“ คนนั้นเป็นใครเหรอ” หลังจากเดินตามหลังของลู่จิ้นยวนเข้าไปในห้องทำงานแล้ว ไป๋ซินอวี๋ก็เหลือบไปมองเวินหนิงที่อยู่ข้างนอก
เป็นเด็กหน้าใหม่ ด้วยนิสัยใจคอของลู่จิ้นยวนแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงป้องกันไม่ให้มีปัญหาที่ไม่จำเป็นตามมา เขาจึงไม่ค่อยปล่อยให้ผู้หญิงเข้ามาทำงานอย่างใกล้ชิดแบบนี้
“… พนักงานบริษัท ” ลู่จิ้นยวนลังเลอยู่ครู่หนึ่งแบบไม่ให้มีพิรุธ แล้วค่อยตอบอย่างเฉยชา
แต่สายตาของไป๋ซินอวี๋นั้นเฉียบคมเป็นพิเศษ เขาย่อมไม่พลาดความผิดปกติชั่วขณะของเขา“ โอ้ไม่นะ เป็นไปได้ไง นายมีเรื่องอะไรปิดบังอยู่”
ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลู่จิ้นยวนนั้น เป็นพี่น้องที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ไป๋ซินอวี๋รู้ใจเขาดีมากกว่าใคร ๆ
ขนาดลู่จิ้นยวนก็ยังสับสนเหมือนกันว่า เป็นแค่พนักงานธรรมดาๆที่ไม่มีสำคัญอะไรจริงๆเหรอ
“อย่าถามในเรื่องที่ไม่ควรถาม” ลู่จิ้นยวนขมวดคิ้ว ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าการพูดคุยกับคนที่คุ้นเคยจนเกินไปก็เป็นเรื่องน่าลำบากเช่นกัน
“ดังนั้น ฝั่งเยียนหราน นายจะไม่ไปเหรอ” ไป๋ซินอวี๋รู้สึกเสียดายเล็กน้อย
แต่ก่อนนั้นในกลุ่มของพวกเขาลู่จิ้นยวนกับมู่เยียนหรานเปรียบเหมือนปิ่นทองใบหยก เป็นคู่รักที่ทุกคนต้องอิจฉา มีคำพูดหนึ่งที่คนเขาพูดกันอย่างไงนะ ตอนเห็นพวกเขาแล้ว ก็จะรู้สึกเหมือนเห็นความรักในอุดมคติของทุกๆคน
เมื่อต้องมาดูเพื่อนตั้งแต่ๆเด็กต้องเลิกกันแบบนี้ ไป๋ซินอวี๋รู้สึกผิดหวังเสียใจและเสียดายไม่น้อย
ลู่จิ้นยวนไม่ได้ตอบใดๆ แต่กลับมองดูรูปถ่ายที่อยู่บนโต๊ะครู่หนึ่ง
ในภาพเป็นรูปเด็กวัยรุ่นคู่หนึ่งในชุดนักเรียน ทั้งคู่อายุเพียงแค่สิบแปดสิบเก้าเท่านั้น ในตอนนั้นเขายังไม่ได้โตเต็มทีและดูเป็นผู้ใหญ่แบบนี้ โดยมีเยียนหรานกอดแขนของเขาไว้แน่น ดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่สามารถปกปิดได้
แค่พริบตา ก็ผ่านไปสามปีแล้ว
“เรื่องนี้ ฉันจะคิดดูอีกที” ลู่จิ้นยวนคว่ำรูปถ่ายลงเสียงดัง ปัง แล้วมองไปที่ไป๋ซินอวี๋ “แกไปได้แล้ว”
“ทำไมถึงได้ไร้ความปรานีขนาดนี้ นี่จะไม่แนะนำหน่อยเหรอว่าผู้หญิงข้างนอกนั้นเป็นใคร นายคงไม่ใช่ว่าอยากมีความรักอย่างในนิทานแบบเจ้านายกับสาวทำความสะอาดใช่ไหม”
ไป๋ซินอวี๋ได้รับคำไล่ส่งอย่างกับแขกจากเขาอย่างไม่ไยดี แต่เขาก็ไม่โกรธ แต่กลับยิ้มแย้มติดตลกนิดๆชี้ไปยังเวินหนิงที่กำลังเช็ดกระจกอยู่ เขาค่อนข้างอยากรู้เป็นพิเศษ
อยากรู้ว่าเธอมีอะไรพิเศษ ลู่จิ้นยวนถึงได้ให้เธออยู่ข้างกายแบบนี้ ถึงแม้ว่าเธอจะดูหน้าตาค่อนข้างสวยก็ตาม
“ทำไมนายถึงได้พูดมากขนาดนี้ ฉันจะต้องทำงานแล้ว ถ้านายจะอยู่ต่อก็ช่วยอยู่เงียบ ๆหน่อย ”
ลู่จิ้นยวนเหลียบมองเวินหนิงที่กำลังทำงานของตัวเองอยู่ข้างนอก สายตาของเขาหรี่ลง จากนั้นเขาก็ก้มศีรษะลงไปดูที่แฟ้มงานในมือ โดยไม่สนใจไป๋ซินอวี๋อีก
ไป๋ซินอวี๋รู้สึกน่าเบื่อมาก เขาไม่มีกะจิตกะใจที่จะดูลู่จิ้นยวนทำงานเหรอก มันออกจะน่าเบื่อ ดังนั้นเขาจึงเดินออกไปข้างหลังของเวินหนิงแล้วแตะบนไหล่ของเธอเบาๆอย่างซุกซน
เวินหนิงที่กำลังจดจ่ออยู่กับงานที่ทำอยู่ เมื่อจู่ๆก็มีใครบางคนมาแตะหลังเธอเบาๆ ก็ตกใจจนเกือบจะกระโดดขึ้นมา
ในช่วงสองสามวันนี้โดนยวี๋เฟยหมิงคอยมาพัวพันวุ่นวายหลายต่อหลายครั้ง จนเทำให้เธอจิตใจอ่อนแอ่
“ทำไมคุณถึงได้ตกใจมากขนาดนี้ ” ไป๋ซินอวี๋มองเวินหนิงที่กระโดดหนีเหมือนกระต่ายน้อย ด้วยสายตาขี้เล่นเล็กน้อย
ผู้หญิงตรงหน้า ในตาของเธอคลอไปด้วยน้ำตาเพราะความตกใจ ใบหน้าเล็กๆขาวๆของเธอเต็มไปด้วยความมึนงง ซึ่งดูแล้วค่อนข้างน่ารักอยู่เหมือนกัน
หรือว่า ตอนนี้ลู่จิ้นยวนจะชอบแนวนี้ไปแล้ว
ไป๋ซินอวี๋หรี่ตาลงเล็กน้อย ในเมื่อเขาเป็นเพื่อนรักของมู่เยียนหรากับลู่จิ้นยวนตั้งแต่เด็ก เขาจึงหวังอยากให้พวกเขากลับมาคืนดีกันเป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นอุปสรรคสำคัญ
“ต้องขอโทษที ฉันตกใจกลัวนิดหน่อย … ” เวินหนิงส่ายหัว เธอคิดว่าเขาเป็นยวี๋เฟยหมิงจึงหลีกตัวออกห่างโดยไม่รู้ตัว
“ คุณเป็นพนักงานที่นี่เหรอ”
เวินหนิงพยักหน้า “ใช่คะ”
ด้วยความที่ไม่รู้ประวิติของคนตรงหน้าเลย เวินหนิงย่อมไม่ยอมพูดอะไรที่ไม่ควรพูดเป็นอันขาด
“ฉันเป็นเพื่อนของจิ้นยวน” ไป๋ซินอวี๋มองไปที่ปฏิกิริยาของเธอ แต่กลับไม่พบความผิดปกติอะไร
“ค่ะ มีอะไรต้องการให้ฉันช่วยคุณหรือเปล่าคะ” เวินหนิงรู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ก็ยังตอบกลับอย่างสุภาพ
“ ไม่มีอะไรหรอก แค่ถามดู เหมือนว่าคุณจะเป็นพนักงานหญิงคนแรกที่สามารถเข้ามาในชั้นนี้ได้ ดูเหมือนว่าคุณมีความสำคัญต่อจิ้นยวนไม่น้อย”
“เป็นไปไม่ได้ค่ะ ฉันเป็นแค่พนักงานทำความสะอาด นอกจากนั้นฉันไม่ทราบคะ” เวินหนิงรีบเคลียร์ความสัมพันธ์
ไป๋ซินอวี๋เห็นว่าเวินหนิงไม่ยอมเปิดปากพูดง่ายๆ ถ้ายังคงถามต่อไป ก็ไม่มีความหมายอะไร เขาจึงได้แต่ยิ้มๆ “งั้นก็ดีแล้ว เขามีคนที่ชอบอยู่แล้ว ฉันก็แค่ช่วยเตือนคุณ อย่าได้มีความคิดใด ๆกับเขา.. เพราะสุดท้ายแล้วจะทำร้ายจิตใจตัวเองเปล่าๆ ”
หลังจากพูดจบไป๋ซินอวี๋ก็เดินจากไป กับเยียนทรานแล้วเขาคงจะช่วยได้เท่านี้
เวินหนิงมองตามด้านหลังของผู้ชายคนนั้นที่กำลังเดินออกไป จากนั้นก็เหลียบมองไปที่ตำแหน่งของห้องทำงานผ่านม่านหน้าต่าง ที่สามารถมองเห็นแต่เงาของลู่จิ้นยวนเท่านั้น แต่มองเห็นไม่ชัดเจนว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
แม้ว่า เวินหนิงไม่เคยคิดมาก่อนว่าลู่จิ้นยวนจะยอมรับตัวตนของเธอต่อหน้าเพื่อน ๆเลยก็ตาม แต่เมื่อโดนเพื่อนของเขาพูดอย่างชัดเจนต่อหน้าเช่นนี้ เพื่อให้เธออย่าได้คิดหรือคาดหวังใดๆ แต่ก็ยังทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
นี่ อาจเป็นความคิดของลู่จิ้นยวนจริงๆก็ได้ เพราะไม่สะดวกที่จะพูดกับเธอตรงๆ จึงให้คนอื่นช่วยเขาพูดแค่นั้นเอง
ก่อนหน้านั้นเธอเอาแต่คิดคาดหวังอะไรมั่วๆกันอยู่
ที่ลู่จิ้นยวนช่วยเหลือเธอบ่อยๆก็แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ดั่งเอาไปจินตนาการจริงๆว่าเขาจะตกหลุมรักตัวเองจริงๆ
นี่มันดูไร้สาระน่าตลกสิ้นดี แล้วตบแก้มตัวเองเบาๆ จากนั้นเวินหนิงก็ละสายตากลับมา
…
งานยังไม่ไปไม่ถึงไหนเลย ก็ได้เวลาเลิกงานแล้ว
เวินหนิงเดินตามหลังลู่จิ้นยวนไปอย่างเงียบ ๆ แล้วขึ้นไปในรถ ผู้ชายเหลือบมองเธอแบบไม่ให้เธอรู้ตัว สังเกตเห็นได้ว่าเธออารมณ์ไม่ค่อยดีซะเท่าไร
หรือว่าจะเจอปัญหาอะไรหรือเปล่านะ หรือว่ายวี๋เฟยหมิงยังคงมาตามตื้อลำครวญเธออยู่
ลู่จิ้นยวนกำลังจะอ้าปากถาม โทรศัพท์ก็ดังขึ้นพอดี เมื่อเห็นหมายเลขโทรศัพท์บนหน้าจอทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันที สุดท้ายก็ต้องลงรถไปรับสายโทรศัพท์
สายนี้เป็นมู่เยียนหรานที่โทรเข้ามา
ก่อนหน้านั้นที่ลู่จิ้นยวนกับมู่เยียนหรานต้องเลิกลากันก็เพราะเรื่องที่มู่เยียนหรานจะไปเรียนต่อที่เมืองนอกหลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่เคยติดต่อกันอีกเลย
พวกเขาทั้งคู่ถูกเลี้ยงมาอย่างกับลูกพระเจ้าถูกตามใจมาตั้งแต่เด็กๆ จนไม่มีใครยอมก้มหัวให้ใครก่อน
ตั้งแต่มู่เยียนหรานไปเมืองนอกเธอไม่เคยกลับประเทศมาเลย ยังคงอยู่เมืองนอกเพื่อตามความฝันดนตรีของเธอ ในขณะที่ลู่จิ้นยวนนั้นนอนป่วยอยู่บนเตียงมาตลอด พอตื่นขึ้นมาก็ไม่ได้คิดที่จะตามหาเธอเลย
คิดว่าพวกเขาคงจะตัดขาดการติดต่อด้วยวิธีนี้ซะอีก แต่คาดคิดไม่ถึงว่ามู่เยียนหรานจะเป็นคนโทรมาหาเขาก่อน
ลู่จิ้นยวนตกอยู่ในภวังค์ชั่วขณะ พึ่งจะสังเกตได้ว่าเสียงสายเรียกเข้านั้นถูกตัดไปแล้ว
หลังจากครุ่นคิดสักพักหนึ่งเขาก็ทำการโทรกลับไปอีกครั้ง
หลังจากที่สายถูกเชื่อมต่อแล้วทั้งคู่ได้เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นมู่เยียนหรานก็พูดขึ้นอย่างยิ้มๆว่า คิดว่านายไม่อยากรับสายโทรศัพย์ของฉันซะอีก ”
“ แค่ไม่ทันได้รับนะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า โทรมากะทันหันแบบนี้” ลู่จิ้นยวนส่ายหัวไปมา ทำอะไรไม่ถูก ในโลกนี้ก็คงจะมีเพียงมู่เยียนหรานเท่านั้นที่กล้าพูดตลกแบบนี้กับเขาอย่างไม่แกรงกลัวใดๆ
“งานรับปริญญาของฉันนายจะมาไหม” มู่เยียนหรานบีบนิ้วของตัวเองแน่น
เมื่อสามปีก่อนเธอไปจากเมืองเจียงเฉิงตามอำเภอใจ โดยคิดว่าลู่จิ้นยวนจะต้องไปหาเธอแน่นอน เธอตั้งหน้าตัังตาเฝ้ารอเขาแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา ด้วยความเอาแต่ใจและไม่ยอมแพ้ เธอจึงตั้งใจปิดข่าวทั้งหมดของเธอและเลือกเรียนต่ออยู่ในต่างประเทศ ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่ยอมกลับมาในประเทศ
แต่สิ่งที่เธอคาดคิดไม่ถึงคือในตอนนั้นลู่จิ่นยวนประสบอุบัติเหตุรถยนต์ ดังนั้นจึงไม่เคยติดต่อกับเธอเลย
เพราะเหตุนี้เธอถึงได้รวบรวมความกล้าทั้งหมดโทรหาเขาตอนนี้
หลังจากที่อาศัยอยู่เมืองนอกมาหลายปี ได้พอเจอผู้คนมากมาย แต่กลับรู้สึกว่าไม่มีใครดีเท่าลู่จิ้นยวนเลย เพราะสุดท้ายแล้วคนที่เธอชื่นชอบมากที่สุดยังคงเป็นลู่จิ้นยวน