ลู่จิ้นยวนมองดูภาพอันอบอุ่นของสองแม่ลูก ความกังวลที่อยู่ภายในจิตใจก็เบาลงไปไม่น้อยเลยทีเดียว
หลังจากนั้น ก็สืบหาข้อมูลให้มากขึ้นต่อไป
ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงถัดมา ในที่สุดลูกน้องของเขาก็โทรศัพท์เข้ามาหา บอกว่าได้ยืนยันกับคนที่น่าเชื่อถือแล้วว่าเอกสารชุดนั้นเป็นความจริง
ก็สามารถอธิบายได้ว่า กรุ๊ปเลือดของหยงซือเหม่ยนั้นไม่เข้ากันกับของไป๋หลินยวี่กับเวินฉีโม่………
ตามหามานาน กลับได้ผลลัพท์เช่นนี้เสียได้ แม้แต่ลู่จิ้นยวนเองก็รู้สึกยากที่จะเชื่อ
เวินหนิงอยู่ในห้อง เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ของลู่จิ้นยวนดังขึ้น จึงตัดสินใจเดินออกมา และทันทีที่เห็นสีหน้าของเขาก็ทราบได้โดยทันที
ลู่อันหรานเห็นปฏิกิริยาของเธอก็อดที่จะบีบมือของเธอแน่นไม่ได้
เวินหนิงฝืนยิ้มออกมา “ไม่มีอะไรหรอก อาจจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาก็ได้ ถ้าหากว่าไม่ได้จริงๆ พวกเราก็ไปหาผู้บริจาคไขกระดูกรายอื่นต่อกันเถอะ”
“ฉันเข้าใจ ฉันให้คนตามหาอย่างเต็มกำลังแล้ว สำหรับเรื่องของตระกูลหยงนั้น รอให้หลังจากผ่าตัดเสร็จค่อยดูอีกที”
เวินหนิงพยักหน้า เธอในตอนนี้เองก็รู้สึกเหนื่อยล้าเต็มทีแล้วเหมือนกัน ไม่มีใจจะไปคิดเรื่องของตระกูลหยงอีกต่อไปแล้ว
“ฉันรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย ขอตัวไปพักก่อนสักหน่อยนะ”
เวินหนิงกลับเข้าห้องไป เธอไม่อยากจะแสดงอารมณ์ด้านลบต่อหน้าลู่อันหราน คิดแต่อยากที่จะอยู่สงบสติอารมณ์เพียงคนเดียวเท่านั้น
ตอนแรกลู่จิ้นยวนก็คิดที่อยู่ดูแลเธอต่อ แต่ว่าพอผ่านไปสักพักก็ได้รับโทรศัพท์จากบริษัท
บอกว่ามีเรื่องเล็กน้อยต้องการให้เขาเข้าไปจัดการ
“คุณพ่อ ไปทำธุระของพ่อให้เรียบดีกว่า ผมจะอยู่ดูแลแม่เอง”
ลู่อันหรานพูดออกมาเพราะเข้าใจสถานการณ์ดี
ลู่จิ้นยวนลูบหัวของเจ้าตัวน้อย “งั้นฝากด้วยนะ ถ้ามีเรื่องอะไร ก็ให้โทรหาพ่อด้วยล่ะ”
ลู่อันหรานพยักหน้าแล้วจึงเดินเข้าห้องไป
เวินหนิงในขณะนี้ได้สงบสติอารมณ์ลงไปไม่น้อยเลยทีเดียว พยายามไม่ให้ตนเองคิดฟุ้งซ่านอะไรมากนัก
“อันหรานไม่ต้องเป็นห่วงแม่หรอก แม่ไม่เป็นอะไร”
“อื้ม ผมรู้ครับ”
ลู่อันหรานเองก็ไม่ได้รบกวนทำตัวดื้ออะไร อยู่ดูแลเวินหนิงไปอย่างเงียบๆ
แม่ลูกสองคนนอนอยู่บนเตียง ผ่านไปสักพักลู่อันหรานก็ผล็อยหลับไป
เวินหนิงมองดูใบหน้าที่ไร้เดียงสานั้น แล้วหยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเขา
ผ่านพ้นเรื่องพวกนี้ไป สิ่งที่เธอควรคำนึงมากที่สุดในตอนนี้ก็คือ จะต้องปกป้องอันหรานของเธอให้ดีที่สุด ไม่มีทาง ไม่มีทางที่จะให้ลูกของตนต้องพบเจอกับชะตากรรมเช่นเดียวกับเธอโดยเด็ดขาด
และตอนที่เวินหนิงมองดูลู่อันหรานที่กำลังหลับฝันนั้น โทรศัพท์ของเธอก็ส่งเสียงแผดร้องออกมา
เวินหนิงกลัวว่าเสียงจะไปปลุกให้ลู่อันหรานตื่นจึงรีบเดินออกไป จากนั้นทันทีที่เหลือบไปมองหน้าจอ ดวงตาก็เบิกโพลงอย่างแทบไม่เชื่อในสายตา
โทรศัพท์สายนี้ เป็นเหอจื่ออันที่โทรมา
เขาติดต่อมาหาเธอแล้ว
เวินหนิงเองก็ไม่ได้พบหน้าเหอจื่ออันมานานมากแล้ว ดังนั้นจึงรีบกดรับสายในทันที
“ฮัลโหล? จื่ออันเหรอ”
“ใช่ ฉันเอง”
เหอจื่ออันแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองที่ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยจากปลายสาย เขาคิดว่าตัวเองจะลืมไปแล้วว่าเสียงของเวินหนิงเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้เมื่อได้ฟังแล้วเขาก็รู้ตัวว่า ตัวเขาไม่เคยลืมเลือนอะไรไปเลย แต่ก็เก็บมันไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ
เพียงแต่ แม้ว่าหัวใจจะตื่นเต้นถึงเพียงไหน เหอจื่ออันก็แสดงท่าทีสงบนิ่งเป็นอย่างมากออกมาแทน
เขาไม่อยากที่จะแสดงออกมาว่าตนสูญเสียความควบคุมไปมากแค่ไหน
“ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน
หลายปีมานี้ นายเป็นอย่างไรบ้าง”
เวินหนิงเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไรดี ในเมื่อคราวที่แล้วที่เจอเหอจื่ออัน เป็นเรื่องราวของเมื่อห้าปีก่อน เธอไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์ของเขาในตอนนี้
“ตอนนี้ฉันอยู่ที่เจียงเฉิง พึ่งจะกลับมาเอง
หนิงหนิง เธอจะ ออกมาเจอหน้ากันหน่อยได้ไหม”
เหอจื่ออันกล่าวประโยคนี้จบก็หัวใจเต้นแรงขึ้นมาในทันที
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่ใช่คนขี้ขลาดเช่นนี้ แต่ว่า ตอนนี้เขากลับรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
กลัวว่าเวินหนิงจะเอ่ยปฏิเสธเขา กลัวว่าเธอจะไม่อยากเจอหน้าเขา
“ได้อยู่แล้วสิ”
เวินหนิงเองก็คิดถึงเหอจื่ออันเช่นกัน ในเมื่อตอนแรกเกิดเรื่องกับเธอมากมายเสียขนาดนั้น ก็เป็นผู้ชายคนนี้ที่คอยช่วยเหลือ ช่วยเธอให้ก้าวพ้นความยากลำบาก ตอนนี้อยากจะเจอหน้ากัน แล้วทำไมถึงจะไม่ตอบตกลงล่ะ?
“ส่งที่อยู่บ้านของเธอมาสิ เดี๋ยวฉันออกไปหาเลย”
ทันใดนั้นเหอจื่ออันก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา มุ่งหน้าออกไปรับเวินหนิงในที่ที่เธออยู่ในตอนนี้เลยทันที
เวินหนิงคุยโทรศัพท์เสร็จ ก็มองลู่อันหรานที่กำลังนอนหลับฝันหวาน ในใจก็คำนวณว่าอีกเดี๋ยวเดียวเธอก็กลับมาแล้ว และอีกทั้งไม่อยากจะรบกวนปลุกเจ้าตัวน้อย จึงเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับออกไปข้างนอก และรอการติดต่อของเหอจื่ออัน
ผ่านไปไม่นานนัก เหอจื่ออันก็โทรศัพท์มาหาอีกที บอกว่ารออยู่ที่ชั้นล่างแล้ว
เวินหนิงจึงลงไปข้างล่าง หลังจากนั้นก็เห็นเหอจื่ออันที่ยืนอยู่หน้ารถสปอร์ต
เสื้อเชิ้ตของฝ่ายชายปลดกระดุมออกไม่กี่เม็ดอย่างเปิดเผย เผยให้เห็นกล้ามเนื้อเล็กน้อย การแต่งกายของเขาดูสบายๆ เป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่ไม่เป็นทางการเลย กลับให้อารมณ์ที่ดูโดดเด่นอย่างมีเสน่ห์
เวินหนิงจู่ๆ ก็รู้สึกดวงตาร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย ราวกับเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา ได้แล่นผ่านขึ้นมาตรงหน้าทีละฉากๆ
“จื่ออัน”
เวินหนิงเปิดปากเอ่ยออกไปแล้วเดินเข้าไปหา
และก็เพราะไม่รู้ว่าจะพูดเอ่ยเปิดการสนทนาว่าอย่างไรดี จึงเอ่ยเรียกชื่อเขาไปอย่างเรียบง่าย
เหอจื่ออันจึงเงยหน้าขึ้นมามองผู้หญิงตรงหน้า
ยังคงเป็นดวงตาคู่เดิมที่ดูสะอาดสดใส เพียงแต่ว่ามีความมุ่งมั่นและเข้มแข็งปรากฏขึ้นมาด้วย ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่จะมีความสับสนหมองหม่น จนทำให้คนรู้สึกสงสารจนอดที่จะเข้าไปปกป้องไม่ได้
“เธอ………ดูเปลี่ยนไปนะ”
เหอจื่ออันมองดูใบหน้าของเวินหนิงที่แทบจะเปลี่ยนไปทั้งหมด ในแววตาก็ปรากฏความเจ็บปวดใจขึ้นมา
ส่วนสาเหตุนั้น เดนนิสได้เล่าให้เขาฟังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ว่าเขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าใบหน้าของเวินหนิงจะเปลี่ยนแปลงไปมากถึงเพียงนี้
ไม่ยากที่จะจินตนาการเลยว่า ตอนที่เริ่มทำศัลยกรรมผ่าตัดนั้น เธอได้ประสบกับความโหดร้ายมากขนาดไหน
“ใช่แล้ว แต่ว่า มันก็เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วน่ะ”
เวินหนิงในตอนนี้ ไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นเคืองอะไรเพราะด้วยสาเหตุนั้นอีกต่อไปตั้งนานแล้ว เธอรู้ดีว่าเหอจื่ออันเพียงแค่เป็นห่วงเธอ
“วางใจเถอะ มันไม่เจ็บมาตั้งนานแล้ว ช่วงเวลาที่ยากลำบากมากที่สุด มันได้ผ่านพ้นไปแล้ว”
“ขอโทษนะ”
เหอจื่ออันได้ยินที่เธอพูดแล้วก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาโดยพลัน
ในปีนั้น เขาและลู่จิ้นยวนส่งทีมออกค้นหาเป็นเวลานานแสนนาน แต่ก็หาไม่พบเลย
เขาก็ได้แบกเอาความโกรธแค้นที่มีต่อลู่จิ้นยวนแล้วจากเมืองเจียงเฉิงไป ได้จากไปทั้งอย่างนั้นเป็นเวลาห้าปีแล้ว
เขาไม่มีทางให้อภัยตระกูลลู่ได้ และยิ่งไม่มีทางให้อภัยตนเองได้เลย
ทุกวัน ล้วนแล้วแต่กล่าวโทษตนเอง ทำไมถึงได้ยอมให้เวินหนิงไปเสี่ยงอันตรายขนาดนั้นได้ ทำลายอนาคตของเธอไปจนหมดสิ้น
“นายพูดอะไรอยู่เนี่ย……..จื่ออัน นายไม่ได้ผิดอะไรเลยนะ ฉันขอบคุณนายมากกว่า”
เวินหนิงเห็นสีหน้ารู้สึกผิดของเหอจื่ออัน ภายในใจก็รู้สึกไม่ดี
เหอจื่ออันทำดีกับเธอถึงขนาดนี้ กลับต้องมารู้สึกทรมานเพียงเพราะอุบัติเหตครั้งเดียวที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย นี่ทำให้เธอรู้สึกผิดกับเขามายิ่งขึ้นไปอีก
“ฉัน………”
เมื่อได้ยินเวินหนิงพูดดังว่า เหอจื่ออันก็เงยหน้าขึ้น มองดูแววตาที่ห่วงใยของเธอ ภายในใจก็กลับรู้สึกสับสนขึ้นมา
เวินหนิงยังไม่รู้ ถึงเรื่องราวที่เขาได้เคยทำลงไป……..
ถ้าหากว่าเธอรู้เข้า จะยังพูดอย่างนี้หรือเปล่านะ
ท้ายที่สุดแล้วเวินหนิงก็ไม่รู้ว่าเหอจื่ออันคิดอะไรอยู่ นึกว่าเขายังคงคิดถึงเหตุการณ์รถชนเมื่อห้าปีก่อนนั้น “นายพึ่งกลับมา ยังไม่มีคนเลี้ยงต้อนรับให้สินะ ฉันเลี้ยงข้าวนายเอง”