ในเมื่อเวินหนิงอยู่เมืองเจียงเฉิงมานานมากแล้ว รู้ว่าเหอจื่ออันพึ่งจะกลับมาถึง ดังนั้นจึงคิดที่อยากจะคุยกับเขาเยอะๆ อีกทั้งเพื่อเป็นการต้อนรับการกลับมาของเพื่อนคนนี้ด้วย
เป็นธรรมดาที่เหอจื่ออันจะไม่ปฏิเสธ
เวินหนิงขึ้นรถไป เหอจื่ออันมองเธอหนึ่งที แววตาปรากฏความอ่อนโยนขึ้นมา “เธออยากจะไปที่ไหน”
เวินหนิงครุ่นคิดเล็กน้อย ตอนนี้ เธอไม่ใช่คนที่ไม่มีอะไรเลยเหมือนเมื่อก่อนในอดีต เป็นเวินหนิงที่ยาจกไส้แห้งคนนั้นอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นจึงคิดที่จะไปเลี้ยงอาหารเหอจื่ออันที่ร้านอาหารที่ดูดีหน่อย
“ไปร้านอาหารมิชลินในตัวเมืองกันเถอะ”
เวินหนิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา คิดจะเปิดแผนที่นำทาง แต่เมื่อมองดูก็พบว่าโทรศัพท์แบตหมดไปแล้ว
ครุ่นคิดไปสักพัก กินข้าวก็ใช้เวลาไม่นาน กินเสร็จก็จะรีบสั่งอาหารเอาของที่ลู่อันหรานชอบกลับไปฝาก น่าจะยังไปทันอยู่
“ฉันจำทางไม่ได้ เธอบอกทางฉันเอาแล้วกันนะ”
เหอจื่ออันฟังเวินหนิงอย่างว่าง่ายทุกอย่าง สำหรับเขาแล้ว การกินข้าวนั้นถือได้ว่าเป็นเรื่องรอง แต่ช่วงเวลาที่จะได้ใช้ร่วมกับเวินหนิงนั้น ถึงเป็นเรื่องหลัก
ดังนั้น แม้ว่าเขาจะรู้จักเส้นทาง แต่ก็กลับจะยังให้เวินหนิงเป็นคนบอกทางให้อยู่ดี
เพราะว่า การทำแบบนี้ถึงจะทำให้เธอพูดคุยกับเขาได้มากขึ้น
เวินหนิงกลับไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ ในเมื่อเวลาก็ผ่านไปหลายปีเสียขนาดนั้น สำหรับเมืองเจียงเฉิงแล้ว เหอจื่ออันอาจจะรู้สึกแปลกหน้าไม่รู้จักไปเลยก็ได้
ทั้งสองคนก็อยู่บนรถ มีช่วงเวลาที่พูดคุยกันและเงียบเชียบ เป็นอย่างนี้ไปตลอดทางแต่กลับไม่มีใครรู้สึกอึดอัดใจ
…….
“ติ๊งต่อง ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงครึ่ง คุณมีการแจ้งเตือนหนึ่งข้อความ ข้อความคือได้เวลาไปทำงานแล้ว”
ลู่อันหรานที่ยังคงนอนหลับอยู่ถูกปลุกขึ้นด้วยเสียงนาฬิกาปลุกของเวินหนิง จากนั้นจึงยันกายขึ้น
เมื่อตื่นขึ้นมา ก็พบว่าเวินหนิงไม่อยู่แล้ว
เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตระหนกขึ้นมา ถึงขนาดที่ว่ากระโดดลงมาจากเตียงแล้วไม่สนใจที่จะสวมรองเท้า “แม่ครับ?
คุณแม่?”
ในห้องเงียบเชียบ ไม่มีใครเอ่ยตอบ
เขาตามหาทั่วทุกซอกทุกมุมภายในห้องแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่พบอะไรเลย แม่ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว
ฉับพลันนั้นลู่อันหรานก็รู้สึกโมโหจนกระทืบเท้า เขาไม่ควรที่นอนหลับเลย ตอนนี้แม่ไม่อยู่แล้ว แล้วนี่จะเป็นเรื่องดีได้อย่างไรกันล่ะ
ครุ่นคิดสักพัก ก็โทรศัพท์ออกไปหาลู่จิ้นยวนในทันที
“มีอะไร อันหราน?”
“ขอโทษครับพ่อ ผมนอนหลับไป หลังจากนั้น……..หลังจากนั้น……”
ลู่อันหรานยิ่งพูดต่อก็ยิ่งรู้สึกแย่ รู้สึกอัดอั้นจนแทบที่จะร้องไห้ออกมา
“อันหราน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ลู่จิ้นยวนได้ยินเสียงของลู่อันหราน ก็มีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา
“ตอนนี้คุณแม่ ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ผมหาจนทั่วแล้ว แม่ไม่ได้อยู่ที่บ้าน”
ทันทีที่ลู่จิ้นยวนได้ยินดังว่า ในใจก็ส่งเสียงร้องเตือนอย่างไม่สู้ดี
ในเมื่อ เวินหนิงพึ่งจะพบเรื่องที่น่าอึดอัดหัวใจเสียหลายเรื่อง เขากังวลว่าเธอจะเผลอไปทำเรื่องไม่เป็นเรื่องเข้า
แต่ว่า ไม่ใช่ความผิดลูก ลูกเองก็ไม่ได้ตั้งใจ พ่อจะเรียกให้คนออกไปตามหาในทันที ลูกรอพ่ออยู่ที่บ้านนะ ไม่ต้องร้องแล้ว”
“ผมยังไม่ได้ร้องสักหน่อย”
ลู่อันหรานเถียงกลับ เพียงแค่ รู้สึกขอบตาร้อนกับจมูกแสบนิดหน่อยเท่านั้นเอง
เมื่อสักครู่พอรู้ว่าแม่ไม่อยู่แล้ว เขาอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ
ในเมื่อ ตั้งแต่เล็กเขาก็ไม่มีแม่คอยอยู่เลี้ยงดู ความจริงแล้วเป็นการขาดความมั่นใจของเด็ก ตอนนี้จึงมีความรู้สึกถูกทอดทิ้งอย่างไม่ทราบสาเหตุขึ้นมา
“ผู้ชายตระกูลลู่ แน่นอนว่าจะหลั่งน้ำตาไปทั่วแบบนนี้ไม่ได้
………
เวินหนิงกับเหอจื่ออันถึงร้านอาหารในเวลาต่อมาไม่นานนัก
“นายอยากจะกินอะไรล่ะ”
เพราะว่าเวินหนิงต้องการที่จะเลี้ยงต้อนรับเหอจื่ออัน จึงเป็นธรรมดาที่จะเอาตามรสชาติที่ถูกปากของเขา
“ฉันอะไรก็ได้”
เหอจื่ออันไม่ใช่คนเรื่องมาก เรื่องกินสำหรับเขาแล้วไม่ได้มีอะไรที่ชอบเป็นพิเศษ
“งั้นฉันสั่งอาหารขึ้นชื่อมาก่อนไม่กี่อย่างนะ”
เวินหนิงพยักหน้า สั่งอาหารขึ้นชื่อมาไม่กี่ชนิด พนักงานบริการจากไปทิ้งให้ทั้งสองคนอยู่ในห้องด้วยกัน
“ฉันอยากรู้ว่าห้าปีนี้ เธอเป็นอย่างไรบ้าง”
เหอจื่ออันไม่อยากที่จะทิ้งโอกาสที่จะได้รู้จักเวินหนิงมากขึ้น อีกทั้งเขาเองก็สงสัยเหมือนกันว่า ที่ผ่านมาเวินหนิงได้เจอกับอะไรมาบ้าง
สูญเสียความทรวงจำมาห้าปี เธอใช้ชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง
เพียงแค่ว่าได้ลบตัวตนของโม่เทียนยวี๋ทิ้งไปแล้ว ผู้ชายคนนั้น เธอไม่คิดที่อยากจะนึกถึงขึ้นมาอีกแล้ว ทุกครั้งที่นึกถึงก็จะรู้สึกแย่ขึ้นมาทุกที
“งั้นเธอ ได้ความทรงจำกลับมาได้อย่างไรกัน”
ได้ยินช่วงเวลาที่เวินหนิงสูญเสียความทรงจำ ก็ไม่ได้เจอความยากลำบากอะไรมากนัก ใช้ชีวิตมาได้อย่างราบลื่นเลยทีเดียว ภายในใจของเหอจื่นอันก็สบายใจลงไปไม่น้อย
“ฉัน……….เจอกับอันหราน”
รู้ดีว่าเหอจื่นอันไม่ชอบลู่จิ้นยวน เวินหนิงจึงหลีกเลี่ยงเรื่องราวของเขา
แต่เหอจื่ออันกลับรู้เป็นอย่างดีว่า ลู่อันหรานเป็นหลานชายหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลลู่ ลู่จิ้นยวนเองก็รักเอ็นดูอยู่ไม่น้อย
เวินหนิงได้ติดต่อกับลู่อันหราน แล้วจะไปหลบสายตาของลู่จิ้นยวนคนนี้ได้อย่างไรกัน……..
เพราะฉะนั้นแล้ว พวกเขา กลับมาคืนดีกันแล้วเหรอ
เมื่อคิดดังว่า พวกเขาพ่อแม่ลูกก็ราวกับกระจกที่แตกละเอียดนำมาต่อประสานกลับขึ้นใหม่อีกครั้ง ภายในใจของเหอจื่ออันก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างรุนแรง
“งั้นเธอกับลู่จิ้นยวน ตอนนี้ก็………”
ท้ายที่สุดแล้ว เหอจื่ออันก็เอ่ยปากถามออกไป
“ฉัน………….”
เวินหนิงหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ ไม่รู้ว่าจะตอบออกไปว่าอย่างไรดี
แม้ว่า จะยังไม่ได้กลับมาคืนดีอย่างสมบูรณ์กับลู่จิ้นยวน แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ก็กลับสนิทสนมชิดใกล้
ราวกับว่าเธอมีเชือกแห่งความสัมพันธ์นับพันเส้นที่ยึดโยงเกี่ยวเธอกับเขาเอาไว้อย่างไม่รู้ตัว
อารมร์ของเหอจื่ออันก็พลุ่งพล่านขึ้นมาในทันที
“หรือว่า เรื่องที่เขาเคยทำร้ายเธอในอดีตตั้งหลายครั้งนั้น เธอจะลืมมันไปหมดแล้วเหรอ
แล้วยังมีครอบครัวของเขาอีก แม่ของเขา ทำเรื่องที่เกินกว่าเหตุกับเธอไปเสียขนาดนั้น เธอให้อภัยแล้วอย่างงั้นเหรอ”
เวินหนิงทันทีที่คิดถึงเรื่องต่างๆ นานาในอดีต ใบหน้าก็พลันซีดเผือด
ความทรงจำเหล่านั้น แม้ว่าในตอนนี้เธอจะรู้จนกระจ่างไปหลายเรื่องแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกขมขื่นอยู่
ความรู้สึกที่สิ้นหวังและทรมานนั้น เธอไม่คิดที่อยากจะย้อนมองกลับไปอีกเป็นครั้งที่สอง
“ฉันไม่ได้……เรื่องพวกนั้น ทั้งชีวิตนี้ฉันก็ไม่มีวันลืมมันหรอก……”
เวินหนิงกำถ้วยชาในมือตัวเองแน่น พูดออกมาทีละคำอย่างชัดเจน
เหอจื่ออันเห็นดังว่าก็รู้ได้ว่าตนเองนั้นพูดรุนแรงเกินไป ทำให้ความทรงจำอันเลวร้ายของเธอนั้นย้อนคืนกลับมา จึงได้ถอนหายใจออกมา “ขอโทษด้วย ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะให้เธอไปนึกถึงเรื่องที่ยากลำบากเหล่านั้นเลย ฉันก็เพียงแค่…….”
ก็เพียงแค่ทำใจที่จะมองดูเวินหนิงกลับไปอยู่กับลู่จิ้นยวนอีกครั้งไม่ได้ ทำใจที่ว่าตัวเองจะเป็นได้เพียงคนอื่นที่คอยยืนมองดูเธอแบบนี้ไปตลอดกาลไม่ได้ และไม่มีทางที่จะได้ครอบครอง
“ไม่ ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ เธอหวังดีกับฉัน”
เวินหนิงไม่ได้กล่าวโทษเหอจื่ออันอะไร
แล้วเขาจะบอกขอโทษว่าตัวเองผิดเรื่องอะไรกันล่ะ
ก็เหมือนกับไป๋หลินยวี่ พวกเขาคือคนที่ห่วงใยตัวเธอเองมากที่สุดบนโลกใบนี้ ตั้งแต่ในอดีตแล้วที่มักจะไม่อยากให้เธอทำผิดพลาดซ้ำสอง
“หนิงหนิง ไม่รู้ว่าเธอจะยังจำได้หรือเปล่าว่า ตอนแรก เธอบอกกับฉันว่าอยากจะไปประเทศF กับฉัน”
เหอจื่ออันเคลื่อนแก้วกาแฟในมือตนเป็นวงกลม ในน้ำเสียงเจือมาด้วยความเศร้าสร้อยเล็กน้อย
ในปีนั้น เขาเตรียมตัวพร้อมหมดทุกอย่างแล้ว คิดที่จะเริ่มต้นใหม่กับเวินหนิงที่ต่างประเทศ
แต่กลับถูกเหตุการณ์รถชนครั้งนั้นทำให้ทุกอย่างปั่นป่วนไปหมด
“ฉันรู้ว่า ตอนนี้เธอเป็นดีไซน์เนอร์ ถ้าอย่างนั้น การไปประเทศF เองก็เป็นการตัดสินใจที่ไม่เลวนัก ที่นั่นเป็นศูนย์กลางแห่งแฟชั่น แหล่งรวบรวมเหล่าดีไซน์เนอร์ยอดฝีมือ เธอจะยอมไปกับฉันไหม”