“คุณชายลู่?
คุณยังมีธุระอะไรอีกเหรอคะ?”
แน่นอนว่ากงมั่วอยากจะอยู่ตามลำพังกับลู่จิ้นยวน แต่เธอไม่สามารถเพิกเฉยต่อสายตาที่ไม่เป็นมิตรที่ลู่จิ้นยวนมองเธอ
“กงมั่ว เธอควรจะดีใจ ที่เธอยังมีสถานะเป็นหลานสาวของเพื่อนเก่านายท่านลู่ชั้นหนึ่งอยู่ ไม่อย่างงั้น กล้าที่จะมีความคิดต่อคนของฉัน ฉันไม่มีทางปล่อยไปง่าย ๆ แน่”
ลู่จิ้นยวนพูดอย่างเย็นชา
ใบหน้าของกงโมจมเคร่งขรึมอย่างควบคุมไม่ได้ “คุณชายลู่ ฉันไม่เข้าใจว่าคำพูดนี้ของคุณหมายความว่ายังไง?”
เธอพูดต่อทันที “คุณหนูเวินต้องพูดอะไรกับคุณแน่ ฉันคิดไม่ถึงจริง ๆ ฉันยอมรับแล้วแท้ ๆ ว่าเธอไม่ได้เป็นคนผลักฉัน ทำไมเธอยังใส่ร้ายป้ายสีฉันต่อหน้าคุณ”
ลู่จิ้นยวนหรี่ตา “ยอมรับแล้ว?
เธอหมายความว่า เธอถูกเวินหนิงผลักลงไปจริง ๆ?”
เธอดวงตาสั่นคลอ ก้มหน้าลง “ฉันไม่รู้ค่ะ ความทรงจำของฉันคลุมเคลือเล็กน้อย ตอนนั้นพวกเรากำลังถกเถียงกันอยู่ที่บันได คุณหนูเวินอาจจะอารมณ์ร้อนไปหน่อย”
“บางทีเธออาจจะไม่ได้อยากจะผลักฉันจริง ๆ เพียงแค่ไม่ระวังพลั้งมือไป ดังนั้นถึงได้…”
ลู่จิ้นยวนมองดูเธอ ในหัวไม่รู้คิดอะไรอยู่ จู่ ๆ ก็พูดขึ้น “พวกเธอถกเถียงอะไรกัน?”
กงมั่วมองเขาอย่างลังเล แล้วค่อย ๆ พูดขึ้น “อาจจะเป็นเพราะคุณหนูเวินเห็นฉันปรากฏตัวอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลลู่ จึงโมโห เธอพูดมาโดยตลอดว่าฉันไม่มีสิทธิ์อยู่ในคฤหาสน์ตระกูลลู่ พูดประมาณว่าให้ฉันไสหัวออกไป”
ลู่จิ้นยวนพยักหน้า “เวินหนิงพูดไม่มีผิด เธอไม่เหมาะที่จะอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลลู่จริง ๆ ส่วนเรื่องที่ไสหัวออกไปไม่มีความจำเป็น แค่ย้ายออกไปก็พอแล้ว”
กงมั่ว “…”
เธอเงยหน้าขึ้นมองไปทางเขา หน้าบุดหน้าเบี้ยวในทันที
ลู่จิ้นยวนพูดต่อ “ถ้าหากเป็นเพราะแบบนีี้ เธอไม่ระวังพลั้งมือผลักเธอ งั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ภายใต้ความอารมณ์ร้อนถือว่าเป็นพฤติกรรมปกติ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่เธอดวงซวยไปหน่อย”
กงมั่ว “…”
เธอหน้าเขียวหน้าดำ มองดูเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เห็นได้ชัดว่าตกใจกับสิ่งที่ตนเองได้ยิน
ทำไมเรื่องถึงกลายเป็นแบบนี้ ถ้าเวินหนิงผลักเธอ ลู่จิ้นยวนรู้สึกว่าเธอไม่ได้ผิด แต่ความผิดกลับเป็นเพราะตัวเอง?
เป็นถึงประธานบริษัทตระกูลลู่ ความคิดแบบนี้มันดีแล้วจริง ๆ เหรอ ความโมโหในใจของกงมั่วพุ่งไปโดยรอบ เธอระบายออกมาไม่ได้ อึดอัดเป็นอย่างมาก
ลู่จิ้นยวนยิ้มเยือกเย็นมองไปที่เธอ แล้วก็หมุนตัวเดินออกไป
ในเมื่อผู้หญิงชอบแสดงให้เขาดูขนาดนี้ งั้นก็ให้เธอได้เห็น ว่าความคิดจริง ๆ ของตัวเองเป็นยังไง ดูสิว่าเธอจะแสดงต่อไปยังไง
ในงานเลี้ยงเกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ ลู่อันหรานก็มารู้ในภายหลัง ในตอนที่เขาได้ยินคนมากมายขนาดนั้นกำลังพูดถึงคุณแม่ของตัวเองเสีย ๆ
ความโมโหนี้แน่นอนว่าต้องคิดบัญชีที่หัวของกงมั่ว
ในสายตาของเขา กงมั่วถึงจะเป็นผู้หญิงคนนั้นที่น้ำเสียเต็มท้อง ครั้งนี้ต้องเป็นเธอที่ใส่ร้ายคุณแม่ของตัวเองแน่ ๆ
ตั้งแต่เล็กจนโตลู่อันหรานใช้ชีวิตแบบไข่ในหิน ไม่เคยได้รับความปวดร้าวใด ๆ ความโมโหในใจแต่ไหนแต่ไรไม่เคยอดกลั้นไว้ มีแต่คิดจะหาวิธีแก้แค้น
วันนี้เขาอยากให้เย่หวานจิ้งพาเขาไปที่สวนสนุกอย่างไม่เคยมีมาก่อน คุณผู้หญิงอย่างเย่หวานจิ้ง จะไปที่แออัดคนพลุกพล่านอย่างสวนสนุกนี่ได้ยังไง
แต่หลานชายสุดที่รักอ้อน เธอใจอ่อน ไม่อยากจะปฏิเสธ “อันหราน หนูว่าแบบนี้ดีไหม ให้คุณน้ากงไปเที่ยวเป็นเพื่อนหนู”
เย่หวานจิ้งยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเป็นความคิดที่ดี เพราะว่าเรื่องครั้งที่แล้ว ในใจของหลานชายจะต้องมีปมปัญหาแน่นอน ใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ให้ผู้ใหญ่กับเด็กทำความเข้าใจกันและกัน
ถ้าหากหลานชายไปเที่ยวอย่างดีใจ ชอบกงมั่วขึ้นมา งั้นก็เป็นเรื่องที่ดีมากจริง ๆ
กงมั่วที่อยู่ด้านข้างตกตะลึง ตอบสนองในทันทีแล้วยิ้มขึ้น “ไม่มีปัญหาค่ะ อันหราน น้าพาหนูไปสวนสนุกดีไหมจ้ะ?”
ลู่อันหรานบรรลุเป้าหมายของตัวเอง เบ้ปากด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เชอะ น้าเคยไปสวนสนุกเหรอ น้าเล่นเป็นเหรอ?”
“อันหรานต้องเล่นเป็นแน่เลยใช่ไหมจ๊ะ ถึงเวลานั้น อันหรานสอนน้าได้หนิ น้าจะเรียนอย่างตั้งใจ”
กงมั่วพูดอย่างอ่อนโยน ท่าทางอ่อนน้อมเป็นอย่างมาก
เย่หวานจิ้งมองดูอย่างพอใจอยู่ที่ด้านข้าง
“ก็ได้ น้าพูดเองนะครับ ว่าจะไปเที่ยวเป็นเพื่อนผม จะกลับคำไม่ได้ ไม่อย่างงั้นผมเล่นคนเดียวเบื่อแย่”
กงมั่วไม่ได้ใส่ใจอะไร แล้วตอบรับ
ในความเข้าใจของเธอ เด็กเล็กขนาดนี้ไปสวนสนุกจะเล่นอะไรได้ ก็คงจะเป็นพวกม้าหมุน เตียงกระโดดอะไรจำพวกนั้น
ก็ได้ พูดได้เพียงความทรงจำของกงโมที่มีต่อสวนสนุกในประเทศ ยังคงหยุดอยู่เมื่อสิบปีที่แล้ว ทำให้การร่วมเดินทางของเธอวันนี้จะต้องน่าอนาถอย่างแน่
สวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดของเมืองตี้ตู เพราะว่าวันนี้ไม่ใช่วันหยุด ดังนั้นคนที่มาเที่ยว ไม่ได้เยอะเหมือนปกติ แต่ก็ไม่น้อย
บอดี้การ์ดห้าคนของลู่อันหราน มีเพียงลู่อีและลู่เอ๋อเท่านั้นที่ติดตามอยู่ด้านข้าง ที่เหลืออีกสามคนแอบอยู่ในมุมอับ เมื่อเข้าไปในสวนสนุก หนุ่มน้อยพุ่งตรงไปทางรถบัมพ์อย่างคุ้นเคย
กงมั่วฟังเสียงกรีดร้องของเด็กที่อยู่ด้านใน พร้อมกับเสียงของรถที่ชนกัน อึดอัดใจอย่างมาก เธอรู้สึกว่าตนเองไม่เข้ากับที่นี่
ที่ที่คนแออัดพลุกพล่านแบบนี้ เธออยู่ห่าง ๆ มาโดยตลอด วันนี้กลับต้องมาอยู่ที่นี่
“พวกเราไปเล่นอันนั้นกัน”
ลู่อันหรานชี้เข้าไปข้างในด้วยสายตาที่สุดใส
ลู่เอ๋อไม่ได้พูดอะไร แล้วตรงเข้าไปซื้อตั๋ว
กงมั่วไม่อยากจะเข้าไปข้างในจริง ๆ จึงฝืนยิ้มพูดกับเขา “อันหราน เครื่องเล่นนี้แค่ดูก็รู้ว่าค่อนข้างอันตราย พวกเราเปลี่ยนไปเล่นอย่างอื่นเถอะ น้าว่าอันนั้นไม่เลวนะ”
ลู่อันหรานมองตามนิ้วมือของเธอไป คาดไม่ถึงว่าจะเป็นม้าหมุน เด็กน้อยหน้ามุ่ย มองเธอด้วยความดูถูก
“คิดไม่ถึงว่าคุณน้ากงจะชอบเครื่องเล่นที่ไร้เดียวสาขนาดนี้ ผมไม่ชอบ”
เขาพูดจบ ก็วิ่งเข้าไปในพื้นที่ของรถบัมพ์ กงมั่วหมดหนทาง สีหน้าเคร่งขรึมเดินตามเข้าไป
เธอนั่งลงบนรถที่คับแคบ เธอไม่รู้ว่าควรจะวางมือไว้ตรงไหน รู้สึกว่าในรถนี้ตรงไหนก็สกปรกไปหมด
ในตอนที่กำลังเตรียมตัวจะหยิบกระดาษทิชชู่เปียกออกมาเช็ด จู่ ๆ รถก็พุ่งไปด้านหน้า เธอร้องออกมาโดยไมทันได้ตั้งตัว แผ่นหลังกระแทกเข้าอย่างแรง
ลู่อันหรานมองดู ในใจพึมพำ สองมือจับพวงมาลัยไว้แน่น พุ่งชนรถคันอื่นโดยตรง ชนเข้าหนักมากทุกครั้ง
กงมั่วทรมานแสนข็ญ ฟังเธอกรีดร้องและร้องเจ็บอยู่ตลอดเวลา
“อันหราน หยุดเดี๋ยวนี้รีบหยุดเดี๋ยวนี้ น้าจะลงไป”
หนุ่มน้อยเพิกเฉย แต่กลับชนอย่างแรงกว่าเดิม เสียดายที่เครื่องเล่นนี้มีเวลาจำกัด แค่เพียงกี่นาทีเท่านั้น ลู่อันหรานกระโดดลงจากรถอย่างไม่ได้ดั่งใจ
กงมั่วหน้าเสียเป็นอย่างมาก แทบจะค้ำรถเดินลงมา โดยไม่ห่วงความสกปรกแล้ว
ลู่อันหรานมองเธอแล้วเบ้ปาก “คุณน้ากง รถเล็กขนาดนี้คุณน้ายังตกใจขนาดนี้ อ่อนแอเกินไปจริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณน้าร้องมั่ว ๆ ก่อกวนฝีมือของผม ผมจะต้องขับได้ดีกว่านี้แน่”