เวินหนิงได้ยินประโยคนี้ ก็ทำหน้ากระอักกระอ่วน เธอเหมือนลืมเรื่องนี้ไปจริงๆ ……
“คุณอยากกินอะไร? ฉันจะไปซื้อกลับมาให้คุณ”
เวินหนิงรีบเอ่ยปาก คิดหาวิธีแก้ไข
“ฉันเหนื่อยไปหน่อย หนิงหนิงลูกออกไปเลี้ยงข้าวจื่ออันสิ ฉันจะพักผ่อนสักหน่อย อย่ามารบกวนฉันเลย”
ไป๋หลินยวี่เห็นว่าเป็นแบบนี้ ก็ไม่ปล่อยโอกาสให้เวินหนิงออกไปคนเดียว ไม่กี่ประโยคนี้ก็คือให้ทั้งสองทานอาหารด้วยกัน
เหอจื่ออันไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน ทำตามคำพูดของไป๋หลินยวี่ “ในเมื่อคุณเหนื่อย งั้นผมก็ไม่รบกวนแล้วครับ”
พูดจบ ก็หันตัวคิดจะออกไป
เห็นสถานการณ์แบบนี้ เวินหนิงก็รู้สึกผิดอยู่แล้วที่ให้เหอจื่ออันมาเยี่ยมคุณแม่แต่เช้าตรู่ และให้ออกไปแบบท้องหิวๆ คิดสักพักก็พูดขึ้น “ไปกินข้าวที่ร้านอาหารโรงพยาบาลได้ไหมคะ? ถ้าออกไปอาจจะไม่สะดวก”
เหอจื่ออันไม่จู้จี้จุกจิกกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว “ผมไม่เลือกกิน ตามใจคุณเลย”
เมื่อชายหนุ่มพูดประโยคนี้ สายตาก็จ้องมองเวินหนิงอย่างจริงจังมาก ดูเหมือนไม่ใช่แค่เรื่องการทานอาหารเช้าเท่านั้น ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย
เวินหนิงรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ ก็รีบจบหัวข้อ “อืม งั้นไปกันเถอะ เราต้องรีบหน่อย ไม่งั้นเดี๋ยวไม่มีอะไรกิน”
เหอจื่ออันเห็นเธอยังมีท่าทางเหมือนเคย หลีกหนีคำพูดตัวเอง ก็ไม่มีทางเลือกอื่นอะไร เขาไม่กล้าพูดโจ่งแจ้งเกินไป กลัวทำให้เธอเกลียด ทำได้แค่พยักหน้าเห็นด้วย
ทั้งสองไปที่ร้านอาหารโรงพยาบาล ขณะที่กำลังสั่งอาหาร ลู่อันหรานก็โทรมา
“แม่ แม่กำลังทำอะไรอยู่ฮะ? ”
ลู่อันหรานไม่ต้องไปโรงเรียน ตอนนี้มีความสุขมาก ต้องรีบทาภารกิจที่ลู่จิ้นยวนมอบหมายให้สำเร็จ อย่างไรแล้วการออกไปทำสิ่งต่างๆ มันสนุกกว่าอยู่ในห้องเรียนเยอะเลย
“แม่อยู่โรงพยาบาล เมื่อกี้เพิ่งเยี่ยมคุณยายหนูเสร็จ จริงสิ วันนี้ไม่ใช่วันหยุด หนูโทรหาแม่ตอนนี้ได้ยังไง? ”
เมื่อครู่นี้เวินหนิงได้ยินเสียงลู่อันหราน ก็ดีใจมาก แต่เมื่อดูนาฬิกา นี่มันเวลาเรียนไม่ใช่เหรอ?
เจ้าเด็กลู่อันหรานคนนี้ คงไม่ใช่แอบโดดเรียนอีกแล้วใช่ไหม?
“ผม……ไม่ไปโรงเรียนสองสามวันนี้ฮะ!”
ลู่อันหรานโดนถามจนหดหู่เล็กน้อย ถึงแม้ปกติเวินหนิงจะรักเขามาก แต่ไม่เคยชินการเรื่องไปโรงเรียน อะไรที่ควรทำก็ต้องทำ ไม่เคยปล่อยให้เขาโดดเรียน
ถึงแม้ลู่อันหรานจะบอกว่าเรียนเรื่องพวกนั้นมาตั้งนานแล้ว ก็ไม่ได้
“ทำไมไม่ไป? ”
เมื่อเวินหนิงได้ยินประโยคนี้ ก็ถามอย่างเข้มงวดมาก
ลู่อันหรานหดคออย่างไม่เป็นธรรมชาติ รู้สึกผิดเล็กน้อย “อืม……เพราะ……ผมปวดท้องฮะ”
ตอนแรกลู่อันหรานอยากพูดความจริง แต่ก่อนลู่จิ้นยวนไปทำงานได้กำชับตนไว้โดยเฉพาะว่าห้ามทรยศเขา ไม่งั้นเขาเจอดีแน่ ดังนั้นจึงทำได้แค่หาข้ออ้าง
“ปวดท้อง? ”
เมื่อเวินหนิงได้ยิน ก็กังวลใจอย่างมาก
เมื่อคิดว่าเมื่อวานลู่อันหรานไปทานอาหารที่ถนนจริงๆ ทานอะไรมั่วซั่วไปเยอะมาก กระเพาะและลำไส้อาหารของเด็กน้อยนั้นบอบบาง จริงๆ แล้วปวดท้องเป็นเรื่องปกติมาก
ในใจโทษตัวเองอย่างอดไม่ได้ ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ เธอควรจะห้ามถึงแม้ลู่อันหรานจะไม่พอใจก็ตาม เด็กเล็กขนาดนี้ “อันหราน เมื่อวานกินเยอะเกินไปใช่ไหม หนูเลยปวดท้อง? ตอนนี้หนูอยู่ที่ไหน? ”
ลู่อันหรานไม่คิดว่าเวินหนิงจะคิดมากทันที จึงรีบอธิบาย “เปล่าฮะ เปล่า ไม่ได้ร้ายแรงมาก ไม่เกี่ยวกับที่กินเมื่อวาน”
เมื่อวานขนมที่ทานมั่วซั่วพวกนั้น เขาถ่ายรูปไว้ทุกอัน แล้วส่งให้ในกลุ่มเพื่อน อวดเพื่อนร่วมชั้นบอกว่าจะพาพวกเขาออกไปทานอาหารข้างทาง
ถ้าเวินหนิงไม่อนุญาตให้เขาไปอีก งั้นเขาก็จะผิดคำพูด น่าอับอายมาก
“อาจจะอาหารไม่ค่อยย่อย
เวินหนิงได้ยินเขาพูดแบบนี้ก็หมดหนทาง “แล้วหนูหาหมอหรือยัง? ”
ขณะที่ทั้งสองกำลังโทรศัพท์ มีผู้ป่วยคนหนึ่งเดินมาพอดี ในมือถือนมถั่วเหลือง คนคนนั้นไม่ได้มองทาง เกือบล้ม นมถั่วเหลืองในมือเอียงเกือบหกใส่เวินหนิง
“ระวัง”
เหอจื่ออันไปเอาอาหาร เมื่อกลับมาเห็นภาพนี้ ก็รีบยื่นมือไปดึงเวินหนิงออกมา น่ากลัวแต่ไม่เป็นอันตราย
“ขอโทษค่ะ ขอโทษ เมื่อกี้ไม่ได้ดูทาง”
คนคนนั้นรีบขอโทษ โชคดีที่มันไม่ได้ลวกเธอ ไม่อย่างนั้นดูท่าทางเครียดๆ ของชายคนนี้ เกรงว่าจะเกิดเรื่อง
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ”
เหอจื่ออันก็ไม่ได้มองคนที่ขอโทษอย่างต่อเนื่อง จ้องมองแค่เวินหนิง กลัวเธอได้รับบาดเจ็บอะไร
“ฉันไม่เป็นอะไร”
เวินหนิงส่ายหน้า “ขอบคุณค่ะ จื่ออัน เมื่อกี้ฉันคุยโทรศัพท์ ไม่ได้สนใจทางนี้”
“จะเกรงใจฉันทำไม? ”
ถึงแม้จะไม่มีอันตราย แต่มือเหอจื่ออันก็ยังไม่ปล่อย
ความอบอุ่นที่คุ้นเคยนี้ เขาโลภมาก
แต่เวินหนิงก็ถอยหนึ่งก้าวอย่างรวดเร็ว มองไปทางคนที่อึดอัดคนนั้น “ไม่เป็นอะไร คราวหน้าคุณระวังหน่อยนะคะ”
“แม่ แม่เป็นอะไร? ”
บทสนทนาระหว่างทั้งสอง ลู่อันหรานได้ยินมันอย่างชัดเจน เมื่อครู่นี้มีอะไรอันตรายใช่ไหม?
“ไม่เป็นอะไร มีคนหนึ่งเกือบทำนมถั่วเหลืองหกใส่แม่ แต่แม่หลบทัน”
เวินหนิงถึงจำได้ว่าโทรศัพท์ยังไม่ได้วาง รีบอธิบาย กลัวว่าลู่อันหรานจะกังวลใจ
“……อืม งั้นก็ดีแล้ว”
ลู่อันหรานปากพูดแบบนี้ แต่หัวสมองเล็กคิดได้อย่างรวดเร็ว เขาได้ยินแล้ว เมื่อครู่นี้มีเสียงผู้ชาย ฟังแล้วดูสนิทสนมมาก……
และเหมือนแม่จะเรียกเขาว่า จื่ออัน?
งั้นหมายความว่าเมื่อวานคุณอาเหอคนนั้นมาหาเธออีกแล้วเหรอ?
ผู้ชายคนนี้ ยุ่งวุ่นวายมากเลย
“แม่ แม่อยู่โรงพยาบาล งั้นผมไปหาแม่ดีกว่า ผมจะได้ไปหาหมอพอดีเลย”
ลู่อันหรานคิดหาวิธีอย่างรวดเร็ว พวกเขาอยู่ด้วยกัน เขาก็ไปเป็นก้างขวางคอ ชายคนนั้นอย่าคิดจะเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ !
“อืม……”
เวินหนิงคิดสักพัก เหลือบมองเหอจื่ออัน
เมื่อครู่นี้เหอจื่ออันก็ได้ยินเสียงเด็กน้อยด้านใน เดาออกแน่นอนว่าลู่อันหรานโทรมา “ไม่เป็นอะไร ให้เขามาเถอะ ฉันก็อยากเจอลูกคุณมาก”
ความสำคัญของลู่อันหรานที่มีต่อเวินหนิง เหอจื่ออันรู้ดีแก่ใจ ถึงแม้จะรู้สึกว่าเด็กคนนั้นไม่ได้กล่อมง่าย แต่ถ้าเขาต้องการอยู่กับเวินหนิงจริงๆ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกเลี่ยง
เหอจื่ออันไม่เคยทำพฤติกรรมหลีกหนีความจริงเหมือนนกกระจอกเทศ ดังนั้นจึงตอบตกลงแน่นอน
ได้รู้จักกันเพิ่มเติม อาจจะเข้าใจกันมากขึ้นหน่อยก็ได้
“งั้นก็ได้ ลูกมาสิ เรียกคุณอาคนขับรถให้มาส่งลูก อย่ามาเองตามอำเภอใจนะ”
จากประสบการณ์โหดร้ายที่ว่าลู่อันหรานเคยหนีออกจากบ้าน และเกือบโดนลักพาตัวไป เวินหนิงก็รีบสั่ง
“อ๋อ ผมรู้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง”
ลู่อันหรานตกลงอย่างเต็มที่ เรียกคนขับรถที่บ้าน ให้ที่อยู่กับเขา และไปที่โรงพยาบาลด้วยความคึกคะนอง
“เดี๋ยวอันหรานมา ฉันอาจจะต้องไปพาเขาไปตรวจร่างกายสักหน่อย ไม่ได้อยู่กับคุณแล้ว”
เวินหนิงพูดอย่างรู้สึกผิดมาก
“ไม่ใช่ปัญหา ความแข็งแรงของลูกสำคัญที่สุด”