เวินหนิงสะดุ้งตกใจเล็กน้อย ที่หลิวเมิ่งเซวี่ยพูดแบบนั้น เธอรีบมองไปรอบๆ
ยังดีที่บริเวณที่เธอนั่งอยู่ไม่มีใครอื่น ไม่งั้นเรื่องแบบนี้ใครได้ยินเข้า คงเอาไปนินทาจนไปถึงไหนต่อไหนแน่
“เรื่องแบบนี้ เธอพูดกับฉันได้ไม่เป็นไร แต่ถ้าไปพูดกับคนอื่น เขาจะคิดยังไงกัน?”
เวินหนิงส่ายหน้าไปมา เธอแค่รู้สึกว่าหลิวเมิ่งเซวี่ยยังเป็นแค่นักศึกษา แล้วมามีเรื่องความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหัวหน้าในที่ทำงานแบบนี้มันจะดูไม่ดี
“อืม ฉันรู้แล้ว” หลิวเมิ่งเซวี่ยไม่คิดแบบนั้น “แล้วตกลงเธอจะช่วยฉันมั้ย?”
เธอมาทำงานที่บริษัทตระกูลลู่ ไม่ใช่เพราะอยากเป็นหญิงเก่ง เธอแค่อยากหาโอกาสเข้าใกล้ลู่จิ้นยวน หาทางให้ตัวเองได้เป็นคุณนายผู้หญิงไวๆ
“ถือว่าฉันเตือนแล้วกัน คนอย่างเขาไม่ใช่คนที่เราจะเอื้อมถึง ถ้าเธอฉลาดีมากพอ ก็รีบเลิกล้มความคิดนี้ซะ อย่าไปคิดเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้เลย”
เห็นแก่ที่เคยรู้จักกัน เวินหนิงจึงได้พูดเตือนเธออีกครั้ง
บทเรียนจากเซี่ยเหลียนก็มีให้เห็นอยู่ เวินหนิงไม่อยากเห็นหลิวเมิ่งเซวี่ยเป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ
“ไม่ช่วยก็ไม่ช่วย จะมาพูดแบบนี้ทำไม”
หลิวเมิ่งเซวี่ยรู้สึกเคืองเล็กน้อย เวินหนิงคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงมาทำเป็นสั่งสอนเธอแบบนี้ คงอยากบอกเธอว่าคนต่ำต้อยอย่างเธออย่าไปหวังสูงเหรอ?”
เธอไม่เชื่อหรอก เธอเชื่อแค่ว่าความสำเร็จใดๆย่อมขึ้นอยู่ที่คนทำ
ยิ่งรู้ว่าผู้หญิงที่มีอะไรกับลู่จิ้นยวนคือเวินหนิงแล้ว หลิวเมิ่งเซวี่ยยิ่งมองเวินหนิงเป็นคู่แข่งทางหัวใจ
“ถือเสียว่าฉันไม่ได้พูดอะไรแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะหาวิธีเอง”
หลิวเมิ่งเซวี่ยหมดอารมณ์ที่จะนั่งต่อแล้ว เธอถือจานข้าวเดินออกไปทันที
เวินหนิงมองหลังไวๆของเธอที่เดินจากไป ก่อนจะส่ายหน้าอย่างหน่ายใจ
ทำไมผู้หญิงพวกนี้ถึงได้เป็นแบบนี้นะ เธอเตือนด้วยความหวังดีแท้ๆ ยังมาแว้งกัดเธออีก จนใจจริงๆ
……..
หลิวเมิ่งเซวี่ยหาโอกาสได้ในที่สุด
ลิฟต์VIPที่ลู่จิ้นยวนใช้ บางครั้งด้านในจะมีแค่เขาคนเดียว กว่าลิฟต์จะขึ้นถึงชั้นบนสุดก็ใช้เวลาประมาณสิบนาที
ถึงแม้จะไม่ใช่เวลาที่นานนัก แต่ก็ดีกว่าไม่มีโอกาสเลย
วันนี้ขณะที่ลู่จิ้นยวนกำลังกดลิฟต์ชั้นล่าง หลิวเมิ่งเซวี่ยก็แทรกตัวเข้ามาด้วยสีหน้าเกรงใจ “ขอโทษค่ะประธานลู่ ลิฟต์ฝั่งโน้นคนเยอะเกินไป ไม่ทราบว่าฉันจะขอขึ้นลิฟต์ส่วนตัวของคุณไปด้วยได้มั้ยคะ พอดีมีงานด่วนค่ะ”
ลู่จิ้นยวนปรายตามองเธออย่างเย็นชา โดยไม่ได้พูออะไร หลิวเมิ่งเซวี่ยเห็นว่าเขาไม่ได้ว่าอะไรจึงเดินเข้าไปในลิฟต์ทันที
ในขณะที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิดลง ลู่จิ้นยวนก็เอามือกั้นประตูไว้ เขาเห็นเวินหนิงเดินมาพอดีจึงพูดขึ้น “เข้ามา”
หลิวเมิ่งเซวี่ยมองเวินหนิง แล้วมองการกระทำเขาลู่จิ้นยวน ในใจรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่า ลู่จิ้นยวนดีกับเวินหนิงมากกว่าเธอ เขายังเป็นฝ่ายเรียกเวินหนิงเองด้วย
ปกติเวินหนิงก็ขึ้นลิฟต์พนักงานอยู่แล้ว เธอเองก็ไม่อยากทำตัวมีสิทธิ์พิเศษอะไร จึงส่ายหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่มีงานด่วนอะไร รอขึ้นลิฟต์ฝั่งนี้ได้ค่ะ”
“ให้เธอเข้ามาไม่ได้ยินหรือไง หรือจะขัดคำสั่งนายจ้าง?”
ลู่จิ้นยวนสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา เวินหนิงจึงจำต้องเดินเข้าไป พอเห็นหลิวเมิ่งเซวี่ยยืนทำหน้าไม่พอใจอยู่ข้างๆ ก็พาให้เธอรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที
เธอแค่เดินผ่านมา ไม่ได้มีเจตนาจะมาเป็นก้างขวางคอของใครซะนิด
อีกอย่าง เป็นคำสั่งของลู่จิ้นยวนด้วย จะให้เธอเดินออกไปก็ไม่ได้ จึงจำใจต้องไปยืนอยู่ตรงมุมลิฟต์
เวินหนิงภาวนาในใจ ขอให้สองคนนี้อย่าสนใจเธอเลย เธอก็แค่คนเดินผ่านมา
ลิฟต์ค่อยๆขยับตัวขึ้น หลิวเมิ่งเซวี่ยรีบปรับอารมณ์ให้เข้าที่ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลกับลู่จิ้นยวน “ประธานลู่คะ ครั้งก่อนที่ห้องทำงานเห็นคุณมีอาการปวดหัว คือที่บ้านฉันมีวิธีการรักษาแบบโบราณค่ะ เห็นว่าใช้ได้ผลกับอาการแบบนี้มาก ไว้ครั้งหน้าให้ฉัน…….”
“ไม่ต้อง ไม่จำเป็น” ลู่จิ้นยวนพูดขัดขึ้นอย่างไม่ไว้หน้า “ฉันไม่เชื่อเรื่องอะไรที่ไม่มีวิทยาศาสตร์รองรับ”
หลิวเมิ่งเซวี่ยรู้สึกหน้าเสียจนวางตัวไม่ถูก
เวินหนิงที่ดูเหตุการณ์อยู่ข้างๆนึกตำหนิเขาในใจ ลู่จิ้นยวนนี่อารมณ์แปรปรวนหนักมาก ครั้งก่อนยังเห็นยอมให้หลิวเมิ่งเซวี่ยนวดให้อย่างเพลิดเพลินใจอยู่เลย มาวันนี้ทำเป็นจำไม่ได้ซะงั้น
“ฉันแค่เป็นห่วงสุขภาพของประธานลู่ค่ะ เพราะคุณเป็นเสาหลักของบริษัทฯ หากเป็นอะไรไป พวกเราก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อ”
ถึงแม้หลิวเมิ่งเซวี่ยจะเสียความมั่นใจไปบ้าง แต่ก็ยังไม่ย่อท้อเธอยังคงพูดจาหวานหยดย้อยกับเขาต่อ
จนเวินหนิงเองที่ฟังอยู่ยังรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว ที่แท้หลิวเมิ่งเซวี่ยมาทำงานที่นี่ไม่ใช่เพราะเงิน แต่เพราะอยากได้ลู่จิ้นยวนนี่เอง ไม่เหมือนกับเธอเลย ขอแค่เงินเดือนสูง อยู่ไหนก็เหมือนกัน แล้วถ้าไม่มีลู่จิ้นยวนได้จะยิ่งดี
“ไม่รู้จะทำยังไงต่อ นั้นแสดงว่าเธอไม่มีการวางแผนการทำงาน ไม่มีความกระตือรือร้น และไม่พยายามมากพอ บริษัทตระกูลลู่ไม่เลี้ยงคนขี้เกียจ เข้าใจไว้ด้วย”
ลู่จิ้นยวนไม่มีอารมณ์จะมาฟังคำยกยอแบบนี้ นี่ถ้าหลิวเมิ่งเซวี่ยไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น เขาคงจะเปิดประตูลิฟต์แล้วโยนเธอออกไปนานแล้ว
“ประธานลู่…..”
หลิวเมิ่งเซวี่ยถูกเขาพูดใส่อย่างไม่ไว้หน้าถึงสองครั้งสองครา จนเธอหน้าเสียไปหลายหน แต่ก่อนที่จะทันได้พูดอะไรต่อ ไฟในลิฟต์ก็กระพริบหลับๆติดๆขึ้น
ตามมาด้วยเสียงเสียดสีของโลหะอย่างรุนแรง ลิฟต์ที่เลื่อนขึ้นอย่างนิ่มนวลก็หยุดชะงักลง ไฟในห้องลิฟต์ก็ดับมืดลง
พื้นที่แคบๆในลิฟต์มืดสนิท
หลิวเมิ่งเซวี่ยร้องกรี๊ดขึ้น “กรี๊ด!”
สิ่งที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้เวินหนิงตกใจอยู่ไม่น้อย เธออดไม่ได้ที่เอามือวางบนท้องน้อย เพื่อบอกลูกน้อยในครรภ์ว่าไม่ต้องกลัว
“เวินหนิง เธอเป็นยังไงบ้าง?”
ลู่จิ้นยวนไม่มีอาการตกใจแต่อย่างใด ขณะที่ขมวดคิ้วดูอาการของลิฟต์ที่ขัดข้อง ก่อนจะกดปุ่มพูด ก็ถามหาเวินหนิงอย่างไม่รู้ตัว
“ฉัน…..ไม่เป็นไร ”
เวินหนิงรู้สึกประหลาดใจที่เขาถามถึงเธอก่อน แต่ก็รีบตอบกลับทันที
หลิวเมิ่งเซวี่ยฟังสองคนนั้นโต้ตอบกันแล้วก็กำมือเข้าหากันแน่น เธอก็ติดอยู่ในลิฟต์เหมือนกัน เธอก็เป็นผู้หญิง และรู้สึกกลัวเหมือนกัน ทำไมลู่จิ้นยวนถึงไม่ถามถึงเธอซะคำ?”
หรือว่า ลู่จิ้นยวนจะรู้สึกชอบเวินหนิงอยู่?
นึกถึงความเป็นไปได้ข้อนี้แล้ว หลิวเมิ่งเซวี่ยก็ลืมเรื่องที่กำลังติดอยู่ในลิฟต์ไปชั่วขณะ
ตอนนี้ลู่จิ้นยวนยังไม่รู้ความจริง ยังใส่ใจดูแลเวินหนิงแบบนี้ แล้วถ้าเขาเกิดรู้ความจริงขึ้นมา เธอจะเหลือโอกาสอะไร?