ยามที่หมิงอวินหาหมิงเจ๋อจนพบก็เป็นเวลาเกือบบ่ายสามโมงแล้ว หลี่หมิงอวินอดขมวดคิ้วไม่ได้เมื่อเห็นหมิงเจ๋อที่ดื่มจนเริ่มเมามายอยู่บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมอี้เซียงจู ช่างเดินเก่งเสียจริง! โรงเตี๊ยมอี้เซียงจูตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองหลวง เขาเดินจากทิศเหนือไปยังทิศตะวันตกแล้วจึงเดินจากทิศตะวันตกมาถึงทิศตะวันออกของเมือง เกือบจะเป็นการเดินอ้อมครึ่งหนึ่งของเมืองหลวงก็ว่าได้
“เด็กๆ เอาเหล้ามา…” หลี่หมิงเจ๋อคว่ำโถสุราที่วางเปล่าอีกครั้งพร้อมกับส่งเสียงตะโกนว่าต้องการสุรามาเพิ่ม
พนักงานในร้านมองไปยังคุณชายรองหลี่อย่างลำบากใจ “คุณชายรองหลี่ขอรับ ท่านว่า…”
หลี่หมิงอวินกล่าว “ไปเอามาอีกโถแล้วกัน! เอาสุราที่รสอ่อนที่สุดมา”
พนักงานในร้านขานรับอย่างเริงร่า “ได้เลยขอรับ! เชิญคุณชายขึ้นไปนั่งรอด้านบนก่อนนะขอรับ เดี๋ยวข้าน้อยจะรีบนำสุราขึ้นไปให้…”
“ตงจึ เจ้ากลับไปรายงานเหล่าเหยียว่าหาต้าเส้าเหยียพบแล้ว ซึ่งก็มิได้ไปไหนไกล แค่เดินสงบจิตสงบใจอยู่ริมแม่น้ำ ข้ากับต้าเส้าเหยียขอตัวไม่กลับไปรับประทานอาหารที่บ้าน พวกเราพี่น้องจะดื่มกันสักโถและพูดคุยกันสักหน่อยแล้วค่อยกลับไป ให้ทุกคนวางใจได้ อีกเดี๋ยวค่อยเรียกผู้คุมรถม้ามารับแล้วกัน” หลี่หมิงอวินกล่าวสั่งการ
ตงจึกล่าวอย่างเป็นกังวล “เส้าเหยีย ท่านให้ข้าน้อยกลับไปพูดเยี่ยงนี้ อีกเดี๋ยวฮูหยินจะโทษว่าท่านพาต้าเส้าเหยียดื่มจนเมามายเอาได้นะขอรับ!”
หลี่หมิงอวินชักสีหน้าเคร่งขรึม “ให้เจ้าไปก็ไป จะมัวพูดให้มากความไปไย”
ตงจึบ่นพึมพำ แต่ท้ายที่สุดก็เดินจากไปทั้งที่ไม่เต็มใจ
หลี่หมิงอวินเดินเข้าไปอย่างช้าๆ แล้วหย่อนตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามกับหมิงเจ๋อ หลี่หมิงเจ๋อหรี่ดวงตาที่กำลังเมามายมองเขาอยู่เนิ่นนานแล้วจึงพึมพำออกมา “เจ้า…มาได้อย่างไร…”
เห็นทีว่ายังพอมีสติอยู่บ้าง หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเล็กน้อย เขาหันไปรับสุราจากพนักงานในร้านแล้วรินให้หมิงเจ๋อจนเต็มถ้วย ก่อนจะรินให้ตนเองเต็มถ้วยเช่นกัน
“พี่ใหญ่ช่างน่าสนใจเสียจริง พรุ่งนี้ต้องสอบแล้วแท้ๆ แต่ยังมีกะจิตกะใจมาพักผ่อนตามลำพังเช่นนี้ได้” หลี่หมิงอวินกล่าวหยอกล้อ
หลี่หมิงเจ๋อหัวเราะอย่างดูถูกตนเอง “น้องรอง เจ้าก็อย่าได้เหน็บแนมข้าเลย นี่ข้ากำลังอาศัยสุราช่วยคลายความทุกข์อยู่…เมาแล้วดีจะตาย เมาแล้วจะได้มิต้องคิดอันใดอีก” ขณะกล่าวเขานำสุราในถ้วยกระดกดื่มจนหมดในคราเดียว
“ทว่า ถึงจะเมาแล้วแต่ก็ยังต้องตื่นขึ้นมา อะไรที่ควรเผชิญหน้าก็ยังคงต้องเผชิญหน้าอยู่ดี” หมิงอวินช่วยรินสุราให้เขา
หลี่หมิงเจ๋อจ้องมองในถ้วยสุราแล้วฉีกยิ้มขมขื่น “นั่นสิ! ยังคงต้องตื่นขึ้นมาอีก ตื่นมาพบแล้วก็พบว่าทุกอย่างยังคงเป็นเสมือนเดิม”
“เหมือนเดิมแล้วมิดีอย่างไรหรือ” หลี่หมิงอวินจิบสุราเขาไปหนึ่งอึกเบาๆ แม้ว่านี่จะเป็นสุราขาวที่รสนุ่มที่สุดในร้านแล้ว ทว่าสำหรับผู้ที่ไม่ถนัดในการดื่มสุราอย่างเขาก็ยังถือว่าเป็นสิ่งที่ยากจะกลืนลงไปได้อยู่ดี
หลี่หมิงเจ๋อรู้สึกทุกข์ระทมหนักขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ดวงตาที่กำลังเมาเยิ้มฉายรอยยิ้มขณะกล่าว “น้องรอง ขอพูดความจริงในใจสักหน่อยแล้วกัน ข้าอิจฉาเจ้าจริงๆ แม้ว่าท่านแม่ใหญ่ไม่อยู่แล้ว ทว่ายังมีท่านพ่อที่รักและเอ็นดูเจ้า แล้วยังมีภรรยาแสนดีที่คอยเอาใจ ไหนจะตระกูลเยี่ยอีก…ชื่อเสียงอันดีงามของเจ้าที่กึกก้องไปทั่วหล้า ได้เข้าสู่สำนักฮ่านหลินแล้วยังเลื่อนขั้นสามขั้นในคราเดียว นี่มันรุ่งโรจน์อย่างไร้ที่สิ้นสุดของจริง…เมื่อเทียบกับเจ้าแล้ว ข้าในฐานพี่ใหญ่คนหนึ่งจึงรู้สึกละอายแก่ใจเสียเหลือเกิน”
“เหตุใดพี่ใหญ่ต้องดูถูกตัวเองจนเกินไปด้วย” หลี่หมิงอวินกล่าว
หมิงเจ๋อส่ายหน้า “ไม่หรอก ที่ข้าพูดมันคือความจริง ข้าก็เคยคิดว่าตนเองมิได้ด้อยไปกว่าเจ้าเช่นกัน ยามนี้เพิ่งได้รู้ว่าตนเองสู้เจ้ามิได้เลยสักนิด ท่านพ่อเห็นหน้าข้าทีไรก็เป็นอันต้องหงุดหงิด ท่านแม่ก็รู้จักแต่บีบบังคับให้ข้าร่ำเรียนหนังสือ หลั้วเหยียน…ยิ่งไม่อยากจนสนใจไยดีข้าเข้าไปใหญ่…” หมิงเจ๋อดื่มเข้าไปอีกหนึ่งอึกใหญ่ๆ ขอบดวงตาของเขาแดงพร่าขณะกล่าวอย่างหดหู่ใจ “ข้ารู้ดีว่าพวกนางล้วนนำข้าไปเปรียบเทียบกับเจ้า ยิ่งเปรียบเทียบก็ยิ่งหงุดหงิดใจ ยิ่งเปรียบเทียบก็ยิ่งผิดหวัง” เขาตบลงไปที่หน้าอกของตนเองอย่างเบามือแล้วกล่าวระบายความทุกข์ “สายตาเย็นชาของพวกเขา คำดูถูกทุกประโยคของพวกเขาล้วนตราตรึงอยู่ภายในใจของข้า ความยากลำบากของข้ายังไปพูดกับผู้ใดได้อีก ข้าคือหลี่หมิงเจ๋อ หาได้ใช่หลี่หมิงอวินไม่ ข้าอยากใช้ชีวิตตามแนวทางของข้า แล้วเหตุใดทุกคนต้องเอาแต่บีบบังคับให้ข้าเดินตามรอยทางของเจ้าด้วย…อีกทั้งเจ้าที่เอาแต่เดินห่างออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ อยู่ไกลถึงเพียงนั้น ข้าตามไม่ทันหรอก น้องรอง เจ้าว่าพี่เป็นคนไร้ประโยชน์ใช่หรือไม่ พี่มันเป็นไอ้คนไร้ประโยชน์อย่างยิ่งใช่หรือไม่…”
หมิงเจ๋อสูดจมูกหลังกล่าวจบ ทว่านัยน์ตายังคงเคลือบเอาไว้ด้วยแสงแห่งหยาดน้ำตา ทันทีที่เขาดื่มสุราในถ้วยหมดภายในอึกเดียวก็จะเอื้อมมือออกไปคว้าโถสุรามารินให้ตนเองอีกครั้ง แม้ยังพอมีสติรู้เรื่องทว่ามือไม้ของเขาไม่ค่อยเป็นไปดั่งที่สมองสั่งการเสียแล้ว เมื่อรินสุราในครั้งนี้ กว่าครึ่งโถกลับล้นหกออกไป
หมิงอวินไม่รั้งเขาแต่อย่างใด ปล่อยให้เขาระบายความอัดอั้นตันใจออกมาตามสบาย เท่าที่เขาพอรู้มาบ้างก็คือหมิงเจ๋อเป็นชายหนุ่มรักสนุก มีรูปภายนอกอันงดงาม แต่มีความประพฤติและกิริยามารยาทไม่ดีนัก เป็นคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ดีแต่ใช้ชีวิตสุขสำราญไปวันๆ แต่กลับไม่เคยรู้เลยว่าภายในใจของเขาลึกๆ แล้วจะเต็มไปด้วยความทุกข์ระทมมากมายเพียงนี้
“พี่ใหญ่ มีคำกล่าวหนึ่งที่เรียกว่าการเข้มงวดของพ่อแม่หรือผู้สูงอายุที่มีต่อลูกๆ หลานๆ ล้วนมีที่มาจากความรักและเอ็นดู เป็นเพราะพวกเขามีความคาดหวังในตัวเจ้า ดังนั้นถึงได้ทำเช่นนี้”
“ไม่ เจ้ามิเข้าใจหรอก” หมิงเจ๋อโบกมือ แล้วเรอออกมาก่อนกล่าวต่อ “นี่มิได้เรียกว่ารัก หรืออย่างน้อยๆ ที่พวกเขารักก็มิใช่ข้า ท่านพ่อรักชื่อเสียงอันดีงาม ท่านแม่รักในหน้าตา ส่วนหลั้วเหยียน…” หมิงเจ๋อฉีกยิ้มขึ้นมา “ข้ากับหลั้วเหยียนเป็นสามีภรรยากันมาหนึ่งปี ทว่าข้ามิเคยเข้าใจในตัวนางเลย ทว่ามีประเด็นหนึ่งที่ข้าเข้าใจอย่างยิ่งซึ่งก็คือ นางมิได้รักข้า…น้องรอง เจ้ารู้อะไรหรือไม่” หมิงเจ๋อยื่นใบหน้าเข้ามาและกล่าวด้วยเสียงบางเบา “มีครั้งหนึ่งหลั้วเหยียนละเมอพูดขึ้นมา นางเรียกชื่อของคนผู้หนึ่ง นามว่า…นามว่าอี้จือ[1]อันใดนี่แหละ”
หลี่หมิงอวินถึงกับสะดุ้งเฮือกอยู่ภายในสมอง ราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมาใจกลางศีรษะเขาในช่วงกลางวันแสกๆ สีหน้าของหมิงอวินจึงดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย ปีนั้นจื่ออวี้และคนอื่นๆ มักแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการประดิษฐ์ตัวอักษรของเขาว่า สง่างามและสบายตาเป็นธรรมชาติ เป็นตัวอักษรที่แสดงให้เห็นถึงความชาญฉลาดและทรงเสน่ห์ ให้ความรู้สึกเสมือนราชันผู้ยิ่งใหญ่ จึงพากันตั้งฉายาให้เขาโดยเรียกว่าอี้จือ ต่อมาภายหลังเขานำเรื่องนี้เล่าสู่หลั้วเหยียนประหนึ่งเรื่องชวนขบขัน หลั้วเหยียนกลับชื่นชอบชื่อนี้เป็นอย่างยิ่งจึงกล่าวว่า เช่นนั้นหลังจากนี้ข้าจะเรียกเจ้าว่าอี้จือ จำไว้นะว่ามีเพียงข้าที่เรียกเจ้าเช่นนี้ได้…
หมิงอวินตกละลึงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เมื่อสงบจิตสงบใจให้แน่นิ่งลงได้จึงหัวเราะออกมา “พี่ใหญ่หูฝาดไปแล้วกระมัง!”
หมิงเจ๋อหัวเราะพลางตบบ่าของหมิงอวินแล้วกล่าวอย่างเมามาย “ความลับนี้ ข้ามิเคยบอกกล่าวผู้ใดมาก่อน เจ้า…ก็อย่าได้พูดออกไปเชียวล่ะ”
หมิงอวินพยักหน้าอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ว่าแต่ วันสอบพรุ่งนี้พี่ใหญ่เตรียมตัวไปถึงไหนแล้วหรือ”
หมิงเจ๋อถอนหายใจเฮือกยาวอย่างอ่อนใจ “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน”
หลี่หมิงอวินนิ่งเงียบก่อนจะเอ่ยถาม “พี่ใหญ่เกรงว่าจะสอบไม่ผ่านอย่างนั้นหรือ”
นัยน์ตาของหมิงเจ๋อมืดมนลงทันใด “ข้าเกลียดชีวิตที่ต้องอยู่กับการสอบนี่เต็มทนแล้ว บางครั้งก็คิดว่ามิสู้กลับไปบ้านเกิดยังดีเสียกว่า ซื้อที่ดินสักสองสามไร่ สร้างบ้านหลักเล็กๆ ขอเพียงได้กินอิ่มหนำสำราญ มีเสื้อผ้าให้สวมใส่ และได้ใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ก็เป็นพอ ข้าไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ใต้เงาของผู้อื่น ต่อให้ข้าหลี่หมิงเจ๋อไม่ประสบความสำเร็จ แต่อย่างน้อยๆ ก็ยังได้เป็นตัวของตัวเอง…”
หมิงอวินเผยสีหน้าประทับใจขึ้นมาเล็กน้อย เขากับหมิงเจ๋อไม่เคยได้นั่งพูดคุยกันจริงๆ จังๆ เช่นนี้มาก่อน เดาว่าเมื่อหลี่หมิงเจ๋อได้สติครบถ้วนก็คงไม่พูดความในใจออกมาให้เขาฟังเช่นนี้ ทุกคนแสดงออกอย่างสุภาพซึ่งกันและกัน ไม่สนิทชิดเชื้อแต่ก็มิได้ห่างไกลกันจนเกินไป วันนี้หมิงเจ๋อพูดความจริงในใจออกมาหลังเมามาย ซึ่งมันทำให้ความรู้สึกของเขาที่มีต่อหมิงเจ๋อแตกต่างออกไป นี่ถือเป็นครั้งแรกที่สัมผัสได้ถึงความเป็นพี่น้อง
“พี่ใหญ่ ตามจริงทุกคนล้วนมีข้อดีและข้อเสียในตนเองทั้งนั้น เจ้าก็มีเช่นกัน”
หมิงเจ๋อเผยรอยยิ้มขื่นขม “เจ้ามิต้องปลอบใจข้าหรอก ข้ารู้จักตนเองดี”
“พี่ใหญ่หาได้รู้อย่างกระจ่างชัดแจ้งไม่ เจ้าเปรียบเทียบตนเองกับข้ามาโดยตลอด เจ้าสูญเสียความเป็นตนเองไปนานแล้ว ก็จริงอยู่ที่ว่าด้านการเรียนการศึกษาพี่ใหญ่เทียบข้ามิได้ ทว่าใต้หล้านี้ผู้ที่เทียบเท่าข้ามิได้หาได้มีเจ้าเพียงผู้เดียวไม่ มิเช่นนั้น ตำแหน่งจอหงวนจะตกเป็นของข้าได้อีกหรือ ดังนั้น พี่ใหญ่เทียบเท่าข้ามิได้จึงเป็นเรื่องปกติอย่างมาก มิใช่ว่าเจ้าแย่เกินไป แต่เป็นข้า…เก่งกาจเกินไปต่างหาก” หมิงอวินรู้สึกกกหูร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อยตามด้วยไอออกมา อาจเป็นเพราะดื่มสุราเข้าไปกระมัง!
หมิงเจ๋อตกตะลึงเล็กน้อย เขาไม่เคยคิดเช่นนี้มาก่อน ทว่าที่หมิงอวินกล่าวมาดูมีเหตุมีผลอย่างมาก
หมิงอวินส่งเสียงกระแอมในลำคอแล้วจึงกล่าวต่อ “ไม่เพียงแค่การเทียบเท่าข้ามิได้หาได้เป็นความโชคร้ายไม่ ต่อให้สอบจิ้นซื่อไม่ผ่านก็นับว่าเป็นเรื่องธรรมดาเช่นกัน มีผู้เรียนหลายล้านคนที่ลำบากตรากตรำร่ำเรียนเพื่อการสอบหนึ่งครั้งในรอบสามปี ซึ่งผู้สอบได้ก็มีจำนวนเพียงหลักสิบคนเท่านั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนแรกท่านอาจารย์เผยต้องสอบถึงกี่ครั้งจึงจะสอบผ่านได้”
หมิงเจ๋อส่ายหน้าทันที
หมิงอวินชูขึ้นมาสี่นิ้วแล้วกล่าว “สี่ครั้ง ท่านอาจารย์เผยเกิดจากตระกูลซึ่งมีการสืบทอดความรู้และวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม ผู้อาวุโสเผยเก๋อเคยเป็นถึงอาจารย์ขององค์รัชทายาทเมื่อครั้งเยาว์วัย จึงกล่าวได้ว่าเป็นผู้มาจากครอบครัวที่มีความรู้ลึกล้ำ ยามที่ท่านเผยสอบไม่ผ่าน ตอนแรกมีคนจำนวนมากหัวเราะเยาะเขา ดูถูกเขา ทว่าท่านเผยกลับไม่สนใจและตั้งหน้าตั้งตาสอบติดต่อกันถึงสี่ครั้งจนในที่สุดก็ได้กลายเป็นที่หนึ่งในราชสำนัก ทุกวันนี้ยังมีผู้ใดกล้าดูถูกว่าเขาไร้ความสามารถอีกหรือไม่ แล้วยังมีใต้เท้าจั่วเซียงหนิง เขาใช้เวลากับการสอบไปกว่ายี่สิบปี เรื่องการเข้าปฏิบัติงานในราชสำนักหาใช่เป็นเรื่องภายในปีสองปีไม่ แล้วไยเจ้าถึงไม่เอาเป็นแบบอย่าง ดูอย่างเจียงไท่กงยิ่งไปกันใหญ่ จนกระทั่งเขาถึงวัยชราแล้วเพิ่งได้มีโอกาสแสดงความสามารถ…”
นัยน์ตาของหมิงเจ๋อค่อยๆ สว่างไสวขึ้นมา
“ความผิดพลาดเดียวของพี่ใหญ่ก็คือการหาคู่ครองที่ไม่เหมาะสม คอยแต่เปรียบเทียบอยู่ตลอดเวลา เป็นธรรมดาที่ยิ่งเปรียบเทียบยิ่งรู้สึกแย่ ข้าเองก็เคยเห็นบทความฝีมือของพี่ใหญ่ แม้จะไม่ถึงขั้นเรียกได้ว่าเห็นแล้วต้องตกตะลึง แต่ก็นับว่าไม่เลว พี่ใหญ่มิจำเป็นต้องดูถูกดูแคลนตนเองเลย ด้วยความสามารถของพี่ใหญ่ การสอบหมิงจิ้งยังพอวางใจได้ คนเราหาได้เกรงกลัวความพ่ายแพ้ไม่ จะเกรงกลัวก็แต่การที่กระทั่งความพยายามในการลองดูสักตั้งก็ยังไม่มีต่างหากล่ะ ถึงจะพ่ายแพ้ก็ยังเริ่มใหม่ได้ ทว่าหากยอมแพ้ อย่าว่าแต่ความรู้สึกของผู้อื่นว่าจะเป็นอย่างไรเลย ตัวพี่ใหญ่เองจะไม่รู้สึกเสียดายภายหลังหรอกหรือ เจ้าอยากเป็นตัวของตัวเอง อยากได้รับการยอมรับจากทุกคน จะมัวแต่จมปลักกับความเศร้าโศกผิดหวังและหลีกหนีไปเรื่อยๆ คงมิได้ หากทำเช่นนั้น ชั่วชีวิตของเจ้าก็ไม่ต่างจากผู้หนีทหารคนหนึ่ง เป็นผู้ซึ่งไร้ประโยชน์คนหนึ่ง พี่ใหญ่ มีเพียงการทำให้ตนเองแข็งแกรงขึ้นมาเท่านั้นจึงจะทำให้คนรอบข้างมีความสุขยิ่งขึ้นได้ แม้ว่ามิอาจเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สูงตระหง่านตาได้ อย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นต้นสนที่ลำต้นตรงดิ่งให้ได้ พี่ใหญ่ อย่างน้อยๆ ครึ่งหนึ่งของพวกเราก็มีสายเลือดเดียวกัน ข้าทำได้แล้วเจ้าจะทำมิได้ได้อย่างไรกันหรือ” หลี่หมิงอวินกล่าวให้กำลังใจ
หมิงเจ๋อจ้องมองถ้วยสุราไม่โดยพูดไม่จาอยู่เนิ่นนาน ขณะที่ภายในหัวสมองเริ่มกระจ่างแจ้งยิ่งขึ้น ฤทธิ์สุราก็ค่อยๆ เลือนหายไปแล้วเช่นกัน ทันใดนั้นเขาเงยหน้าขึ้น เผยนัยน์ตาอันเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขาวางถ้วยสุราลงแล้วจับมือของหมิงอวิน “น้องรอง ขอบใจเจ้า ด้วยคำพูดในวันนี้ของเจ้าข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าเป็นน้องรองของข้าอย่างแท้จริง ข้าจะกลับบ้านไปกับเจ้าเดี๋ยวนี้ละ”
หลี่หมิงอวินมองดูหมิงเจ๋อและอมยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงรินสุราลงในถ้วยของตนเอง
หมิงเจ๋องุนงง ไม่รู้ว่าหมิงอวินมีเจตนาอันใด แต่แล้วทันใดนั้นก็ดูเหมือนเข้าใจบางอย่างขึ้นมาได้จึงยกถ้วยสุราของตนเองขึ้นแล้วกล่าว “วันนี้เจ้าและข้า เราสองคนพี่น้องดื่มกินสุราด้วยกันครั้งนี้แล้ว ภายหลังจากนี้เราก็คือพี่น้องที่ดีต่อกัน”
หลี่หมิงอวินหักห้ามเขา “พี่ใหญ่ เจ้าอย่าดื่มอีกเลย ขืนดื่มอีกมีหวังได้เมามายของจริงแน่ ข้าให้ตงจึกลับไปบอกท่านพ่อว่าข้าขอดื่มสุราเป็นเพื่อนท่านสักหน่อย เช่นนั้นเจ้าอย่าดื่มจนถึงขั้นเมามายเลย”
หมิงเจ๋อกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ “ตกลงน้องชาย ลำบากเจ้าแล้ว”
หลินหลันรอหมิงอวินที่กลับมาถึงพร้อมกลิ่นสุราเต็มตัว จึงอดบ่นขึ้นมาไม่ได้ “เจ้าพาคนเขากลับมาก็พอ เรื่องระบายทุกข์อะไรนี่ให้แม่มดชราไปจัดการเองก็ได้ เหตุใดต้องเปลืองแรงลงทุนทำอันใดถึงเพียงนี้ด้วย ดีไม่ดีจะถูกแม่มดชราเอาไปเป็นเหตุผลพูดไร้สาระเสียอีก”
หมิงอวินเผยรอยยิ้มอ่อนๆ “พี่ใหญ่น่าสงสารไม่น้อยเลยละ”
หลินหลันไม่เห็นด้วย “มีอันใดให้ต้องสงสารหรือ อย่าลืมสิ เขาเป็นบุตรชายของแม่มดชราเชียวนะ”
หมิงอวินจับมือของหลินหลันแล้วกล่าวอย่างจนปัญญา “เจ้ามิรู้อะไร วันนี้ข้าพูดคุยกับพี่ใหญ่ตั้งมากมาย ได้รับฟังความในใจของเขาแล้วก็อดรู้สึกแย่มิได้ ข้ารู้ดีว่าเขาเกิดจากแม่มดชรา ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขามิเคยจ้องแต่จะคิดบัญชีกับข้าหรือร่วมทำร้ายข้ามาก่อนเลย”
[1] อี้จือ (逸之) ในที่นี้หมายถึง ความสบายตา ไม่รีบร้อน