ลู่จิ้นยวนนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาไม่ชอบเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานในบริษัทฯ
โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของเขาและหลิวเมิ่งเซวี่ยแบบนี้ด้วย
“ฉันแค่อยากหางานทำ ตอนนั้น คุณ…..รับปากฉันแล้ว”
หลิวเมิ่งเซวี่ยเห็นชายหนุ่มเงียบไป ก็รีบพูดขึ้นอย่างน่าสงสาร
“ฉันรู้แล้ว เดี๋ยวจะให้อันเฉินติดต่อเธอไป” พูดเสร็จลู่จิ้นยวนก็วางสายทันที
เขาไม่ชอบคนพูดอย่างทำอย่างมาแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นลู่จิ้นยวนจึงเรียกอันเฉินเข้ามา “ช่วยไปดูผู้หญิงที่ชื่อหลิวเมิ่งเซวี่ยหน่อย แล้วจัดหาตำแหน่งงานทั่วไปให้เธอทำด้วย”
อันเฉินพยักหน้า ก่อนจะรีบไปจัดการตามที่เขาสั่ง
หลิวเมิ่งเซวี่ยถูกจัดให้ไปเรียนรู้งานอยู่ที่แผนกทรัพยากรบุคคล
………
ช่วงบ่าย เวินหนิงได้นำเอกสารชุดหนึ่งไปส่งที่แผนกบุคคล หลิวเมิ่งเซวี่ยที่กำลังอู้งานอยู่หันมาเห็นเธอเข้า
หลิวเมิ่งเซวี่ยสะดุ้งตกใจ ก่อนจะรอจนเวินหนิงเสร็จธุระ แล้วรีบดึงแขนเวินหนิงไปยันมุมที่ไม่มีใครเห็น
เวินหนิงเองก็รู้สึกประหลาดใจ ช่วงเช้าเธอยังนึกว่าตัวเองตาฝาดอยู่เลย ไม่คิดว่าจะเป็นเธอจริงๆ
“เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” หลิวเมิ่งเซวี่ยรีบถามขึ้นทันที
เธอรู้ตัวดีว่าที่ลู่จิ้นยวนดีกับเธอเป็นพิเศษ ก็เพราะเขาคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีอะไรกับเขาในคืนนั้น
และหลิวเมิ่งเซวี่ยเองก็รู้อยู่แก่ใจว่า ผู้หญิงในวันนั้นคือเวินหนิง
ดังนั้น พอเห็นเธอที่นี่ หลิวเมิ่งเซวี่ยจึงเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาในใจ
เวินเหนิงขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย เธอก็อยู่ที่มาตลอดนะ หลิวเมิ่งเซวี่ยแหละมาทำงานที่บริษัทตระกูลลู่ได้ไง โลกกลมอะไรขนาดนี้
“ฉันก็ทำงานอยู่ที่นี่อยู่แล้ว เธอเพิ่งมาสมัครงานเหรอ?”
หลิวเมิ่งเซวี่ยพยักหน้ารัวๆ ตอนแรกเธอนึกอยากถามเวินหนิงว่ารู้เรื่องที่มีอะไรกับลู่จิ้นยวนมั้ย แต่ก็กลัวว่าจะไปเตือนความทรงจำของเวินหนิงเข้า แล้วจะทำให้ตัวเองต้องตกที่นั่งลำบาก เธอจึงเลือกที่จะปิดปากตัวเองไว้แน่นจนหน้าแดงก่ำ
“ทำไมเหรอ? มีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะ”
เวินหนิงเห็นเธอดูแปลกๆ จึงถามขึ้น
“เธอ……วันนั้นเธอทำอะไรกันแน่? ห้องนั้นถึงได้เละเทะไปหมด ฉันเกือบตายเพราะเธอแล้ว”
พอได้ยินแบบนั้น ใบหน้าเวินหนิงก็ซีดขาวลงทันที ผ่านมานานหลายวันขนาดนี้แล้ว เธอคิดว่าตัวเองได้เลืมเรื่องในวันนั้นไปหมดแล้ว แต่พอถูกถามขึ้นมาแบบนี้ เธอก็รู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
ภาพความทรงจำที่มืดมน ทำให้เธอหายใจอึดอัดขึ้นมา
“เรื่องในวันนั้น มีแค่เธอและฉันที่รู้ อย่าพูดถึงมันอีกเลย!”
หลิวเมิ่งเซวี่ยก็ไม่อยากให้เธอพูดถึงเรื่องนี้อยู่แล้ว จึงรีบพยักหน้าตอบ “งั้นเธอก็ต้องเก็บไว้เป็นความลับด้วยนะ ถ้าคนอื่นรู้เข้า ฉันตายแน่”
เวินหนิงพยักหน้ารับ เธอไม่ได้คิดอะไรมาก แค่รู้สึกว่าหลิวเมิ่งเซวี่ยคงจะกลัว ไม่อย่าให้ตัวเดือดร้อน
พอเวินหนิงรับปาก หลิวเมิ่งเซวี่ยก็สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย ที่สำคัญคือ เธอมั่นใจว่าเวินหนิงไม่รู้ว่าผู้ชายในวันนั้นคือใคร
ถ้าเวินหนิงรู้ว่าคนที่นอนกับเธอวันนั้นคือลู่จิ้นยวน เวินหนิงคงไม่ตื่นตกใจแบบนั้น คงจะดีใจมากว่า เห็นได้ชัดว่าคนที่รู้ความจริงตอนนี้มีแค่เธอคนเดียวเท่านั้น
คิดได้เช่นนั้น หลิวเมิ่งเซวี่ยก็ยิ้มขึ้นอย่างมั่นใจ ผู้หญิงในคืนนั้นไม่ใช่เธอแล้วไง ขอแค่เธอสามารถมีอะไรกับลู่จิ้นยวนได้อีกครั้ง แล้วมีลูกให้เขาสักคน แค่นี้ปัญหาทุกอย่างก็จะหมดไป
………
หลังจากที่เวินหนิงมาบริษัทฯติดต่อกันอยู่หลายวัน เธอก็เริ่มจะทนไม่ไหว
ลู่จิ้นยวนบอกให้เธอกลับมาส่งมอบงานให้เสร็จ แต่เธอแทบไม่ได้ส่งมอบงานอะไรเลย เธอยังคงทำงานที่ไม่ได้สำคัญอะไรเหมือนเดิมทุกวัน
ถึงแม้ว่าเธอยังได้รับเงินเดือนครบถ้วน แต่ให้เธออยู่กับคนอย่างลู่จิ้นยวนที่เหมือนระเบิดเวลาแบบนี้ เธอไม่สบายใจเลยซะนิด
“ลู่จิ้นยวน ฉันจะลาออกจากบริษัทฯได้เมื่อไหร่?”
เวินหนิงอดไม่ได้ที่ถามขึ้นอีกครั้ง ขณะที่ชงกาแฟเข้ามาให้เขา
“อยากไปมากขนาดนั้นเลยเหรอ?” ลู่จิ้นยวนค่อยๆดื่มกาแฟที่เธอชงให้ ดวงตาเข้มขึ้นเล็กน้อย
ให้เธอไปอยู่กับไอ้เหอจื่ออันอย่างมีความสุขเหรอ? เขาไม่ได้โง่ขนาดนั้น เพราะฉะนั้นไม่ว่าเธอจะพูดอะไร เขาก็จะไม่มีวันปล่อยเธอไป
“ฉันอยู่ที่นี่มันมีความหมายอะไรเหรอ? คุณเห็นหน้าฉันแล้วไม่รู้สึกรำคาญใจเลยหรือไง?” เวินหนิงเหนื่ยอหน่ายถึงขีดสุด
ทั้งๆที่ลู่จิ้นยวนเกลียดเธอมาก ยิ่งเกลียดลูกในท้องเธอมากกว่า ต่อไปถ้าลูกเธอโตขึ้นจะยิ่งดูออกมากขึ้น ใครจะไปรู้ว่าตอนนั้นเขาจะเป็นยังไง?
“ฉันบอกแล้วว่า ให้เธอกลับมาส่งมอบงานจนกว่าฉันจะพอใจ เธอถึงจะไปได้? หรือเธออยากให้ในประวัติการทำงานเธอมีข้อความว่าไม่มีความรับผิดชอบในหน้าที่เพิ่มขึ้นมา?”
ได้ยินเขาพูดแบบนั้นแล้ว เวินหนิงก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อ เธอจึงจำต้องเดินออกไปอย่างคับแค้นในใจ
………
หลิวเมิ่งเซวี่ยถือเอกสารชุดหนึ่งเดินออกมาจากลิฟต์อย่างเก็บอาการดีใจไม่อยู่
เธอเข้ามาทำงานในบริษัทตระกูลลู่พักหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังหาโอกาสเข้าใกล้ลู่จิ้นยวนไม่ได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เธอจะสานสัมพันธ์กับเขา
วันนี้แผนกบุคคลต้องส่งเอกสารขึ้นมาด้านบน มันเป็นโอกาสที่หาได้ยาก ที่เธอจะได้เจอหน้าลู่จิ้นยวนอีกครั้ง เธอจึงรีบอาสารับงานนี้ไว้ทันที
ครั้งนี้ ต้องทำให้สำเสร็จให้ได้
“เวินหนิง ทำไมเธอมาอยู่บนนี้ล่ะ?” เธอเห็นเวินหนิงแล้วเกิดลางสังหรณ์บางอย่างขึ้นในใจ
ชั้นบนสุด เป็นพื้นที่ส่วนตัวของลู่จิ้นยวน ปกติแล้วจะไม่มีใครขึ้นมา
“ฉันมาทำความสะอาด”
เวินหนิงพูดขึ้น หลิวเมิ่งเซวี่ยปรายตามองไม้กวาดในมือเธออย่างดูถูกในใจ
ที่แท้ก็เป็นพนักงานทำความสะอาดนี่เอง ถึงว่าทำอะไรก็ดูแปลกไปหมด
“ท่านประธานลู่อยู่มั้ย? ฉันมีเอกสารจะให้เขา”
เวินหนิงชี้ไปทรงห้องทำงานของเขา หลิวเมิ่งเซวี่ยพูดขอบคุณเธออย่างเย่อหยิ่ง ก่อนจะเดินสะบัดสะโพกเข้าไปทันที
เวินหนิงมองดูการแต่งตัวเธอแล้วก็ขมวดคิ้วสงสัยเล็กน้อย หรือว่าเธอตั้งใจแต่งตัวแบบนี้เพื่อยั่วยวนลู่จิ้นยวน?
ในบริษัทตระกูลลู่ มีแต่คนอยากมีรักโรแมนติกกับลู่จิ้นยวนสักครั้งทั้งนั้น แต่ยังไม่เคยมีใครกล้าออกนอกหน้าขนาดนี้สักคน
ด้วยนิสัยของลู่จิ้นยวนแล้ว ไม่พอใจขึ้น มีแต่ตาย
เห็นแก่เธอที่รู้จักกัน เวินหนิงจึงรีบตามไป เพื่อจะเตือนเธออย่าหาเรื่องใส่ตัว แต่ก็ไม่ทันซะแล้ว พอตามไปถึง หลิวเมิ่งเซวี่ยก็เดินเข้าไปในห้องทำงานของลู่จิ้นยวนเรียบร้อย
หลิวเมิ่งเซวี่ยเดินผ่านประตูเข้ามา ก็เห็นชายหนุ่มนั่งพิงพนักเก้าอี้หลับตาขึงขมับอยู่
ต่อให้มือจะบังใบหน้าไปมากกว่าครึ่ง ลู่จิ้นยวนก็ยังคงดูดีมีเสน่ห์ดึงดูดหญิงสาวมากมายไม่น้อยลงเลย โดยเฉพาะเวลาที่เขาขมวดคิ้วนิดๆแบบนี้ มันทำให้เขาดูเย็นชาน้อยลง ดูอ่อนโยนมากขึ้น
หลิวเมิ่งเซวี่ยค่อยๆเดินเข้าไปหา แล้วยกมือขึ้นนวดขมับให้เขา
หลิวเมิ่งเซวี่ยเคยเรียนนวดมาบ้าง จึงลงแรงได้พอดี ทำให้อาการปวดหัวของลู่จิ้นยวนที่เกิดจากความตึงเครียดจากการทำงานลดน้อยลง
เวินหนิงเห็นภาพความสนิทแนบชิดแบบนั้นแล้ว ในใจก็เกิดความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกขึ้นมา
ที่แท้ลู่จิ้นยวนก็ชอบผู้หญิงแบบนี้ ผู้หญิงที่พูดจาอ่อนหวาน รู้จักเอาอกเอาใจ
เวินหนิงรู้สึกถึงความไม่พอใจที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นในใจ ก่อนจะรีบสะบัดหัวเล็กน้อย ดูแล้วหลิวเมิ่งเซวี่ยก็เก่งไม่เบา เธอคงไม่ต้องเป็นห่วงอะไรแล้ว
มีคนที่ช่างเอาอกเอาใจแบบนี้อยู่ด้วย ไม่แน่ลู่จิ้นยวนก็คงปล่อยเธอไป
คิดได้ดังนั้น เวินหนิงจึงหันหลังและเดินออกไป