เห็นว่าเวินหนิงยืนอยู่นอกประตูกำลังก้มหน้าไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“เธอกำลังทำอะไร?” ผู้ชายเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง “ลับๆล่อๆ”
เวินหนิงกัดฟันแน่นแล้วรวบรวมความกล้าเปิดประตูเข้าไป “ฉัน……ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”
ลู่จิ้นยวนเลิกคิ้ว เวินหนิงสงบปากสงบคำอยู่แล้ว ถ้าอยู่ในบริษัทก็เหมือนคนใบ้ไม่เคยได้ยินเธอเอ่ยปากพูดกับใครมาก่อน แต่ตอนนี้กลับกันสิ้นเชิง
“เรื่องอะไร?” ลู่จิ้นยวนควงปากกาในมือแล้วทอดมองไปที่เธอ
“ฉันขอให้ นายช่วยอะไรหน่อยได้ไหม?”
เวินหนิงพูดจบจากนั้นก็มองไปที่ลู่จิ้นยวนอย่างไม่มีความมั่นใจ
ลู่จิ้นยวนไม่ได้เอ่ยตอบแล้วใช้นิ้วชี้มาที่โต๊ะ เวินหนิงรู้สึกกระวนกระวาย แล้วเวลานี้อันเฉินก็ส่งสายตาให้เธอพูดต่อ
เขารู้จักนิสัยของลู่จิ้นยวนดี ถ้าเขาไม่อยากฟังจริงก็คงจะเอ่ยปากไล่ไปแล้ว
“ฉันหวังว่า บริษัทจะไม่ร่วมงานกับเวินหลาน”
เวินหนิงพูดจบไปอย่างไม่มีความมั่นใจเลย แล้วมีความกังวลเล็กน้อย ที่เธอพูดแบบนี้ก็คงจะทำให้ลู่จิ้นยวนหงุดหงิดด้วย
“เวินหลาน น้องสาวเธอ?”
ลู่จิ้นยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย นัยน์ตาก็รู้สึกสับสน
เรื่องระหว่างสองพี่น้อง เขาก็เคยได้ยินมาบ้าง
ทุกคนก็จะพูดว่า เวินหลานนิสัยดีแล้วใจกว้างมาก อ่อนโยนกับทุกคนแล้วมนุษยสัมพันธ์ก็ดีด้วย คนเดียวที่ไม่ชอบเธอก็คือเวินหนิง
อาจจะเป็นเพราะอิจฉา เวินหนิงเอาแต่ใส่ร้ายน้องสาวคนนี้แล้วจ้องจะทำร้าย แถมยังผลักเวินหลานล้มลงไปกับพื้นต่อหน้าทุกคน เพราะฉะนั้นหลังจากที่เวินหนิงเข้าคุกไป ก็มีคนไม่น้อยคิดว่าเธอสมควรแล้ว
“ใช่ น้องสาวฉัน”
“ผมไม่รู้ว่าระหว่างพวกเธอมีความแค้นอะไร แต่เรื่องที่บริษัทจะเลือกใครเป็นพรีเซนเตอร์นี่เป็นเรื่องงาน ไม่ใช่อุปกรณ์ที่จะให้เธอมาแก้แค้นคนอื่น”
สายตาของเวินหนิงหม่นหมองลง อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยตัวเองในใจ เธอเป็นบ้าไปแล้วเหรอ มาทำให้ตัวเองขายหน้าถึงที่
ถึงแม้นี่จะเป็นคำตอบที่คาดเอาไว้ แต่เธอก็ยังรู้สึกไม่พอใจ
เวินหลานไม่มีทางยอมแน่ ถ้าเธอยังอยู่ต่อก็คงจะทำลายชีวิตตัวเองแน่นอน
“เรื่องนี้ถือว่าฉันขอร้อง ถือซะว่าเป็นบุญคุณที่นายให้ฉัน งานเลี้ยงเมื่อวานฉันก็ถือว่าช่วยนายใช่ไหม? เพราะฉะนั้น นายก็ช่วยฉันครั้งนี้ อย่างนี้ก็ถือซะว่าเราไม่ติดค้างอะไรกันอีก”
ลู่จิ้นยวนปิดหนังสือตรงหน้าแล้วรู้สึกไม่สบอารมณ์
“เวินหนิง เธอควรจะเข้าใจ ที่เธอออกมาจากคุกได้ก็เป็นเพราะบุญคุณของตระกูลลู่ วันนั้นเป็นเรื่องที่เธอควรทำ แต่ไม่ใช่เงื่อนไขที่เธอจะมาต่อรองกับผมได้”
“อีกอย่าง ผมไม่รู้ว่าเธอกับน้องสาวมีความแค้นอะไรกัน แต่ว่า เธอไม่มีสิทธิ์ไปอิจฉาที่คนอื่นมีชีวิตดีกว่า เดินมาถึงขั้นนี้เธอทำตัวเอง จะโทษคนอื่นก็ไม่มีประโยชน์”
ลู่จิ้นยวนเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง เวินหนิงควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ “ทำตัวเอง นายรู้หรอว่ามันเกิดอะไร? ถ้าไม่รู้แล้วมีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนฉันด้วยน้ำเสียงสูงส่งอะไรแบบนี้?”
เวินหนิงหายใจเสียงดัง ดวงตาทั้งสองข้างแฝงด้วยน้ำตา
เธอไม่ค่อยรู้สึกโมโหกับเรื่องอะไรพวกนี้มาก ช่วงเวลาสามปีที่อยู่ในคุกทำให้เธอขัดเกลาจิตใจได้
แต่ว่า เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ลู่จิ้นยวยพูดว่าเรื่องทุกอย่างมันควรจะเป็นแบบนี้ ความน้อยใจในใจเธอสุดท้ายก็หักห้ามไม่อยู่แล้วระเบิดออกมา
ถ้าไม่ใช่เพราะเวินหลาน เธอก็คงไม่เป็นแบบนี้ เธอก็คงจะเป็นผู้หญิงที่ปกติทั่วไป ขึ้นมหาลัยแล้วทำงาน ใช้ชีวิตที่เรียบง่าย
เวินหลานทำลายชีวิตของเธอ แต่ทุกคนคิดว่าเธอสมควรได้รับโทษ
“ไสหัวออกไป” ลู่จิ้นยวนไม่เคยโดนตะคอกแบบนี้มาก่อนพร้อมกับโยนของในมือไปบนโต๊ะเสียงดัง สายตาก็มีความเยือกเย็นด้วย
เวินหนิงรู้ว่าเรื่องนี้พังไม่เป็นท่าแล้ว ก็ไม่อยากเสียน้ำลายอีก จากนั้นก็หันหลังเดินออกไป
เธอไม่ควรมาทำตัวโง่เง่า คนอย่างลู่จิ้นยวนจะช่วยเธอได้ยังไง
ลู่จิ้นยวนมองเห็นแผ่นหลังที่ไม่แคร์ของเธอ ความรู้สึกโมโหไม่ได้ลดลงแต่กลับเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม
ผ่านไปสักครู่ แผนกโฆษณาก็ส่งสัญญาของเวินหลานมาให้
ลู่จิ้นยวนมองไปที่ลายเซ็นที่สวยงามของเวินหลานแล้วในหัวก็มีภาพเหตุการณ์ที่ทะเลาะกับเขาเมื่อกี้
ในสายตาของผู้หญิงคนนั้นเป็นความน้อยใจ ไม่ยอมแล้วก็……สิ้นหวัง
สายตาแบบนั้นทำให้คนรู้สึกตกใจ เหมือนกับคนที่ไร้ความช่วยเหลือที่กำลังจะจมลงใต้ทะเล เอาแต่วนเวียนอยู่ในหัวของเขาสบัดยังไงก็ไม่ออก
ปลายปากกาหยุดนิ่งอยู่ที่ช่องเซ็นชื่อไปสักพัก สุดท้ายลู่จิ้นยวนก็วางปากกาลงแล้วโยนสัญญาไปข้างๆ “ตอนนี้บริษัทยังไม่ต้องการพรีเซนเตอร์ แผนงานนี้ไม่ผ่าน”
ผู้จัดการฝ่ายโฆษณารู้สึกสับสน “บอสครับ ภาพลักษณ์เวินหลานดี ชอบงานการกุศลแล้วหนังที่เธอแสดงไปก็กำลังจะเข้าฉาย กระแสดีมากแล้วบวกกับครั้งนี้ค่าตัวก็ไม่แพง……”
ผู้จัดการฝ่ายโฆษณาไม่อยากทิ้งโอกาสที่จะทำผลงานครั้งนี้ไป แล้วไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมลู่จิ้นยวนต้องปฏิเสธเงื่อนไขที่มีประโยชน์ต่อบริษัทแบบนี้ ทนไม่ได้จนต้องเอ่ยปากอธิบาย