ทั้งสามเกินเข้าห้องกล้องวงจรไปพร้อมกัน ลู่จิ้นยวนให้คนมาเช็ค ทั้งสามก็นั่งอยู่หน้าจอคนละอัน มองภาพวงจรปิดที่น่าเบื่อพวกนี้ เวินหลานก็เริ่มหมดความอดทนไป แต่ก็มีภาพภาพหนึ่งดึงดูดเธอ
นั่นเป็นภาพที่เธอกำลังคุยกับผู้กำกับโจว เวินหลานก็สะดุ้งตกใจไป กลัวว่ากล้องวงจรปิดนี้จะมีภาพอะไรที่ไม่ควรมี
แต่ยังโชคดีพวกเขายืนอยู่ในมุมกล้องวงจรปิด ไม่ได้เปิดเผยอะไรออกมา เวินหลานก็โล่งอกไป เธอก็เห็นเงาของคนที่คุ้นเคยพอดี
ภาพเหตุการณ์ไม่ได้ยาวมาก แต่ก็ทำให้เธอแน่ใจว่าคนคนนั้นคือใคร
เวินหนิงวิ่งหนีไปจากที่ไม่ห่างมาก แล้วเวลานั้น……เธอก็กำลังพูดอะไรบางอย่างกับผู้กำจัดโจวที่ห้ามให้คนอื่นรู้
เวินหลานก็รู้สึกขนลุก เวินหนิงได้ยินคำพูดที่เธอพูดหรอ?
คิดไปอีกที เหมือนเมื่อกี้เวินหนิงพูดว่า ให้เธอไปเอาอกเอาใจผู้ชาย ตอนนั้นเธอไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่พอมาคิดตอนนี้ มีความหมายแอบแฝงสินะ
พอนึกถึงตอนนี้ เวินหลานก็อดทนไม่ไหว “คุณชายลู่ ฉันบอกแล้วไงคะว่าสร้อยคอของฉันหายในห้องน้ำ คุณเรียกฉันว่าดูกล้องวงจรจำเป็นหรอคะ?”
ลู่จิ้นยวนมองไปที่เธออย่างเยือกเย็น เหมือนกำลังจะมองทะลุใจของเวินหลาน “ดูเหมือนว่าคุณหนูเวินหลานจะแน่ใจมาก? ถ้าคนที่ของหายไปจริงคงจะไม่พูดแบบนี้”
เวินหลานไม่รู้จะเอ่ยพูดอะไร เธอใจร้อนเกินไปก็เลยลืมตัว กำลังจะพูดอะไรอีก ลู่จิ้นยวนก็ลุกขึ้นแล้วใช้ความสูงร้อยแปดสิบกว่าเซนติเมตรก็มองไปที่ผู้หญิงคนนั้น “ถ้าตอนนี้คุณยอมจบเรื่อง ผมก็จะจบ ถ้าไม่งั้น หาสร้อยเจอเมื่อไหร่ ผมก็จะให้เอาไปตรวจเช็คลายนิ้วมือบนนั้น……”
“คุณหนูเวินหลานเป็นคนฉลาด คงรู้ว่าผมกำลังหมายถึงอะไร”
เมื่อเห็นท่าทางผู้ชายที่หนักแน่น เวินหลานเข้าใจแล้ว ครั้งนี้เธอล้มเหลวมาก สร้อยคอนั้นเธอแอบใส่เข้าไปในกระเป๋าเวินหนิงกับมือตัวเอง ถ้าถึงเวลามีแค่รอยนิ้วมือของเธอแล้วหารอยนิ้วมือของหัวขโมยไม่เจอ เรื่องจะเป็นยังไงก็คงไม่ต้องให้พูด
ตอนนี้ภาพลักษณ์ของเธอจะเสื่อมเสียอีกไม่ได้แล้ว
“งั้นก็ช่างเถอะค่ะ อาจจะเป็นแค่การเข้าใจผิด” เวินหลานยิ้มอ่อน “งั้นรบกวนคุณชายลู่ส่งของของฉันคืนให้ฉันด้วยนะคะ”
ลู่จิ้นยวนไม่ได้เอ่ยพูดอะไรแค่มองไปที่เธออย่างนั้น เวินหลานก็ไม่อยากทำให้ตัวเองเสียหน้าอีก ตอนนี้ลู่จิ้นยวนไม่อยากให้เรื่องมันบานปลาย เพราะฉะนั้นเธอก็สามารถใช้ข้ออ้างนี้แล้วจบเรื่องนี้
ต่อกรกับลู่จิ้นยวน เธอยังไม่กล้าขนาดนั้น
หยิบกระเป๋าขึ้น เวินหลานก็มองไปทางเวินหนิงที่ยืนอยู่ข้างๆ จากนั้นค่อยรีบออกไปอย่างร้อนตัว
เมื่อเห็นว่าเวินหลานยอมอ่อนข้อให้ เวินหนิงก็รู้สึกโล่งอกไป ถึงเธอจะบริสุทธิ์ แต่ก็รับมือไม่ไหวกับวิธีการของเวินหลาน ถ้าไม่ใช่เพราะลู่จิ้นยวนมาทันเวลา ตอนนี้เธอก็คง……
“ขอบใจนะ” เวินหนิงเอ่ยพูดกับจากใจจริง “ถ้าไม่ใช่เพราะนาย ตอนนี้ฉันคงแย่ไปแล้ว”
“รู้ก็ดี” ลู่จิ้นยวนก็ไม่เกรงใจแล้วรับคำขอบคุณของเวินหนิงไว้
“งั้นเราไปกันเถอะ” เวินหนิงรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อ ก็เลยลุกขึ้น ใครจะรู้ว่ารองเท้าก็เหยียบกับปากกาที่ตกลงไปที่พื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เวินหนิงใส่ส้นสูงก็รักษาสมดุลยากอยู่แล้ว พอเหยียบโดนอะไรบางอย่างร่างกายก็เอน แล้วก็รู้สึกเจ็บที่ข้อเท้า
ลู่จิ้นยวนยื่นมือไปพยุงตัวเวินหนิงขึ้นแล้วขมวดคิ้ว “เป็นอะไรหรือเปล่า? ทำไมไม่ระวังขนาดนี้?”
เวินหนิงแอบบ่นในใจ ก็นายไม่ใช่หรอที่ให้ฉันใส่ส้นสูงสูงขนาดนี้ คนทั่วไปก็ยังใส่ไม่ได้เลย
“ไม่…ไม่เป็นไร…” เวินหนิงพยายามขยับข้อเท้า แต่ก็รู้สึกเจ็บทันที จนเหงื่อไหลออกจากหน้าผาก ใบหน้าก็ดูซีดไป
“ยังจะอวดเก่งอีก?” ลู่จิ้นยวนเห็นว่าเธอเจ็บจนเสียงสั่น แล้วยังทำตัวไม่เป็นอะไรอีก จากนั้นก็อุ้มเธอขึ้น “กลับตอนนี้แหละ”
“แต่ว่า ธุรกิจของนาย……”
เวินหนิงยังจำได้ว่าครั้งนี้เธอมาทำไม ลู่จิ้นยวนยังมีธุรกิจสำคัญที่ต้องคุย เธอจะทำให้งานของเขาเสียไม่ได้
“ไว้ใจเถอะ ผมรู้ดีว่าควรจะทำยังไง” ลู่จิ้นยวนมองไปที่ผู้หญิงตัวเล็กในอ้อมกอด เธอผอมมาก ถึงแม้จะอุ้มเธออยู่อย่างนี้แต่ก็ไม่รู้สึกหนักอะไร
เวินหนิงเงียบไปสักครู่ ในใจก็รู้สึกอบอุ่น จากนั้นเธอก็คิดอะไรบางอย่างได้ “ถ้าให้คนอื่นเห็น เหมือนจะไม่ค่อยดี ถ้า พวกเขารู้สึกว่าเราเกี่ยวข้องกัน……ฉันลงมาเดินเองดีกว่า”
พูดไปด้วย เวินหนิงก็ผลักหน้าอกของลู่จิ้นยวนแล้วจะลงไปเดินเอง ลู่จิ้นยวนเห็นท่าทางที่เธอกลัวว่าคนอื่นจะเข้าใจผิด ในใจก็รู้สึกโมโห “สภาพเธอตอนนี้ จะเดินยังไง? รอเธอเดินถึง คนก็แยกย้ายกันไปหมดแล้ว”
พูดไปด้วย ก็ไม่สนใจความดิ้นรนอันอ่อนแรงของเธอแล้วเร่งฝีก้าวให้เร็วขึ้น จากนั้นก็เข้าลิฟท์แล้วลงไปที่ลานจอดรถ
ยังโชคดี ระหว่างทางไม่มีใครเห็นพวกเขา เวินหนิงก็รู้สึกโล่งอกไป
ลู่จิ้นยวนเห็นท่าทางเธอกำลังคิดมาก ในใจก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ ตอนอยู่กับคนอื่นไม่เห็นว่าเธอระมัดระวังกลัวว่าคนอื่นจะเห็นเลย
หรือว่าในสายตาเธอเขายังดีไม่พอที่จะเปิดเผย?
“เธอกลัวคนอื่นเห็นว่าเราอยู่ด้วยกันมากเลยหรอ?” ลู่จิ้นยวนสตาร์ทรถยนต์แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
เวินหนิงสังเกตุเห็นอารมณ์ของเขาผิดปกติ เลยไม่รู้จะทำยังไง แต่ว่าก็ตอบไปตามตรง “คุณปู่เคยพูดว่าให้ฉันรักษาความลับไว้ ห้ามให้คนอื่นรู้ว่าฉันเกี่ยวข้องอะไรกับนาย”
สีหน้าของลู่จิ้นยวนที่ย่ำแย่อยู่แล้ว พอได้ยินคำพูดนี้ก็ดีขึ้นไม่น้อย ที่แท้เป็นเพราะคำสั่งของเถ้าแก่ แต่เธอก็เชื่อฟังมาก
“เธอไม่รู้สึกน้อยใจหรอ?”
“ไม่มีอะไรน่าน้อยใจหนิ” เวินหนิงก้มหน้าลงไป สภาพเธอแบบนี้ ตระกูลลู่ไม่อยากจะเกี่ยวข้องอะไรกับเธอก็เป็นเรื่องปกติ แม้แต่พ่อที่เป็นครอบครัวเดียวกันก็ยังรังเกียจเธอ แล้วเธอจะรู้สึกน้อยใจกับเรื่องแบบนี้ได้ยังไง?
ลู่จิ้นยวนเห็นท่าทางที่เรียบนิ่งของเวินหนิง เธอเอ่ยอย่างจริงจัง มองไม่ออกเลยว่ากำลังเสแสร้ง แต่เขาก็มองเห็นความเศร้าที่แฝงมาด้วย
รู้สึกเหมือนมีเข็มมาแทงที่หัวใจจนรู้สึกเจ็บ ลู่จิ้นยวนไม่ได้เอ่ยพูดอะไรอีก แล้วรถก็แล่นออกจากที่จัดงาน จากนั้นก็กลับไปที่บริษัท
แต่ว่าพอรถแล่นไปได้ครึ่งทาง ผู้ชายคนนี้ก็เหยียบเบรคกะทันหัน “เดี๋ยวผมออกไปแป๊บนึง”
เวินหนิงพยักหน้า ผ่านไปไม่นานลู่จิ้นยวนก็กลับมา ในมือก็ถือถุงมาด้วย ในนั้นเป็นยาแก้ปวดบวมต่างๆ
เวินหนิงไม่คิดเลยว่าเขาจะจอดรถแล้วลงไปซื้อยาให้ตัวเอง มองไปมองมา ก็เหม่อไป สายตาของลู่จิ้นยวนมองไปที่ข้อเท้าที่บวมแกงของเธอ
ระหว่างทางเธอ ไม่เอ่ยสักคำ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาแอบเห็นเหงื่อที่บนหน้าของเธอ ก็คงจะลืมเรื่องนี้ไป
“ถอดลงเท้า ทายาก่อน”