ช่วงที่ไปฉิ่งอานตามธรรมเนียมปฏิบัติ เมื่อหลินหลันพบหมิงจู นางยังคงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องราว ส่วนทางด้านหลี่หมิงจูที่ยังคงหงุดหงิดจากเรื่องเมื่อวานไม่หาย จึงเอาแต่มองบนใส่หรือไม่ก็ชักสีหน้าเย็นชาเมื่อเห็นหลินหลัน
หรูอี้เข้ามากล่าวรายงานหลังจากกลับมาจากจวนหลิน “วันก่อนที่ตระกูลหลินมีงานเลี้ยงพบปะสังสรรค์ เดิมอยากเรียนเชิญเอ้อร์เส้าหน่ายนายไปแนะนำให้ทุกคนได้ทำความรู้จักสนิทสนมกัน ผลปรากฏว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายมิได้ไป จึงมีบางท่านทีรู้สึกไม่พึงพอใจขึ้นมาเสียแล้ว หลินฮูหยินจึงทำได้เพียงสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อช่วยแก้ต่างให้เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ข้าน้อยได้อธิบายกับหลินฮูหยินไปแล้วเจ้าค่ะ หลินฮูหยินเอ่ยว่า ไว้ค่อยนัดเอ้อร์เส้าหน่ายนายอีกทีในคราหน้าและจะต้องกำชับคนนำบัตรเชิญไปให้ว่าต้องส่งมอบกับมือของเอ้อร์เส้าหน่ายนายเท่านั้นเจ้าค่ะ”
หยินหลิ่วเมื่อได้ยินดังกล่าวก็รู้สึกโกรธเกรี้ยวขึ้นมาเช่นกัน “บัตรเชิญของเอ้อร์เส้าหน่ายนายนางก็ยังบังอาจยึดเอาไปเสียได้”
อวี้หลงแสยะยิ้มแล้วกล่าวขึ้น “ถึงตอนนั้นนางคงต้องพูดว่านางลืมไปแล้วอย่างแน่นอน”
หลินหลันกล่าวอย่างไม่แยแส “นางตั้งใจทำเช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน ลืมแล้วก็ช่างปะไร ข้าจะทำให้นางจดจำบทเรียนนี้จดมิอาจลืมไปเลย”
ช่วงค่ำหลี่หมิงอวินเล่าสถานการณ์ในวันนี้ให้ฟังโดยเอ่ยว่าโชคดีที่ท่านพ่อยังไม่ออกหน้า สามสี่คนก่อนที่ยกมือให้องค์ชายสามต่างถูกฮ่องเต้ตำหนิอย่างหนักไปชุดใหญ่
“หมายความว่า เรื่องให้องค์ชายสี่โยกย้ายไปกรมกลาโหมกำหนดเป็นที่เรียบร้อยแล้วหรือ” หลินหลันเอ่ยถาม
“ฮ่องเต้ทรงประกาศพระราชโองการเรียบร้อยแล้ว” หลี่หมิงอวินเผยสีหน้าโล่งอก
หลินหลันเองก็สบายใจขึ้นมาไม่น้อย เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว คืนนี้จะได้จัดการหลี่หมิงจูให้เต็มเหนี่ยว
หลินหลันนำเรื่องราวที่หมิงจูยึดบัตรเชิญจากจวนท่านแม่ทัพฮ๋วยหยวนบอกเล่าให้หลี่หมิงอวินรับสดับรับฟัง
“อีกประเดี๋ยวเจ้าช่วยร่วมมือกับข้าหน่อยนะ” หลินหลันกำชับ
รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นบนกลีบปากของหลี่หมิงอวิน “ความใจกล้าของนางนี้นับวันยิ่งกำเริบเสิบสาน”
ทั้งสองปรึกษาหารือกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงไปยังโถงจาวฮุย
หลี่หมิงอวินเข้าไปยังโถงจาวฮุยพร้อมกับแสดงสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย ส่วนหลินหลันซึ่งเดินตามหลังมาติดๆ เผยสีหน้าเศร้าเสียใจ
คนข้างๆ ที่มองเห็น จึงพากันคิดว่าหลินหลันคงทำเรื่องอันใดที่ส่งผลให้หลี่หมิงอวินรู้สึกโกรธอย่างมากเข้าแล้ว
ฮานชิวเยว่เก็บความนึกคิดหัวเราะเยาะเอาไว้แล้วเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พวกเจ้าสองคนเป็นไรไปหรือ”
หลินหลันชายตามองหมิงอวินอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วก้มหน้าลงไปดั่งเดิมอย่างรวดเร็วก่อนจะกล่าวขึ้นเบาๆ “ไม่…ไม่มีอันใดเจ้าคะ”
ด้วยท่าทางเช่นนี้ยิ่งทำให้ฮานชิวเยว่คาดเดาไปว่าต้องเกิดเรื่องอันใดขึ้นแล้วอย่างแน่นอน
หญิงชราเดิมทีที่รู้สึกสุขสำราญใจดีไม่น้อย และอีกไม่นานก็จะถึงเทศกาลปีใหม่แล้ว ทว่าหลี่หมิงอวินกลับปั้นหน้าเย็นชานั่งอยู่ตรงนี้ ทำให้ผู้ที่มองเห็นต่างรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาทันที
“หมิงอวิน เจ้าไปโกรธเคืองผู้ใดมาหรือ”
หลี่หมิงอวินยังคงปั้นหน้าเคร่งขรึมดั่งเดิม
หลินหลันรีบกล่าวอธิบาย “ท่านย่า ไม่มีอันใดจริงๆ เจ้าค่ะ”
หญิงชรามีสีหน้าที่เปลี่ยนไปจากเดิมทันที “มิได้ถามเจ้า”
หลินหลันสงบปากสงบคำอย่างรวดเร็ว
หลี่จิ้งเสียนที่เอาจิตใจไปจดจ่ออยู่กับงานตลอดเวลาคิดว่าหมิงอวินคงกำลังหงุดหงิดกับเรื่องเดียวกับที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่จึงกล่าวกับหลี่หมิงอวินด้วยเสียงอ่อน “มีเรื่องอันใดเดี๋ยวไว้ค่อยไปคุยกันที่ห้องหนังสือ อย่าทำให้ท่านย่าเป็นกังวลไป”
หลี่หมิงอวินพยักหน้าเล็กน้อย
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะสดใสปานกระดิ่งก็ดังขึ้นและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หลี่หมิงจูมาถึงแล้ว
หลี่หมิงจูอยู่ในชุดกระโปรงเข้ารูปสีแดงซึ่งประดับชายชุดด้วยขนสุนัขจิ้งจอกสีขาว นางเดินเข้ามาแล้วมุ่งตรงไปคารวะหญิงชรา แล้วจึงหันไปคารวะพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายและแม่มดชรา ภายใต้รอยยิ้มอันงดงามและน้ำเสียงหวานหยดย้อย
ฮานชิวเยว่จ้องมองบุตรสาวด้วยนัยน์ตาอ่อนโยน “เจ้าก็มาด้วยหรือ” นางกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล
ดวงตาคู่กลมโตอันสวยงามของหมิงจูกระพริบปริบๆ กล่าวออกไปด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “มิใช่ท่านป้าให้ข้ามาหรือเจ้าคะ”
ฮานชิวเยว่ตกตะลึง นางเรียกหมิงจูตั้งแต่เมื่อใดกัน
“ข้าให้นางมาเอง” หลี่หมิงอวินเอ่ยปากขึ้นภายใต้ท่าทีเคร่งขรึม
“หมิงอวิน..” หลินหลันทำทีจะรั้งหลี่หมิงอวินเอาไว้
ฮานชิวเยว่รู้สึกใจเสียขึ้นมาทันที ลางสังหรณ์ไม่ดีอันแรงกล้ากำลังปะทุขึ้น นางหันไปมองสีหน้าของหมิงจูที่กำลังลุกลี้ลุกลน
หญิงชราพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกัน คงเป็นหมิงจูเด็กสาวผู้นี้ที่ทำให้หมิงอวินไม่พึงพอใจเข้าเสียแล้ว
“เจ้าบอกมาทีสิ เหตุใดเจ้าถึงยึดบัตรเชิญของพี่สะใภ้เจ้าที่ท่านแม่ทัพฮ๋วยหยวนส่งมาให้” หลี่หมิงอวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“หมิงอวิน ช่างเถอะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ข้าคิดว่าหมิงจูคงมิได้ตั้งใจหรอก” หลินหลันแสร้งทำที่เป็นผู้อ่อนแอ แน่นอนว่าเป็นการทำเพื่อให้พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายและหญิงชราดูนั่นเอง
หมิงจูแสร้งทำทีตื่นตกใจ “ไอ้หย่า ขอโทษทีนะเจ้าคะ เดิมทีข้าอยากนำไปมอบให้พี่สะใภ้ด้วยตนเอง แต่ดัน…ลืมเสียแล้ว”
หลี่หมิงอวินแสยะยิ้ม “พี่สะใภ้เจ้าเข้ามาอยู่ในบ้านนานเนขนาดนี้แล้ว แต่มิเคยเห็นเจ้าเหยียบพ้นประตูเรือนหลั้วเซี๋ยจายเข้ามาเลยสักครั้ง แล้วจะมีน้ำใจถึงขั้นต้องการส่งบัตรเชิญให้พี่สะใภ้รองของเจ้าเชียวหรือนี่”
ฮานชิวเยว่รู้สึกเดือดดาลขึ้นมาทันที นังลูกสาวคนนี้ไม่เคยเบาแรงกันบ้างเลย อยู่กันดีๆ ก็ไปหาเรื่องสองคนนั้นทำบ้าอันใด ยังไม่เข็ดราบพออีกหรือ
“หมิงจู เจ้าก็เป็นจริง ความจำสั้นอะไรถึงเพียงนี้” ฮานชิวเยว่กล่าวตำหนิ
หมิงจูเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “ข้ามิได้ตั้งใจจริงๆ เจ้าค่ะ”
หลี่หมิงอวินเผยให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่ายๆ “เจ้ามิได้ตั้งใจ เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าเจ้าหาปัญหาอันใหญ่หลวงมาให้พี่สะใภ้ของเจ้าและข้ามากมายเพียงใด”
ฮานชิวเยว่ได้ยินหลี่หมิงอวินโวยวายชุดใหญ่จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากปกป้อง “ก็แค่บัตรเชิญใบเดียวมิใช่หรือ หมิงจูก็หาได้ตั้งใจไม่ หมิงอวิน เจ้าเป็นถึงพี่ชาย ก็ควรยอมๆ น้องสักหน่อย อย่าได้ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลย”
หมิงจูได้รับการปกป้องของผู้เป็นแม่จึงหันไปมองค้อนใส่หลินหลัน ราวกับกำลังพูดว่า ข้าจงใจแล้วเจ้าจะทำอันใดข้าได้หรือ
หลี่หมิงอวินมองข้ามแม่มดชราไปหน้าตาเฉย โดยหันไปพูดกับผู้เป็นบิดา “ท่านพ่อขอรับ ท่านแม่ทัพฮ๋วยหยวนเป็นผู้จัดงานเลี้ยงโดยเรียนเชิญท่านแม่ทัพในเมืองหลวงจำนวนมากมาเข้าร่วมและตั้งใจเรียนเชิญหลินหลันไปร่วมด้วยเป็นการพิเศษ ผลปรากฏว่าหลินหลันไม่รับรู้เรื่องนี้ จึงมิได้ไปร่วมงานเลี้ยงด้วย ท่านพ่อขอรับ ความร้ายแรงของเรื่องนี้ ท่านคงเข้าใจเป็นอย่างดีนะขอรับ”
สีหน้าของหลี่จิ้งเสียนเปลี่ยนไปทันใด แน่นอนว่าเขาเข้าใจเป็นอย่างดี หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่ชอบใจที่จะให้หลินหลันไปที่นั่น ทว่าหลังจากฮ่องเต้อ่านพระราชโองการออกมาแล้วนั้น เขาเริ่มมีความรู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่ลึกๆ เสียแล้ว ดังนั้นทั้งหมดทั้งมวลที่เขายืนหยัดข้างองค์รัชทายาท เป็นเพราะฮ่องเต้มีใจเอนเอียงไปทางองค์รัชทายาท ซึ่งในวันข้างหน้าองค์รัชทายาทจึงมีโอกาสอย่างสูงที่จะได้สืบทอดบัลลังค์ต่อ ทว่าในตอนนี้ ความมั่นใจนี้เริ่มมะลายลงไปเรื่อยๆ เสียแล้ว ทันทีที่องค์ชายสี่ควบคุมกรมกลาโหมก็จะมีอำนาจเทียบเท่ากับองค์รัชทายาท หลินหลันดันทำให้แม่ทัพเหล่านั้นไม่พึงพอใจในช่วงเวลาเช่นนี้ หากถูกคนไม่ประสงค์ดีถือโอกาสนี้ไปเติมแต่งให้เลวร้ายจนกลายเป็นว่านี่คือท่าทีของตระกูลหลี่ นั่นคงส่งผลร้ายต่อตระกูลหลี่อย่างมาก
หลี่จิ้งเสียนยิ่งคิดยิ่งเดือดดาล จากเดิมทีก็อารมณ์เสียอยู่แล้ว เวลานี้อารมณ์โกรธเกรี้ยวทั้งหมดจึงถาโถมไปที่หมิงจูโดยกรนตำหนิออกไปอย่างรุนแรง “เจ้ามันโง่เขลา เป็นเด็กเป็นเล็กแต่กลับเต็มไปด้วยความนึกคิดคดโกงต่ำทราม ส่งกลับบ้านไปให้เร็วที่สุดก่อนที่จะสร้างความหายนะให้บ้านนี้”
ฮานชิวเยว่และหลี่หมิงจูต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยคาดไม่ถึงว่าหลี่จิ้งเสียนจะโมโหรุนแรงถึงเพียงนี้