คำพูดอันแล้งน้ำใจที่เอ่ยกล่าวด้วยความหวังดีไม่กี่ประโยคของลูกน้อง
ในเมื่อภายในใจเหล่าลูกน้องเช่นเขานั้น การที่ลู่จิ้นยวนจะหาผู้หญิงสักคนมานั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่ก็ยังคงที่จะคอยเอาคอตัวเองไปผูกไว้กับผู้หญิงคนนี้
ตอนนี้ เธอยังเข้าไปเกี่ยวพันกับชายอื่นอยู่โดยที่มีความสัมพันธ์ไม่ชัดเจนอีกด้วยซ้ำ
“เรื่องของฉัน ไม่จำเป็นต้องให้แกมาสอดหรอกนะ ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน”
ลู่จิ้นยวนลบรูปภาพทั้งหมดนั้นทิ้งไป เขาไม่เชื่อ หรือว่าอาจเกิดความเข้าใจผิดอะไรก็ได้ ถ้าหากว่าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง เขาก็ไม่มีวันเชื่อได้ลงอย่างเด็ดขาด
“นายครับ ท่านคงไม่ได้คิดจะไปด้วยตัวของท่านเองหรอกนะครับ”
ทันทีที่ได้ยินดังว่า ผู้ชายที่อยู่อีกปลายสายก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที แม้ว่าลู่จิ้นยวนจะมีร่างกายที่แข็งแรง แต่ว่าในเมื่อพึ่งจะได้รับบาดเจ็บมา อีกทั้งเป็นอาการที่ว่ากระดูกหัก ออกมาอย่างไม่คิดอะไรเช่นนี้ ถ้ากระดูกหักขึ้นมาอีกครั้งแล้วจะทำอย่างไรล่ะ
“ไม่ได้ครับ ท่านยังคงต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ถ้าหากคิดอยากจะจัดการกับพวกเขา ก็เอาไว้รอท่านหายดีก่อนก็ยังไม่สาย……..”
“ฉันบอกแล้วไง ส่งที่อยู่มาให้ฉัน!”
ลู่จิ้นยวนไม่คล้อยตามคำชักชวนของเขาเลยแม้แต่น้อย ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าการออกไปทั้งแบบนี้มันไม่สมเหตุผลเลยแม้แต่น้อย แต่ปัญหาก็คือ เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้แล้ว เขาก็ไม่อาจที่จะรักษาไว้ซึ่งความคิดอันสมเหตุสมผลได้แล้ว
เมื่อได้ยินน้ำเสียงอันหนักแน่นของลู่จิ้นยวน ลูกน้องคนนั้นเองก็เข้าใจนิสัยของเขาเป็นอย่างดี ถ้าหากว่าไม่ส่งให้เขา เขาอาจจะออกมาตามหาด้วยตัวเองก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นเกรงว่าจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
“ผมจะไปรับท่านครับ”
ไม่มีทางเลือกอื่น เขาจำเป็นแต่จะต้องยอมประนีประนอมเท่านั้น
ลู่จิ้นยวนวางสายโทรศัพท์ไป หมดอารมณ์ที่จะอ่านตัวอักษรที่อยู่บนสมุดในมือ สมุดจึงถูกเขาเขวี้ยงลงพื้นไปทั้งอย่างนั้น
เวลาผ่านไปไม่นานนัก ลูกน้องก็มาถึงแล้ว
ลู่จิ้นยวนไม่แม้แต่ที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า สวมชุดคนไข้ขึ้นรถไปเลย
…….
เวินหนิงนั่งอยู่บนรถ ยังคงรู้สึกเวียนหัวอยู่เป็นอย่างมาก
เหอจื่ออันเห็นดังว่า ก็ส่งผ้าห่มผืนน้อยไปให้เธอ “หนิงหนิง เธอนอนหลับไปสักหน่อยเถอะ นอนพักสัปแปปจะได้รู้สึกดีขึ้น ยังอีกสักพักกว่าจะไปถึง”
เวินหนิงส่งเสียงอืมตอบกลับไปเบาๆ “อืม ทั้งหมดเป็นความผิดของฉัน ถ้าหากว่าซินหรานตื่นขึ้นมา แล้วไม่เห็นแม่ของตนเอง จะรู้สึกทรมานขนาดไหนกัน……..”
“สบายใจได้ เรื่องนี้ยังมีวิธีแก้ปัญหาอีกหลายวิธี”
เหอจื่ออันคิดเรื่องของเจียงซินเฉียวแล้วหนึ่งตลบ และในเมื่อเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกไม่อาจที่จะทำให้เธอยอมตกลงได้ งั้นก็คงมีแต่จะต้องคิดหาทางอื่นแล้ว
“……..”
เวินหนิงได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกวางใจลงได้เล็กน้อย แล้วปิดเปลือกตาลงจากนั้นก็ผล็อยหลับไปเลย
เมื่อเห็นว่าเวินหนิงหลับลงไปแล้ว เหอจื่ออันก็ลดความเร็วของรถลง อีกทั้งยังเปิดเครื่องทำความร้อนเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกหนาว
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง รถก็มาจอดอยู่ที่หน้าโรงพยาบาล
เหอจื่ออันจอดรถลงให้นิ่งสนิท เห็นว่าเวินหนิงยังไม่ตื่น ก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะลงจากรถ ไม่มีใครมารบกวนทั้งสองคน ทั้งคู่ที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันโดยไม่มีใครอื่นนั้นให้ความรู้สึกลึกลับราวกับมีอะไรแฝงอยู่ ทำให้หัวใจของเขาค่อยๆ รู้สึกสงบลง ดังนั้นเขาจึงคิดที่อยากจะอยู่ในห้วงเวลาอันสงบเงียบแบบนี้ไปอีกสักพัก
ในขณะที่เหอจื่ออันกำลังนั่งเหม่ออยู่แบบนั้น เวินหนิงก็ขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย เนื่องด้วยที่ว่านอนหลับอยู่บนรถและมีพื้นที่ไม่กว้างขวางพอ ทำให้นอนหลับไม่สบายเท่าไหร่นัก
เหอจื่ออันจึงได้ตั้งสติกลับคืนมา และอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ จึงเดินออกจากรถแล้วไปอุ้มเธอขึ้นมา
เขาอุ้มเธออย่างเบามือ ประกอบกับการที่เวินหนิงนั้นหลับลึกมาก ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นการปลุกเธอให้ตื่นขึ้นเลย
เหอจื่ออันก็อุ้มเวินหนิงกลับเข้าไปในโรงพยาบาลทั้งอย่างนั้น แต่เขาไม่รู้เลยว่า ตั้งแต่ต้นจนจบ การกระทำทุกสิ่งอย่างของเขานั้นล้วนแต่อยู่ในสายตาการจับจ้องของลู่จิ้นยวน มีท่าทางที่ดูธรรมชาติมาก อีกทั้งเวินหนิงเองก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ลู่จิ้นยวนรู้สึกว่าหัวใจของเขานั้นเจ็บปวดมากเสียยิ่งกว่าแขนที่ได้รับบาดเจ็บเสียอีก
เพียงแต่ว่า เขาไม่ได้เบนหน้าหนี แต่กลับมองฉากที่อยู่ตรงหน้านั้นอย่างตั้งใจ
สุดท้ายแล้ว กลายเป็นคนที่พาเขามานั้นเป็นฝ่ายที่ทนดูต่อไปไม่ไหว “นายครับ ถ้าหากว่าท่านทนไม่ไหว ผมเข้าไปจัดการเขาให้เอาไหมครับ”
อยู่กับลู่จิ้นยวนมานานมากเสียขนาดนี้ เขาไม่เคยเลยที่จะเห็นท่าทีเช่นนี้ของลู่จิ้นยวน ราวกับไร้วิญญาณไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น สูญสิ้นไปแล้วซึ่งความรู้สึกอันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังเฉกเช่นคราปกติ
“ช่างมันเถอะ…….”
ลู่จิ้นยวนนิ่งขรึมไปครู่ใหญ่ สุดท้ายแล้วก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันแหบพร่า
ถ้าหากว่าให้เขาเข้าไปจริงๆ ก็กลัวว่าเวินหนิงก็จะปกป้องเหอจื่ออัน
ลู่จิ้นยวนไม่อยากที่จะจ้องดูฉากนี้อีกต่อไป “พวกเรากลับ”
กล่าวจบลู่จิ้นยวนก็หมุนตัว และเหอจื่ออันกับเวินหนิงก็ได้หายลับไปจากการรับรู้ของเขาแล้ว
หรือว่าบางที เขาควรที่จะวางมือจากไปแล้วจริงๆ ถ้าหากว่าเป็นเมื่อก่อน เขาอาจจะไม่สนใจอะไรแล้วพุ่งเข้าไปต่อยกับเหอจื่ออันแล้ว แต่ว่าตอนนี้ เขากลับไม่มีความเชื่อมั่นนั้นเลย
ถ้าถึงตอนนั้นแล้วเขาต้องเห็นเวินหนิงเข้าไปปกป้องเหอจื่ออันต่อหน้าต่อตา เกรงว่าจิตใจของเขาคงจะพังทลายไม่เหลือชิ้นดี
เมื่อเห็นว่าลู่จิ้นยวนยืนหยัดดังว่า ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขับรถพาเขากลับไปส่ง
ทันทีที่ลู่จิ้นยวนกลับมาถึงโรงพยาบาล เย่หวานจิ้งกับหยงซือเหม่ยก็พุ่งเข้ามาหา ตรวจดูเขาแล้วจับเขาหมุนซ้ายหมุนขวาอยู่เป็นเวลานาน “จิ้นยวน ไปที่ไหนมากัน โตเสียขนาดนี้แล้ว ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ ได้รับบาดเจ็บอยู่ แล้วทำไมถึงยังวิ่งวุ่นไปทั่วอยู่อีกล่ะ”
วันนี้เย่หวานจิ้งมาด้วยกันกับหยงซือเหม่ย ซ้ำยังตั้งใจเอาแกงจืดไก่ที่ทำเองกับมือมาด้วย ไม่คิดเลยว่าพอมาถึงโรงพยาบาลก็จะพบเตียงผู้ป่วยที่ว่างเปล่า ให้คนหาที่นี่จนทั่วเสียหนึ่งรอบก็หาไม่เจอว่าอยู่ที่ไหน
ผู้หญิงทั้งสองคนก็รู้สึกสับสนงุนงงไปในทันที นึกคิดว่าลู่จิ้นยวนจะถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่ ตอนนี้ได้เห็นว่าเขากลับมาอย่างปลอดภัย จึงรู้สึกโล่งอกขึ้นมาได้
“มีธุระนิดหน่อย เลยออกไปจัดการ”
น้ำเสียงของลู่จิ้นยวนอ่อนล้าเต็มที เขาในตอนนี้นั้น ไม่มีใจจะรับมือกับใครทั้งนั้นแล้ว
“เรื่องอะไรก็ไม่สำคัญเท่าสุขภาพของลูกนะ ครั้งหน้าไม่ต้องไปคอยวิ่งจัดการแล้วนะ เข้าใจไหม”
เย่หวานจิ้งเองกล่าวสั่งสอนลู่จิ้นยวนไปไม่กี่ประโยค ลู่จิ้นยวนเองก็ไม่ได้มีท่าทีตอบกลับอะไร
ตอนนี้ แม้ว่าตัวเขาจะอยู่ ณ ที่ตรงนั้น แต่ว่าจิตใจของเขาเองก็ไม่รู้ว่าล่องลอยไปไหนแล้ว
ในสมองคอยแต่เล่นภาพเหตุการณ์ที่วันนี้ได้ไปพบเจอมา ทำให้เขาไม่มีอารมณ์ที่จะทำอะไรทั้งนั้น
“จิ้นยวน นี่คือซุปที่ซือเหม่ยตั้งใจทำมาให้ ทำเองกับมือเลยนะ ลูกมาลองชิมดูสิ”
เมื่อเห็นว่าลู่จิ้นยวนไม่สนใจคำสั่งสอนของตน เย่หวานจิ้งก็ถอนหายใจแล้วจำใจต้องเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป
ลู่จิ้นยวนมองดูหยงซือเหม่ยหนึ่งที ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากไล่เธอไปนั้น ก็พลันนึกอะไรขึ้นมาออก
“แม่ ผมมีเรื่องที่อยากจะคุยกับเธอหน่อย”
เย่หวานจิ้งไม่เข้าใจว่ามีเรื่องอะไร แต่ลู่จิ้นยวนอยากที่จะอยู่กับหยงซือเหม่ยสองต่อสอง ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องเลวร้ายอะไร เธอจึงพยักหน้าตกลงไป “โอเค งั้นทั้งสองคนคุยกันไปนะ”
หลังจากที่เย่หวานจิ้งจากไป ในห้องก็เหลือเพียงแค่ลู่จิ้นยวนและหยงซือเหม่ยสองคน
ลู่จิ้นยวนเอามือนวดขมับบริเวณที่รู้สึกปวด น้ำเสียงมีความรู้สึกสับสนที่อธิบายไม่ถูกเจือมาด้วย “เดิมพันของเธอเมื่อคราวแล้ว สรุปยังมีผลอยู่ไหม“
หยงซือเหม่ยนิ่งค้างแข็งไปด้วยความตกใจก่อน จากนั้นต่อมาในทันทีหัวใจก็มีความสุขดีใจจนแทบคลั่ง
เธอนึกว่าลู่จิ้นยวนได้ลืมเรื่องนี้ไปเสียนานแล้ว ไม่คิดเลยว่า เขาจะยังจำมันได้อยู่
“ฉันพูดอะไรก็ต้องรักษาคำพูดมาโดยตลอด ดังนั้น เธออยากจะพนันกับฉันไหม”
แววตาของลู่จิ้นยวนดูหมองหม่น ตามหลักการณ์แล้ว ตัวเลือกนี้ไม่สมเหตุสมผลเลยแม้แต่น้อย มีโอกาสที่จะเป็นกับดักหลุมพรางสูงมาก แต่ใจของเขาก็ได้บอกเขาว่า ให้ลองดูสักครั้ง
อย่างน้อยที่สุด ลองดูว่าในท้ายที่สุดแล้วเวินหนิงจะเป็นคนใจโหดขนาดนั้นหรือไม่ ที่ไม่สนใจห่วงใยเขาเลยแม้แต่น้อย