เห็นหลินหลันไม่มีท่าทีสะทกสะท้านและเดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด ทันใดนั้นหญิงชราก็เกิดความรู้สึกต่างๆ นานาประดังงาเข้ามาจนท่วมท้นแต่ไร้เรี่ยวแรงในการแสดงออก นางรู้ดีว่าคำพูดของตนเองเป็นไปอย่างลำเอียง นางจึงเริ่มรู้สึกสูญเสียความมั่นใจที่ถูกหลินหลันจับข้อบกพร่องจนได้ หากหลินหลันพ่นคำพูดไร้มารยาทออกมาอีกสักนิด นางคงสามารถเอาผิดนางว่าเป็นคนอกตัญญูและไม่รู้จักเคารพผู้สูงอายุได้อย่างไรข้อสงสัย ทว่าหลินหลันกลับเจ้าเล่ห์เกินไปจนกลายเป็นนางที่ได้เปรียบ
แม่จู้ไม่เคยเห็นนายหญิงชราพ่ายแพ้อย่างราบคราบเช่นนี้มาก่อน นายหญิงชราเป็นเป็นไม้แข็งมาทั้งชีวิต บุตรชายของนายหญิงชราแต่ละท่านต่างไม่กล้าต่อปากต่อคำต่อหน้าเช่นนี้ ทว่าวันนี้กลับถูกนายหญิงน้อยสะใภ้รองตอกกลับเสียหน้าง่าย นายหญิงน้อยนับว่าใจกล้าเสียจริง ไม่เกรงกลัวเลยหรือว่าหญิงชราจะโกรธจนล้มหมอนนอนเสื่อไปอีก ทว่าเมื่อลองนึกย้อนกลับไป เรื่องราวในวันนี้นายหญิงน้อยหาได้กระทำความผิดใดไม่ แต่ก็โดนตำหนิขึ้นมาโดยไร้เหตุผลไปเช่นนี้เสียได้ คนทั้งคนจะไม่รู้สึกรู้สาก็คงมิใช่ ลึกๆ แล้วแม่จู้จึงคิดว่าเรื่องนี้เป็นนายหญิงชราที่เลอะเลือนไปเสียแล้ว
หนึ่งหญิงชราหนึ่งสาววัยละอ่อนต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน เจ้าจ้องข้า ข้าจ้องเจ้า หนึ่งคนเผยสีหน้าขุ่นเคือง อีกหนึ่งคนดูสงบนิ่งเยือกเย็น ภายใต้สถานการณ์เผชิญหน้ากันอย่างเงียบๆ
หลินหลันตระหนักว่าการอดทนมีแต่จะทำให้ผู้อื่นคิดว่าเจ้าง่ายต่อการรังแก นางแตกต่างจากติงหลั้วเหยียน ที่เมื่อเกิดเรื่องก็ยังมีมารดาซึ่งปากคอเราะร้ายคอยให้การปกป้อง มีบิดาที่เป็นขุนนางซึ่งสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ส่วนนางทำได้เพียงพึ่งพาตนเองเท่านั้น หญิงชราเอ่ยว่านางไม่รู้จักให้อภัยคน นางเนี่ยหรือไม่รู้จักให้อภัยคน มันเป็นไปได้อย่างไร ทั้งๆ ที่มีเหตุผลกลับต้องกลายเป็นฝ่ายได้รับความอยุติธรรม เมื่อไม่มีเหตุและผลก็ยังต้องถูกคนเขาประณามจนจมดิน? แต่อย่างไรก็ตาม พูดไว้เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วเช่นกัน หากมากเกินไปจนทำให้หญิงชราโกรธจนเป็นลมเป็นแล้งไป เช่นนั้นนางก็จะเป็นฝ่ายผิดไปอีกจนได้ ช่างเถอะ อดทนไปสักหน่อยเพื่อหลีกเลี่ยงร้อยพันปัญหา ดังนั้นหลินหลันจงคุกเข่าลงอย่างช้าๆ และเผยสีหน้าละอายแก่ใจก่อนจะเอ่ยด้วยคำพูดจากใจจริง “ท่านย่า หลานสะใภ้ภูมิหลังต่ำต้อย ภายในใจจึงรู้สึกด้อยค่าอยู่เล็กน้อย นับแต่ท่านย่ามาเยือน ท่านย่าก็จัดการเรื่องต่างๆ ได้อย่างยุติธรรมโดยมิเคยดูถูกหลานเพราะภูมิหลังที่หลานเป็น ความดีของท่านย่า หลานล้วนจดจำไว้ในใจเสมอ หลานอายุยังน้อยนักจึงหลีกเลี่ยงมิได้ที่ในบางครั้งจะจัดการปัญหาโดยขาดความรอบครอบ อย่างไรก็ตามขอท่านย่าโปรดอดทนให้คำชี้แนะแก่ข้าด้วย หลังจากนี้หลานจะจดจำคำสอนของท่านย่าเอาไว้ มีคำพูดส่วนใดที่หลานเอ่ยออกไปอย่างไม่เหมาะสม ขอท่านย่าโปรดให้อภัยด้วยเจ้าค่ะ หลานขออภัยท่านย่าด้วยนะเจ้าคะ”
เมื่อได้ยินหลินหลันเอ่ยอย่างเอาใจและยังแสดงอาการสำนึกผิดด้วยใจจริง ความโกรธเคืองเมื่อครู่นี้ของหญิงชราก็ค่อยๆ เลือนหายไปและกลับกลายเป็นความรู้สึกสับสนเข้ามาแทนที่ภายในใจ
แม่จู้กล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “เหล่าไท่ไทเจ้าคะ เอ้อร์เส้าหน่ายนายสำนึกผิดแล้ว ท่านก็อย่าได้โกรธไปเลยนะเจ้าคะ เอ้อร์เส้าหน่ายนายให้ความเคารพและเชื่อฟังท่านอย่างมาก ท่านดูสิเจ้าคะ ก่อนหน้าข้าเพิ่งพูดไปว่าเหล่าไท่ไทมีอาการหนาวสั่นจากความหนาวเย็น เอ้อร์เส้าหน่ายนายก็ทำน้ำแกงสูตรบำรุงร่างกายแล้วสั่งคนให้ทำไว้ให้นี่ไงเจ้าคะ…” แม่จู้ชี้ไปที่น้ำแกงแกะต้นตำหรับ
หญิงชรารู้สึกเกินความคาดหมายเล็กน้อย ด้วยนางคิดว่าน้ำแกงแกะนี้เป็นนางฮานที่เตรียมไว้เพื่อนาง
“อย่าได้มีครั้งหน้าอีกแล้วกัน” หญิงชราแม้ว่ายังคงโกรธเคืองไม่หาย แต่พอมาคิดไตร่ตรองดูอีกที จึงตัดสินใจว่าพูดไกล่เกลี่ยกันอย่างสงบจะดีกว่า
หลินหลันย่อลงคารวะทันทีแล้วยิ้มออกมา “ขอบพระคุณท่านยาที่เมตตาเจ้าค่ะ ท่านย่าใจกว้างเป็นอย่างยิ่งเลยเจ้าค่ะ”
หญิงชราถอนหายใจ มองดูอาหารที่วางเต็มโต๊ะแต่กลับไร้ซึ่งความยากอาหารแล้วกล่าวขึ้นอย่างเนื่องหน่าย “ไม่กินแล้ว ดูเลี่ยนไปหมด แม่จู้ เจ้าให้ห้องครัวทำข้าวต้มมาสักถ้วย” หญิงชราเอ่ยขณะลุกขึ้นยืน แม่จู้รีบเข้าไปช่วยประคองแล้วพากันเดินออกไปอย่างช้าๆ
หลินหลันเม้มริมฝีปาก ไม่กินแล้วหรือ เช่นนั้นก็พอดีเลย จะได้ไม่ต้องอยู่อึดอัดใจเช่นนี้ ไว้กลับไปให้กุ้ยซ่าวทำเมนูก๋วยเตี๋ยวกุ้งใส่ผักกาดขาวให้สักชาม
แม่จู้ประคองหญิงชรากลับไปยังห้องนอน เมื่อนางหย่อนตัวลงนั่งก็ช่วยนำหมอนอิงใบนุ่มวางไว้ที่ด้านหลังช่วงเอว
หญิงชราถอดทอนหายใจด้วยความอึดอัดใจ “พอแก่ตัวลง! อะไรๆ ก็ไม่ได้เรื่องเสียแล้ว กระทั่งเด็กรุ่นหลังก็ไม่เชื่อฟังกัน”
แม่จู้เอ่ยภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้ม “เหล่าไท่ไทแก่ที่ไหนกันเจ้าคะ ร่างกายยังแข็งอยู่เลยเจ้าค่ะ!”
“เจ้ามิต้องเอาใจข้าหรอก ตอนนี้พอข้าโมโหก็เป็นอันต้องรู้สึกมึนหัวขึ้นมาทันที” หญิงชรากอบกุมขมับอันหนักอึ้งของตนเองแล้วถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “อยากช่วยจิ้งเสียนจัดระเบียบบ้านให้เคร่งครัด แต่ก็มีเพียงจิตใจที่เหลือล้นทว่าเรี่ยวแรงกลับไม่เพียงพอเสียแล้ว”
แม่จู้กล่าวอย่างลังเลใจ “เหล่าไท่ไทเจ้าค่ะ ท่านมีความสามารถทว่าปกป้องคนผิดเสียแล้วเจ้าค่ะ…”
หญิงชราชายตามองนาง “เจ้าคิดว่าข้าไม่ควรสั่งสอนหลินหลันเช่นกันหรือ”
“บ่าวกำลังคิดว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายมิได้กระทำผิดจริงๆ เจ้าค่ะ แม้ว่าฝีปากของเอ้อร์เส้าหน่ายนายจะไม่รู้จักเอาอกเอาใจ ทว่าเรื่องเคารพกตัญญูก็มีให้เห็นอยู่เสมอ พอได้ยินท่านร่างกายไม่สบายก็คิดหาวิธีเพื่อบำรุงร่างกายให้แก่ท่าน ครั้งก่อนที่เหล่าไท่ไทโกรธจนหน้ามืดเป็นลมไปจนสีหน้าซีดเซียวไร้ชีวิตชีวา อีกทั้งยังไม่ยินยอมกินยารสชาติขม เอ้อร์เส้าหน่ายนายก็เลยนำยาผสมลงไปในพุทรากวน ทั้งหมดนั่นเป็นฝีมือของเอ้อร์เส้าหน่ายนายทั้งสิ้นเจ้าค่ะ แล้วยังกำชับบ่าวว่ามิให้บอกเหล่าไท่ไท เหล่าไท่ไทเจ้าคะ ท่านลองคิดดูสิเจ้าคะ ท่านมีบุตรสาวและหลานสาวตั้งมากมายถึงเพียงนี้ มีผู้ใดเอาใจใส่ได้เท่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายหรือเจ้าคะ คนอื่นๆ ก็ทำเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ โดยคาดหวังให้ท่านเอ่ยชื่นชมสักสองสามประโยค…” แม่จู้กล่าวระบายความในใจ
หญิงชรามีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย “นางคงจงใจทำไปเช่นนั้นแหละ”
“ความจงใจทำเช่นนี้ของเอ้อร์เส้าหน่ายนาย มิใช่เพื่อเอาอกเอาใจ มิใช่เพื่อได้รับสิ่งตอบแทน เช่นนี้ถึงเรียกได้ว่ากตัญญูอย่างแท้จริงสิเจ้าคะ!” แม่จู้กล่าว
“ทว่าวันนี้นางพูดจาอย่างไรซึ่งความเกรงใจ” เมื่อหญิงชรานึกถึงเหตุการณ์วันนี้ที่ถูกหลินหลันพูดจาใส่จนตนเองถึงกับพูดไม่ออกก็รู้สึกโมโหขึ้นมาอีกระรอก ชั่วชีวิตนี้ผู้ใดเคยบังอาจพูดกับนางเช่นนี้หรือ
แม่จู้หัวเราะขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะกล่าวขึ้น “วันนี้เหล่าไท่ไทเพื่อคุณหนูหมิงจูก็เลยอบรมสั่งสอนเอ้อร์เส้าหน่ายนาย แล้วจะมิให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายรู้สึกน้อยใจได้หรือเจ้าคะ ทั้งๆ ที่หาใช่ความผิดนางไม่ เมื่อเกิดเรื่องอันใดขึ้นมา การไปปรึกษาหารือกับผู้เป็นสามีก็หาใช่เรื่องแปลกไม่ และก่อนหน้าเอ้อร์เส้าหน่ายนายยังอยากรั้งเอ้อร์เส้าเหยียไว้ด้วย…โดยปกติแล้วในแต่ละวันบ่าวก็พอจะมองออกว่าคุณหนูหมิงจูดูถูกเอ้อร์เส้าหน่ายนายอยู่ไม่น้อย พูดจาไร้น้ำใจใส่อีกฝ่ายอยู่เสมอ ทั้งยังคอยเยาะเย้ยอยู่ร่ำไป ทว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายก็มิเคยถือโทษเอาความ ทำเพียงยิ้มให้แล้วก็เป็นอันปล่อยผ่านไป คำพูดของเหล่าไท่ไทถึงได้ทำร้ายความรู้สึกของเอ้อร์เส้าหน่ายนายเข้าแล้วเจ้าค่ะ”
หญิงชรามองไปยังแม่จู้ “แม่จู้ มิใช่ว่าเจ้าได้ประโยชน์อันใดจากนางเข้าแล้วถึงได้ช่วยพูดให้นางเสียดิบดีเช่นนี้หรอกนะ”
แม่จู้มีสีหน้าตระหนกตกใจ นางคุกเข่าลงแล้วกล่าว “บ่าวใช้ชีวิตมาเกินครึ่งหนึ่งของการเป็นคนแล้วและยังไร้ญาติขาดมิตร แล้วใยต้องละโมบโลภมากล่ะเจ้าคะ ตายไปแล้วก็ไม่สามารถเอาติดตัวไปได้สักอย่าง ชั่วชีวิตนี้ของบ่าวไม่มีความต้องการใดๆ ขอเพียงได้เคียงข้างเหล่าไท่ไท และใช้ชีวิตบั้นปลายไปอย่างสงบร่มเย็น ผู้ใดดีต่อเหล่าไท่ไท บ่าวก็ดีต่อผู้นั้น หากจะเอ่ยว่าบ่าวมีอันใดแอบแฝง นั่นก็เพื่อเหล่าไท่ไททั้งนั้นเจ้าค่ะ…”
เหล่าไท่ไทกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าแค่ล้อเล่นเจ้าเท่านั้น เจ้าก็ทำเป็นจริงเป็นจังไปได้ รีบลุกขึ้นเถอะ!”
แม่จู้ถึงได้ลุกขึ้นยืน
หญิงชรากล่าวระบายความรู้สึก “ข้าเองก็รู้ดีว่าเรื่องทั้งหมดในวันนี้มิใช่ความผิดของนาง เพียงแต่เรื่องของหมิงจู…เจ้าก็อย่าได้ถือสาไปเลย เด็กคนนี้น่าสงสารยิ่งนัก ข้าจึงทนมิได้เช่นกัน”
แม่จู้กล่าวปลอบใจ “มีคำกล่าวที่ว่าคนเราไม่ว่าเหี้ยมโหดเพียงใดก็มิอาจทำร้ายลูกของตนเองได้ลงคอ เหล่าเหยียก็แค่โมโหจึงพูดออกไปอย่างดุดันถึงเพียงนั้น มีหรือเหล่าเหยียจะทิ้งขว้างคุณหนูหมิงจูได้ ไว้รอเหล่าเหยียสงบอารมณ์โกรธลงแล้วค่อยพูดเกลี้ยกล่อมอีกที ก็เป็นอันคลี่คลายแล้วเจ้าค่ะ เหตุใดท่านต้องร้อนรนใจไปล่ะเจ้าคะ อีกอย่าง คำพูดของเหล่าเหยียก็ถูกต้อง หากคุณหนูหมิงจูไม่ปรับปรุงนิสัย ภายภาคหน้าเมื่อไปอยู่อาศัยบ้านสามี คงเป็นฝ่ายเสียเปรียบเอาได้ง่ายๆ ถึงตอนนั้นยังมีผู้ใดสามารถปกป้องนางได้หรือเจ้าคะ”
หญิงชราดูเหมือนรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาเล็กน้อย นางเอนกายพิงเบาะอิงใบนุ่มแล้วปิดเปลือกตาลงอย่างช้าๆ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ช่างเถอะๆ ลูกๆ หลานๆ ล้วนมีโชคชะตาเป็นของตนเอง ปล่อยให้เป็นไปตามทางของพวกเขาแล้วกัน!”
แม่จู้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เหล่าไท่ไทสามารถคิดได้เช่นนี้ก็ดีแล้วเจ้าค่ะ ท่านพักผ่อนก่อนสักประเดี๋ยว บ่าวจะไปนำข้าวต้มมาให้นะเจ้าคะ”