“ใส่ความงั้นหรือ?” เซี่ยหวนอวี่แค่นหัวเราะเสียงเย็น “ก่อนหน้านี้ที่พระชายารุ่ยอ๋องถูกขังอยู่ในคุกก็มีคนต้องการทำร้ายนาง เครื่องหอมที่ใช้ทำให้พระชายาหมดสติไปก็เป็นเครื่องหอมดอกท้อร่ำสุราจากในวังและในวังแห่งนี้ก็มีเพียงเจ้าและหยุนกุ้ยเฟยเท่านั้นที่ใช้”
หยุนชางเห็นเสิ่นซู่เฟยนิ่งเงียบไป ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ขบกรามแน่นเงยหน้าขึ้น” หม่อมฉันไม่ยอม หม่อมฉันก็มีเรื่องฟ้องร้องเช่นกันเพคะ
“หือ? เรื่องอันใด? เอาตัวคนอื่นออกไปก่อน” เซี่ยหวนอวี่กล่าวอย่างเรียบเฉยและมองดูเหล่าทหารนำตัวพยานและผู้ต้องหาออกไปจากตำหนัก โดยไม่รอให้ซู่เฟยเอ่ยอะไรออกมา เขาก็กล่าวขึ้นอย่างเรียบเฉยว่า “เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นในเผ่าหย่า เจิ้นไม่เคยโทษเจ้าเลย แม้เสี่ยวสือเอ้อร์จะเป็นเช่นนั้น เจิ้นก็ยังปล่อยเลยตามเลย ฉีโจวเป็นพื้นที่แร้นแค้นอยู่ที่นั่นก็ลำบากแสนเข็ญ ฉีอ๋องก็เป็นลูกของข้าและยังเป็นคนเฉลียวฉลาดกว่าผู้ใดมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย หากไม่มีเรื่องของเผ่าหย่า เจิ้นก็อยากให้เขาอยู่ใกล้ชิดและอบรมสั่งสอนเขาด้วยตนเอง เรื่องของเผ่าหย่านั้นมีอิทธิพลกว้างขวางนัก ที่เจิ้นไม่เต็มใจรับชิงกุ้ยเหรินเข้ามาก็เป็นเพราะเหตุนี้ แม้ว่าตอนนี้จะมอบตำแหน่งกุ้ยเหรินให้แก่นางไปโดยไม่มีทางเลือกแล้ว เจิ้นก็จะไม่มีวันทำให้นางตั้งครรภ์อย่างแน่นอน”
ราวกับแข้งขาของเสิ่นซู่เฟยอ่อนแรงลง นางเซไปด้านหลังเล็กน้อย แต่กลับถูกนางกำนัลที่อยู่ด้านหลังเข้ามาประคองไว้ นางสีหน้าซีดเผือด บนใบหน้าแต้มไปด้วยรอยยิ้มขมขื่น นางหลับตาลงช้าๆ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงหัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆๆ ดูแล้วหม่อมฉันคงคิดไปเองทั้งหมด หม่อมฉันนึกว่าที่ฝ่าบาทใจกว้างเป็นเพราะทรงมีหม่อมฉันอยู่ในใจบ้าง หม่อมฉันนึกไปว่าในวังหลังที่เต็มไปด้วยเหล่านางสนมกำนัลนี้ หม่อมฉันจะพิเศษอยู่บ้าง หม่อมฉันไม่มีตระกูลใหญ่รองรับสนับสนุน เดิมทีก็เป็นเพียงแค่นางกำนัล แต่หลายปีที่ผ่านมานี้ฝ่าบาทกลับไม่เคยละเลยหม่อมฉัน แม้หม่อมฉันจะบาดเจ็บจนไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก แม้ว่าความลับอันน่าตกใจของเผ่าหย่าจะถูกเปิดเผยออกมา เพียงแต่เมื่อถึงวันนี้ หม่อมฉันจึงได้เข้าใจ เข้าใจแล้ว…”
“หึ…” เสิ่นซู่เฟยแค่นเสียงหัวเราะ “หม่อมฉันเข้าใจแล้วว่าความโปรดปรานในวังหลังนั้นเป็นดังเงาจันทร์ที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำ หม่อมฉันเข้าใจแล้วว่าหม่อมฉันไม่ได้พิเศษแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะหม่อมฉันยังมีประโยชน์อยู่ เพียงแต่เมื่อประโยชน์นี้กลับเป็นผลร้ายต่อคนที่มีประโยชน์ยิ่งกว่า หม่อมฉันก็กลายเป็นดังผงธุลี ความโปรดปรานที่หม่อมฉันได้รับก็เนื่องมาจากที่หม่อมฉันไม่มีครอบครัวคอยสนับสนุน ที่ฝ่าบาทโปรดหม่อมฉันก็เป็นเพราะไม่ต้องกังวลว่าจะมีเหล่าญาติของหม่อมฉันได้รับอำนาจหรือผลประโยชน์ไปด้วย และที่หม่อมฉันเสียความโปรดปรานนั้นไปก็เป็นเพราะหม่อมฉันไม่มีคนสนับสนุนเช่นกัน หากฝ่าบาทจะสังหารหม่อมฉันให้ตายก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีผู้ใดมาคัดค้าน…”
“เรื่องยังสืบไม่กระจ่าง เจ้ากลับไปรอที่ตำหนักซู่หย่าก่อนเถิด” เซี่ยหวนอวี่ขมวดคิ้วและพูดขัดนางขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก
เสิ่นซู่เฟยแค่นยิ้มและชักมือกลับจากการประคองของนางกำนัลแล้วยืดตัวขึ้น “ยังไม่กระจ่าง?” ยังมีอะไรให้ต้องสืบอีกหรือเพคะ? ในใจฝ่าบาทกล่าวโทษหม่อมฉันไว้แต่แรกแล้วมิใช่หรือ? สิบแปดปีของการร่วมหอกันมา ในเมื่อฝ่าบาทเห็นว่าหม่อมฉันเป็นหมากที่สมควรถูกทิ้ง หม่อมฉันยอมเสียก็พอแล้ว ฝ่าบาทไม่ต้องสืบต่อแล้ว หม่อมฉันทำเองทั้งหมด ทั้งหมดนั้นหม่อมฉันเป็นผู้กระทำเองเพคะ!”
หือ? หยุนชางเลิกคิ้ว นางเคยเห็นแต่ผู้ที่พยายามหาทุกวิถีทางเพื่อล้างมลทินให้แก่ตนเอง แต่กลับไม่เคยพบผู้ที่แม้แต่ความจริงก็ยังสืบไม่กระจ่างแต่กลับออกมารับความผิด เรื่องนี้เป็นนางเองที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลัง นางย่อมรู้ดีว่าในหลักฐานเหล่านั้นมีชิ้นไหนจริงหรือปลอม ซู่เฟยไม่มีความจำเป็นต้องรับความผิดนี้ทั้งหมดไว้แต่เพียงผู้เดียว
แต่ทว่าคำพูดเมื่อครู่ของเซี่ยหวนอวี่แฝงไปด้วยแววข่มขู่ เขาใช้ลูกของซู่เฟยมาข่มขู่นางก็ออกจะแล้งน้ำใจนัก
ฮองเฮาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย นางเพียงใช้สายตาเย็นเยียบจับจ้องไปที่เสิ่นซู่เฟย
เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ ผู้ที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดกลับเป็นตัวฮองเฮาเสียเอง แม้จะบอกว่าผลลัพธ์นั้นไม่ได้เป็นดังที่คาดการณ์ไว้ การร่วมมือกับซู่เฟยนั้นเกรงว่าจะเป็นเพราะนางไม่มีทางเลือกเท่านั้น นางและซู่เฟยก็ไม่ได้ญาติดีกันมากนักย่อมต้องชั่งใจผลได้ผลเสียอยู่นานเป็นแน่ ส่วนซู่เฟยนั้นหากไม่ได้มีผลประโยชน์อันใดเกี่ยวข้องย่อมไม่มีทางร่วมมือกับนางแน่ นางและซู่เฟยต่อสู้กันมาเกือบยี่สิบปีย่อมต้องอดใจรอให้อีกฝ่ายไปตายเสียไว้ไม่ไหว ตอนนี้นางนั่งเฉยๆ บนภูดูเสือกัดกัน เห็นแล้วว่าเสิ่นซู่เฟยกำลังจะพ่ายแพ้ ความหวังของนางกำลังจะกลายเป็นจริง เกรงว่าคงจะกำลังยินดีไปอยู่ทั่วทุกอณูรูขุมขนเป็นแน่
“ซู่เฟยสุขภาพร่างกายไม่ค่อยดีนัก พวกเจ้าพานางกลับตำหนักเถอะ” เซี่ยหวนอวี่ขมวดคิ้วเอ่ยเสียงเรียบ
นางกำนัลที่อยู่ด้านข้างรับคำรับเข้าไปหาเสิ่นซู่เฟย เสิ่นซู่เฟยแค่นเสียงเล็กน้อยแล้วจึงโบกมือ “ข้าเดินเองได้ ไม่ต้องประคอง”
นางพูดพลางหมุนตัวกลับ ชะงักฝีเท้าไปและครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วจึงหันไปหาฮองเฮา เมื่อเห็นสีหน้าของฮองเฮาแล้วนางก็กระตุกยิ้มมุมปากขึ้นแล้วย่อกายให้นางพลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “หม่อมฉันขอแสดงความยินดีกับฮองเฮาด้วยเพคะ หลังจากที่ไม่มีหม่อมฉันแล้ว วังหลังแห่งนี้ก็คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธท่านอีก”
หัวใจหยุนชางกระตุกวาบและแอบร้องว่าแย่แล้วอยู่ในใจ นางเงยหน้าขึ้นมองเซี่ยหวนอวี่ก็เห็นว่าเขามีประกายตาไม่พอใจนัก เขาหันไปมองฮองเฮาอย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงหันกลับมา
ซู่เฟยร้ายกาจยิ่งนัก นางใช้เรื่องสามีภรรยามาหลอกล่อแล้วจึงค่อยบอกเซี่ยหวนอวี่ว่านางไม่มีครอบครัวสนับสนุนนาง นางไม่มีอำนาจคุกคามต่อบัลลังก์ของเขา จะไม่มีเรื่องญาติสนิทครองอำนาจ แต่ฮองเฮานั้นกลับตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง นางค่อยๆ บอกใบ้ให้เซี่ยหวนอวี่รู้ว่าหากวังหลังไม่มีนางแล้วก็จะมีฮองเฮาเป็นใหญ่อยู่เพียงผู้เดียว
ความฉลาดของซู่เฟยนั้นอยู่ตรงที่นางรับรู้ได้อย่างถ่องแท้ว่าอะไรคือสิ่งที่เซี่ยหวนอวี่ไม่อยากเห็นมากที่สุดและข้อได้เปรียบของนางอยู่ที่ตรงไหน
เกรงว่าฮองเฮาจะดีใจจนลืมตัวไปเสียแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นของซู่เฟย นางกลับเพียงนั่งนิ่งและยิ้มบางๆ แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
เสิ่นซู่เฟยยิ้มเย็นแล้วจึงหมุนตัวจากไปอย่างนุ่มนวล
เซี่ยหวนอวี่เงียบไปอยู่นาน เขาไม่ได้เอ่ยประการใดออกมา
มีขันทีเปิดประตูตำหนักและเดินเข้ามาก่อนจะปิดประตูลงอย่างรีบร้อนแล้วจึงเดินมายังกลางตำหนัก เขารู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกประหลาดในตำหนักแต่ก็ทำได้เพียงคุกเข่าลงและกล่าวรายงานอย่างไม่มีทางเลือก “กราบทูลฝ่าบาท หม่อมฉันไปตรวจสอบเรื่องที่นางกำนัลหวายหมิ่นจากตำหนักซู่หย่าออกจากวังจากสี่ประตูวังมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ พบว่านางออกจากวังในยามซื่อจนถึงพลบค่ำยามโหย่วจึงจะกลับเข้าวังมาพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยหวนอวี่โบกมือเป็นสัญญาณให้ขันทีผู้นั้นออกไป เขาเอ่ยเสียงเรียบ “ในเมื่อเสิ่นซู่เฟยรับสารภาพผิดแล้วก็ไม่จำเป็นต้องสืบสวนต่ออีก”
หยุนชางได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วน้อยๆ นางยังเตรียมหลักฐานไว้อีกมากมาย เดิมคิดว่านางคงแตะต้องฮองเฮาไม่ได้แต่อย่างน้อยก็คงกำจัดศัตรูที่แข็งแกร่งไปได้ผู้หนึ่ง แต่กลับคิดไม่ถึงว่า…
แต่หากไม่ยอมปล่อยไปเช่นนี้ก็เกรงว่าจะไม่เป็นดังหวัง แต่จะเป็นการทำให้เซี่ยหวนอวี่สืบต่อไปก็อาจจะได้ไม่คุ้มเสียนัก
นางคิดในใจอยู่ครู่หนึ่งก็ก้มหน้าลงและไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก
สีหน้าของฮองเฮากลับเปี่ยมไปด้วยความยินดี เรื่องนี้นางมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ไม่น้อย หากสืบต่อไปเกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่อนางนัก หากหยุดเพียงเท่านี้ก็จะส่งผลดีต่อนางและไม่มีผลร้ายอันใดเลย
“เสิ่นซู่เฟยเป็นสนมในวังหลัง แต่กลับกระทำเรื่องอุกอาจเช่นนี้ได้…” ฮองเฮาครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยออกมาด้วยเสียงนุ่มนวล