“อื้ม อันหรานพูดถูก”
ไป๋ซินหรานพยักหน้าประจบ ดูให้ความร่วมมืออย่างมาก
พอได้ยินดังนั้นลู่อันหรานก็ยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้น
ดูสิ ทุกคนก็คิดเหมือนกันทั้งนั้น มีแค่คุณย่าที่โดนยัยผู้หญิงร้ายคนนั้นหลอก ถึงคิดว่าหยงซือเหม่ยเป็นคนดี
หยงซือเหม่ยอารมณ์เสียมากขึ้นไปอีก เดิมแค่ถูกลู่อันหรานว่าให้ก็ไม่ว่าอะไร ยังไงสะเด็กนั่นก็เป็นลูกชายของลู่จิ้นยวน แล้วเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน?
ดูหน้าแล้วก็หน้าซื่อตาใส แต่กลับไม่เคารพเธอขนาดนี้เลยหรอ?
“อันหราน เด็กผู้หญิงคนนี้เป็นใครครับ ตอนนี้เป็นแบบนี้แล้ว หลานยังเอาใครไม่รู้มาที่นี่อีก!”
เย่หวานจิ้งที่เห็นสีหน้าของหยงซือเหม่ยที่ยิ่งเสียเข้าไปใหญ่ก็อดไม่ได้ที่จะต่อว่า
โดยเฉพาะ เธอนั้นก็ไม่รู้จักไป๋ซินหราน รู้แค่ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ดูสนิทสนมกับเวินหนิงเป็นอย่างมาก เลยรู้สึกไม่ดีกับเธอไปเลย
“หนู……”
ไป๋ซินหรานเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ที่ไหนกัน แต่เย่หวานจิ้งมองไปที่เธอ เธอก็จะนึกถึงแม่เลี้ยงที่ชอบด่าชอบตีเธอบ่อยๆ ร่สงกายของเธอนั้นก็หลบไปอยู่ข้างหลังของลู่อันหรานโดยซะอย่างนั้น
ลู่อันหรานที่รู้สึกได้ดังนั้น ก็เดินขึ้นไปยืนข้างหน้า บังสายตาของเย่หวานจิ้งที่มองมา “คุณย่าครับ ถึงเธอนั้นจะเป็นแค่คนนอก เธอก็มีสิทธิ์ที่จะพูดเหมือนกันนะครับ ยอมที่ฟังคำวิจารณ์ของคนอื่นอย่างถูกต้องมันจะดีต่อสิ่งที่ทำ คงไม่ใช่ว่าจะเรื่องจริงก็ไม่ให้พูดหรอก ใช่มั้ยครับ? ”
ถึงอันหรานจะอายุยังน้อย แต่เขานั้นฉลาด ปากนั้นก็ช่างพูดมาก แค่แปปเดียวก็สามารถหาเหตุผลมามากมายให้เย่หวานจิ้งไม่สามารถว่าอะไรเขาได้อีก
เย่หวานจิ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ เธอมองว่าถ้ายังให้ลู่อันหรานอยู่ที่นี่ต่อไป จะทำให้การแต่งงานของตระกูลลู่และตระกูลหยงพังเป็นอย่างแน่ เลยพูดขึ้นว่า“อันหราน งั้นหลานพาเธอไปเลย เธอสองคนเป็นเด็ก อยู่ตรงนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไร กลับจะเป็นการเพิ่มให้วุ่นวายขึ้นสะอีก”
“ไม่ได้ ผมไม่ไป”
ลู่อันหรานไม่ไปหรอก เขารู้แล้วว่าหยงซือเหม่ยคนนี้จะไล่ทุกคนออกไป แล้วเธอก็จะอยู่ที่นี่ ถึงเวลาก็สามารถบิดเบียนความจริง ว่ามีแต่เธอที่เป็นห่วงเขา
คิดอยากเล่นเกมส์ต่อหน้าเขานะหรอ ไม่มีวัน
เห็นลู่อันหรานวันนี้ที่ไม่เชื่อฟังเธอขนาดนี้ เย่หวานจิ้งนั้นโกรธจนควันออกหู
แต่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ก็ไม่สามารถทำอะไรเสียมารยาท ได้แค่ทนไว้ออกไปหาเวินหนิง
ลู่อันหรานจะเป็นเด็กดีเชื่อฟังผู้ใหญ่ก็ต่อเมื่ออยู่ต่อหน้าเวินหนิงเท่านั้น
“เวินหนิง พาอันหรานกลับไป ตอนนี้ในห้องคนไข้ไม่ต้องการคนมากมายขนาดนี้”
น้ำเสียของเย่หวานจิ้งนออกเป็นแนวคำสั่ง
ที่จริงเวินหนิงก็อยากที่จะพาพวกเขากลับอยู่แล้ว ในเมื่อมีหยงซือเหม่ยทั้งคนแล้ว เธอก็ไม่อยากที่จะอยู่ที่นี่หรอก
แต่พอคำพูดนี้ออกมาจากปากของเย่หวานจิ้ง เธอรู้สึกไม่อยากจะทำตามที่เธอบอก
หรือในสายตาของเธอ ความสัมพันธ์ของหยงซือเหม่ยกับลู่จิ้นยวนนั้นสนิทสนมกว่าลู่จิ้นยวนกับลู่อันหรานที่เป็นพ่อลูกกันงั้นหรอ?
ไล่อันหรานกลับเพื่อผู้หญิงคนนี้……
นี่นะหรือมารยาทที่ว่าของตระกูลลู่?
ก็เพื่อผลประโยชน์ทั้งนั้น โถงถางขนาดนี้ เห็นแล้วน่าเกลียดชะมัด อดไม่ได้ที่จะมองไปที่เวินหนิง กังวลจนเหงื่อเต็มฝ่ามือ
เขากลัวว่าเวินหนิงจะพา กลับจริงๆ ถึงตอนนั้นเขาก็ได้เชื่อฟังเธออย่างแน่นอน
ก็ในเมื่อลู่อันหรานนั้นเป็นเด็กที่เชื่อฟังเวินหนิงอยู่แล้ว
“คุณผู้หญิงเย่คะ อันหรานเป็นลูกชายแท้ๆของลู่จิ้นยวน ถ้าเขาอยากที่จะอยู่ที่นี่เพื่อเฝ้าพ่อของตัวเอง คุณควรที่จะดีใจไม่ใช่หรือคะที่เขาเป็นเด็กกตัญญู?
ทำไมถึงยังจะไล่เขากลับอีกล่ะ?”
เวินหนิงหลี่ตามอง น้ำเสียงก็ไม่ได้เคารพขนาดนั้น
เธอในตอนนี้ไม่ใช่เธอในแต่ก่อนอีกแล้ว ทำอะไรไม่จำเป็นต้องดูสีกน้าของเย่หวานจิ้ง เพราะฉะนั้นแล้ว คำพูดทุกอย่างก็พูดตามที่ใจคิด
“เธอ……”
เย่หวานจิ้งอยากที่จะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะตอกกลับยังไง
ก็จริง ถ้าเป็นปกติแล้ว ลู่อันหรานอยากอยู่ เธอจะคิดว่าเขานั้นเป็นเด็กเก่งแล้วยังน่ารัก แต่ตอนนี้ เพราะเขากับหยงซือเหม่ยไม่ถูกกัน เย่หวานจิ้งเลยได้แค่ไล่เขากลับ ให้สองคนนั้นมีโอกาสได้พัฒนาความสัมพันธ์กัน
คิดไม่ถึงว่าจะถูกเวินหนิงดูออก แล้วยังพูดออกมาตรงๆขนาดนี้อีก ทำให้หน้าของเธอนั้นเหมือนจะเอาไม่อยู่แล้ว
“เวินหนิง เธอไม่อยากให้สองคนนั้นมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง เลยสอนให้อันหรานพูดพวกนี้ ใช่มั้ย?”
เวินหนิงยิ้มหยัน“ขอโทษนะคะ คงจะทำให้คุณคิดมากไป ลูกชายของคุณนั้นคุณสมบัติดีมากๆ แต่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะตีกันจนหัวแตกเพื่อที่จะไปแย่ง ฉันเองก็ไม่สนใจอยู่แล้ว อีกอย่างอันหรานไม่ใช่เด็กที่จะสามารถถูกใครใช้ได้”
พูดจบ เวินหนิงมองไปทางลู่อันหราน“อันหราน ลูกคิดยังไงครับ?”
“ผม……ผมอยากอยู่ต่อ”
ลู่อันหรานนั้นใจนึงก็เป็นห่วงร่างกายของพ่อ อีกใจก็กลัวหยงซือเหม่ยจะพูดอะไรที่ไม่ใช่ความจริง เพราะฉะนั้น เขาไม่ไปไหนอยู่แล้ว
เวินหนิงที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้า“งั้นดี ลูกก็อยู่ที่นี่แหละ ลูกเป็นลูกชายของเขา ลูกมีสิทธิ์อยู่ที่นี่ ไม่มีใครสามารถไล่ลูกไปไหนได้ทั้งนั้น”
คำพูดพวกนี้ เป็นสิ่งที่จะพูดให้เย่หวานจิ้งทั้งนั้น
ตอนนั้นเย่หวานจิ้งเพื่อที่จะหาผู้หญิงให้ลู่จิ้นยวน หาพวกครูผู้หญิงให้ลู่จิ้นยวนโดยที่ไม่ได้ถามความเห็นเจ้าตัว ในใจของเวินหนิงก็จำไว้แล้ว ตอนนี่ก็ยังทนไว้อยู่
ตอนนี้ก็ทำลายความกตัญญูของลูกของเธอเพื่อการแต่งงานอะไรนั่น เวินหนิงไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
“งั้นผมจะเฝ้าพ่ออยู่นี่รอจนกว่าพ่อจะฟื้น แบบนี้ผมถึงจะวางใจได้”
ลู่อันหรานที่เห็นครั้งนี้ที่เวินหนิงไม่ยอมถอยนั้นก็โล่งอก
เย่หวานจิ้งที่ถูกตอกกลับนั้นก็จนปัญญา ได้แค่มองลู่อันหรานเดินเข้าห้องคนไข้ไป
เดิมหยงซือเหม่ยที่คิดว่าลู่อันหรานถูกพากลับไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าเขานั้นเดินกลับมาอีก กล้ามเนื้อบนหน้าเริ่มกระตุก อยู่กับเด็กนี่นานๆทำให้เธอนั้นโมโหจนริ้วรอยเพิ่มขึ้นหลายเส้น
หยงซือเหม่ยเดินไปอีกทางเพื่อส่งข้อความถึงเวินหนิง“เวินหนิง นี่แกหมายความว่าไง?
รีบมาพาลูกของแกกับนังเด็กนี่กลับไปสะ”
เดิมเวินหนิงก็โมโหกับการกระทำของเย่หวานจิ้ง อยู่แล้ว พอมาเห็นข้อความนี้อีกก็ยิ่งไม่สบอารมณ์เข้าไปใหญ่
“คุณหนูหยงคะ เราแค่ทำการสัญญาระหว่างผู้ใหญ่เท่านั้น กับเด็กแล้วพวกเขาจะคิดยังไง ฉันคงบังคับให้เขากลับไม่ได้หรอก เด็กเป็นห่วงพ่อเป็นเรื่องปกติ หวังว่าคุณจะเข้าใจนะคะ”
ตอนนี้เวินหนิงเองก็พอจะรู้แล้วว่ากับคนอย่างหยงซือเหม่ยเนี่ย ให้ความร่วมมือมากเกินไปด้วยไม่ค่อยได้ ไม่อย่างนั้นเธอไม่ยอมบริจาคไขกระดูกให้ดีๆหรอก
“แน่นอนว่าถ้าคุณหนูหยงรีบช่วยบริจาคไขกระดูกโดยเร็ว แล้วให้ตระกูลลู่ยอมที่จะไม่ถือสิทธิ์เลี้ยงดูลู่อันหราน ฉันจะพาเขาหายไปจากคุณเอง”
เวินหนิงพิมพ์ประโยคนี้จบก็กดปิดหน้าจอลง
พูดขนาดนี้แล้ว ถ้าหยงซือเหม่ยอยากที่จะทำอะไรก็ควรที่จะมีอะไรมาแสดงน้ำใจหน่อย ถึงเธอจะมีไขกระดูกที่สามารถช่วยแม่ได้ ก็ใช่ว่าเวินหนิงจะถูกเธอเดินจูงจมูกได้
หยงซือเหม่ยกัดฟันอ่านแต่ละบรรทัดที่อยู่ในโทรศัพท์
นังเวินหนิงนี่กำลังจะบอกกับเธอว่าเธอนั้นสามารถแย่งทุกอย่างที่เธอพยายามทำนั้นไปทั้งหมดอย่างงั้นหรอ?