ปฏิญญาค่าแค้น – ตอนที่ 173 ชุมนุมกัน

เป็นไปดั่งที่หลินหลันคาดเดาไว้ว่าหมิงอวินคงต้องหอบหิ้วเฉินจื่ออวี้มาด้วย เฉินจื่ออวี้กล่าวว่าเขาขอเลี้ยงอาหารมื้อกลางวันเอง หลินหลันจึงไม่ขอเกรงใจเขาเช่นกัน ระยะนี้นางได้พบเจอเผยจื่อชิ่งทุกวัน จึงช่วยเขาพูดปูทางไว้ให้อย่างดิบดีไม่น้อย การรับประทานอาหารมื้อหนึ่งของเขาจึงไม่นับว่ามากเกินไปแต่อย่างใด

หลินหลันบอกกล่าวหยินหลิ่วให้รอนางอยู่ที่ร้าน อีกประเดี๋ยวอวี้หลงนำอาหารกลางวันมาส่งให้ ก็ให้ทุกคนร่วมรับประทานด้วยกันเสีย

ทั้งสามคนเดินทางไปถึงโรงเตี๊ยมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านตระกูลเผยเท่าใดนัก โดยพวกเขาเลือกนั่งในห้องรับประทานอาหารส่วนตัว

เฉินจื่ออวี้เอ่ยถามหมิงอวินว่าต้องการดื่มอะไรหน่อยหรือไม่ หมิงอวินมองไปยังหลินหลันแล้วกล่าวว่า “เอาเป็นน้ำชาแล้วกัน!”

“เช่นนั้นข้าก็ดื่มชาด้วยเช่นกัน เด็กๆ เอาชาปี้หลัวชุนที่ดีที่สุดมาหนึ่งกา” เฉินจื่ออวี้กล่าวขึ้นอย่างฉับไวแล้วจึงหยิบรายกายอาหารส่งให้หลินหลันก่อนจะตบฝ่ามือลงบนหน้าอก “พี่สะใภ้ อยากกินอันใดเชิญสั่งได้เลย มิต้องช่วยข้าประหยัดเงิน แม้น้องชายผู้นี้จะมิได้มีเงินทองมากมายเท่าพวกเจ้าคู่สามีภรรยา ทว่าน้องชายอย่างข้าไม่ขี้เหนียวต่อพวกเจ้าอย่างแน่นอน”

หลินหลันมองดูรายการอาหารแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จื่ออวี้ เจ้าเกรงใจกันเกินไปแล้ว พวกเรากินอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้มขณะมองไปยังหมิงอวิน “ใช่หรือไม่”

หมิงอวินเห็นด้วยอย่างยิ่ง เขาเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “อะไรก็ได้ตามใจเจ้า”

พนักงานของร้านจึงแนะนำอาหารขึ้นชื่อเป็นพิเศษของร้านภายใต้สีหน้าเบิกบาน หลินหลันพับรายการลงอย่างไม่ใส่ใจ “เช่นนั้นก็อะไรก็ได้! เอาเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อที่สุดและแพงที่สุดในร้านของพวกเจ้ามาอย่างละหนึ่งอย่าง”

เฉินจื่ออวี้ตกตะลึง เขามองไปยังหมิงอวิน ขณะที่หมิงอวินกลับกวาดสายตามองดูบริเวณรอบๆ “อืม! ห้องในโรงเตี๊ยมแห่งนี้แม้ว่าขนาดมิได้ใหญ่โต ทว่าการตกแต่งดูโอ่อ่าสง่างามไม่น้อยทีเดียวเชียว”

เฉินจื่ออวี้ใช้มือข้างหนึ่งลูบคลำถุงเงินอย่างเงียบๆ และครุ่นคิดทันทีว่าวันนี้ตนเองพกเงินออกมามากน้อยเพียงใด

เมื่อพนักงานของร้านนำน้ำชาและอาหารมาจัดวางเรียงรายบนโต๊ะเป็นที่เรียบร้อย ทั้งสามคนจึงกินดื่มพลางพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ซึ่งแน่นอนว่าหลินหลันสนใจเพียงรับประทานอาหารและสดับรับฟังพวกเขาสองคนพี่น้องพูดคุยกันเท่านั้น

“ระยะนี้ทางราชสำนักต้องเพิ่มกำลังทหารในทิศตะวันตกเฉียงใต้ เห็นว่ากองทัพของหนิงซิ่งที่อยู่ซีซานก็ต้องโยกย้ายพลทหารบางส่วนไปช่วยสนับสนุนด้วยเช่นกัน พ่อหนุ่มน้อยหนิงซิ่งนั่นตั้งหน้าตั้งตารอคอยการสู้รบมาเนิ่นนานแล้ว เขาคงมิพลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน” เฉินจื่ออวี้กล่าว

หลินหลันเกิดความวิตกกังวลขึ้นมาทันที “เช่นนั้นพี่ชายข้าก็ต้องถูกส่งไปทางตะวันตกเฉียงใต้ด้วยหรือไม่” หลังพี่ชายนางไปค่ายทหารซานซีก็อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของหนิงซิ่ง เมื่อเข้าร่วมไปถึงขั้นนั้นแล้ว เขายังปฏิเสธที่จะไม่ไปได้อีกหรือ

เฉินจื่ออวี้ลูบคางของตนเองขณะครุ่นคิด “ส่วนมากต้องไปด้วยทั้งนั้น”

หลินหลันมองไปยังหมิงอวินอีกครั้ง “มิใช่ว่าส่งกองกำลังทหารไปกว่าแสนคนแล้วหรือ ก็แค่ต่อกรกับชาวชนเผ่าไม่กี่คน ไยต้องใช้จำนวนคนมากมายถึงเพียงนั้น”

“เฮ้อ…นั่นมันก็เอาแน่เอานอนมิได้ ทหารจำนวนมากของราชวงศ์เราห่างหายจากการสู้รบมาเนิ่นนานแล้ว ที่สู้รบได้จริงๆ จังๆ ก็มีไม่กี่คน จิ้งปั๋วโหว์ผู้หนึ่ง แม่ทัพฮ๋วยหยวนผู้หนึ่งแล้วก็แม่ทัพอานซึ่งประจำการ ณ เขตทิศตะวันตกเฉียงเหนืออีกผู้หนึ่ง ส่วนที่เหลือ…” เฉินจื่ออวี้ยิ้มเยาะ “ส่วนใหญ่เป็นพวกปากกล้าแต่ฝีมือไม่ถึงเสียมากกว่า คนชนเผ่าโหดเหี้ยมเสียยิ่งกระไร! จึงเกรงว่าทหารแสนคนก็ยังจัดการมิได้น่ะสิ!”

หลี่หมิงอวินเตะเข้าไปที่ขาของเฉินจื่ออวี้ซึ่งอยู่ใต้โต๊ะ เฉินจื่ออวี้ถึงกับกัดฟันและสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ด้วยความเจ็บปวด ซึ่งวิธีการนี้เขาใช้เล่นงานหนิงซิ่งอยู่บ่อยครั้ง คาดไม่ถึงว่าหลี่หมิงอวินก็ได้เรียนรู้กับเขาขึ้นมาแล้วเช่นกัน

หลินหลันเอ่ยถาม “เจ้าเป็นไรไปหรือ”

เฉินจื่ออวี้ฉีกยิ้มแข็งทื่อ “มิเป็นไรๆ พอดีรู้สึกว่าไก่ผัดพริกถั่วที่กินเข้าไปเมื่อกี้มันเผ็ดไปหน่อยน่ะ”

หลี่หมิงอวินคิดใคร่ครวญ ยามนี้กองกำลังแนวหน้าขององค์ชายสี่คงยังไปไม่ถึงตะวันตกเฉียงใต้ สถานการณ์ทางด้านนั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้วจึงไม่อาจทราบได้ชัดเจน การที่ทางราชสำนักเพิ่มกองกำลังทหารรวดเร็วถึงเพียงนี้ อธิบายได้เพียงอย่างเดียวว่าทางราชสำนักคงมีจุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงการบอกใบ้ของจิ้งปั๋วโหว์ รวมไปถึงคำพูดครานั้นของเขาที่ได้กล่าวออกไป นี่จึงมีความเป็นไปได้อย่างมาก หลี่หมิงอวินมองไปยังเฉินจื่ออวี้ด้วยแวบสายตาหนึ่งภายใต้สีหน้าสงบเยือกเย็น ก่อนจะหันไปกล่าวกับหลินหลัน “อย่าไปฟังจื่ออวี้พูดจาไร้สาระเลย ทหารของราชวงศ์เราไร้น้ำยาขนาดถึงขนาดที่เขาพูดเสียที่ไหนกัน ข้าคิดว่าฮ่องเต้เพียงแค่กังวลความปลอดภัยขององค์ชายสี่และเกรงกลัวว่าจะมีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นกับองค์ชายสี่ จึงตั้งใจโยกย้ายทหารม้าเหล่านั้นมุ่งหน้าไปก่อน อย่างหนิงซิ่ง ต่อให้ไปเข้าร่วมด้วย เกรงว่าก็เป็นการไปเพื่อเพิ่มจำนวนคนให้ดูมากขึ้นเท่านั้น หากเจ้าเป็นห่วงพี่ชายเจ้า ไม่อยากให้เขาไป เช่นนั้นไว้กลับไปข้าจะส่งจดหมายให้หนิงซิ่งเพื่อมิให้นำพี่ชายของเจ้าติดตามไปด้วย”

หลินหลันลังเลใจอยู่ชั่วขณะ “ข้าว่าช่างเถอะ ให้พี่ชายตัดสินใจเองแล้วกัน หากตัวเขาเองอยากไป ข้าก็มิอาจฉุดรั้งเขาที่ต้องการทำตามเป้าหมายให้สำเร็จได้เช่นกัน”

แม้จะพูดออกไปเช่นนี้ ทว่าภายในใจกลับกระวนกระวายไม่เป็นสุขอยู่เสมอ เมื่อเอ่ยถึงสงครามการสู้รบก็อดนึกถึงบิดาผู้ซึ้งจากไปโดยไม่กลับมาผู้หนึ่ง ทุกครั้งที่มารดาเอ่ยถึงบิดาขึ้นมาก็จะแสดงสีหน้าเศร้าโศกให้เห็น ดังนั้นนางจึงไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถาม ขณะที่ภายในใจพร่ำคิดเสมอว่า บิดาอาจสิ้นชีพอย่าวีรบุรุษผู้กล้าหาญไปเนิ่นนานแล้ว

เฉินจื่ออวี้เห็นสีหน้าอารมณ์ของหลินหลันดูเศร้าหมองลงเล็กน้อยจึงรู้สึกว่าหัวข้อสนทนานี้ชักไม่ดีเสียแล้ว เขาจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที

“เอ้! พี่ใหญ่ ตอนนี้สำนักตรวจการทั่วไปและวัดหงหลู[1]มีตำแหน่งงานว่าง เจ้าว่าข้าควรไปทางไหนดี”

หลี่หมิงอวินช่วยเขาครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ว่ากันในแง่ของเจ้าที่ช่างพูดช่างเจรจาเป็นจุดเด่น ทั้งสองสถานที่นี้ล้วนเหมาะสมกับเจ้าทั้งสิ้น ทว่าหากเป็นผู้ตรวจการ ซึ่งต้องคอยจับตามองจุดอ่อนของผู้อื่นอยู่เสมอ วันนี้เข้าร่วมตรงนี้ พรุ่งนี้โผล่ไปเข้าร่วมตรงนั้น คงพานให้คนเขารู้สึกขุ่นเคืองใจไปได้โดยง่ายดาย นี่จึงเป็นการขัดต่อหลักการจัดการปัญหาของเจ้าที่จะมิทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องรู้สึกขุ่นเคืองใจ ซึ่งหลักการนี้ช่วยให้เจ้าทำอะไรต่อมิอะไรได้ราบรื่นตลอดที่ผ่าน ข้าจึงเดาว่าอาจะทำให้เจ้ารู้สึกยากลำบากอย่างยิ่ง ฉะนั้นไปวัดหงหลูเถอะ! ค่อนข้างเหมาะสมกับเจ้าดี”

เฉินจื่ออวี้กล่าวด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “อ้อมค้อมไปรอบหนึ่งท้ายที่สุดก็ยังมาบรรจบที่วัดหงหลู น่าเบื่อชะมัด”

หลี่หมิงอวินอมยิ้มแล้วกล่าวออกไป “เจ้าก็รู้อยู่แล้วนี่! ผู้คนจำนวนมากมายเพียงใดที่พากันคิดจนหัวแทบระเบิดด้วยอยากเข้าไปแต่ก็เข้าไปมิได้ ประเด็นสำคัญคือ ขืนเจ้ายังไม่หาหน้าที่การงานเป็นหลักเป็นแหล่งอีก คงได้ทำให้เรื่องสำคัญใหญ่หลวงในชีวิตของเจ้าล่าช้าไปกันใหญ่”

เฉินจื่ออวี้เบ้ปากแล้วกล่าวขึ้น “ก็ด้วยสาเหตุนี้ข้าถึงได้ตอบตกลงท่านพ่อข้าไปแล้ว มิเช่นนั้นข้าก็คงต้องรอต่อไปอีก จะให้รอไปถึงวัดต้าหลี่มีตำแหน่งว่าก็คงมิได้”

หลินหลันกล่าวเสนอความคิดเห็น “เหตุใดเจ้ามิไปถามไถ่เผยเสี่ยวเจี่ยะล่ะ ลองดูว่านางอยากให้เจ้าไปทางไหน”

“เฮ้อ! จะได้อย่างไรกัน นางคงได้หัวเราะเยาะข้าว่าไม่มีความคิดเป็นของตนเอง” เฉินจื่ออวี้ส่ายหน้าพัลวัน

“เจ้านี่ซื่อบื้อชะมัด เจ้าไม่รู้จักการพูดอย่างอ้อมๆ หรือไร ทีปกติกลับช่างพูดช่างเจรจาประหนึ่งผีเจาะปากมาให้พูดอย่างไรอย่างนั้น พอเห็นเผยเสี่ยวเจี่ยะเข้าดันไม่รู้จักใช้วาทศิลป์ในการพูด ใครกันที่พูดโอ้อวดไว้ในตอนแรกว่าจะทำให้พวกนางต้องเสียใจจนน้ำตาเช็ดหัวเข่า โดยเฉพาะเผยจื่อชิ่งผู้นั้น” หลินหลันกล่าวเชิงดูถูก

เฉินจื่ออวี้รีบกลับสวนทันควัน “ประโยคนี้จะให้นางได้ยินมิได้เชียวนะ มิเช่นนั้นข้าจบเห่แน่”

หลินหลันกลอกตามองบนใส่เขา “เจริญละ คนอย่างเผยเสี่ยวเจี่ยะซึ่งสง่างามมีเกียรติเช่นนี้ คงมีเพียงผู้ที่เก่งกาจกว่านางเท่านั้น นางถึงชื่นชมด้วยความศรัทธา ทุกครั้งที่เจ้าเห็นนางเป็นอันทำแสดงท่าทีขี้ขลาดแล้วนางจะเห็นเจ้าในสายตาได้อย่างไรกัน เจ้าควรหยิบยกความสามารถในตัวทั้งหมดที่มีเผยออกมา ยามที่ควรบ้าๆ บอๆ ก็เผยมันออกมาเสีย ยามที่ควรภาคภูมิใจก็เผยความภาคภูมิใจออกมาให้เต็มที่ อีกอย่าง เฉินจื่ออวี้อย่างเจ้าก็มิได้ดูย่ำแย่อะไรขนาดนั้นเสียหน่อย แน่นอนละ เจ้ายังห่างไกลจากหมิงอวินของข้ามาก ทว่าอย่างน้อยๆ เจ้าก็คือบัณฑิตที่สอบได้ระดับสามในการสอบของระบบราชสำนัก ใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่สอบผ่านการสอบระดับสามของระบบราชสำนักหรือ แค่นี้ก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว เจ้าจะมัวเกรงกลัวอันใดอีกหรือ!”

เฉินจื่ออวี้ตกอยู่ในอาการตะลึงงันอีกครั้ง เขามองไปยังหมิงอวิน ซึ่งครั้งนี้หมิงอวินพยักหน้าประหนึ่งกำลังบอกกว่าว่าที่นางพูดมานั้นตรงเผง

เฉินจื่ออวี้ลูบคางขณะมองดูคานห้องพลางเอ่ยพึมพำกับตนเอง “นั่นสิ! ข้าก็คิดว่าตนเองก็ยอดเยี่ยมไม่น้อยเช่นกัน”

หลินหลันเห็นสีหน้าเลิศลอยเช่นนั้นของเขา จึงรู้สึกอยากคว้าไก่ผัดพริกทั้งจานโปะลงไปบนหน้าเขาเสียจริงเชียว

หลังทั้งสามคนชักช้ายืดยาดอยู่กับการรับประทานอาหารกลางวันเสร็จสิ้นแล้ว จึงมุ่งหน้าไปยังบ้านตระกูลเผย

วันนี้นายท่านเผยยุ่งวุ่นวายเป็นอย่างมาก เขาเป็นหัวหน้าผู้จัดการการสอบหมิงจิ้งในครั้งนี้ ซึ่งจะว่าไปแล้ว เดิมทีงานนี้ส่งมอบให้หมิงอวินเป็นผู้จัดการ แต่เพราะหมิงเจ๋อเข้าร่วมการสอบด้วย หมิงอวินจึงจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการเกิดความสงสัย ส่งผลให้ภาระงานนี้ตกมาอยู่ที่นายท่านเผยอีกครั้ง

ได้ยินว่าท่านผู้เฒ่าเผยเก๋อกำลังตกปลาอยู่ที่สวนดอกไม้หลังบ้าน หมิงอวินกับจื่ออวี้จึงไปพบท่านผู้เฒ่าเผยเก๋อเป็นอันดับแรก ส่วนหลินหลันไปลงมือฝังเข็มให้เผยฮูหยินดั่งเคย

“สิบกว่าวันมานี้ ข้ารู้สึกโล่งศีรษะขึ้นเยอะ อาการมึนงงก็ไม่มีแล้วเช่นกัน” เผยฮูหยินบีบนวดบริเวณขมับหลังผ่านการฝังเข็มเสร็จสิ้นพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“การฝังเข็มเห็นผลได้อย่างรวดเร็วก็จริง ทว่าอาการปวดศีรษะข้างเดียวของฮูหยินเป็นโรคที่เป็นมาเนิ่นนานแล้ว หากต้องการขจัดไปถึงต้นตอของอาการยังจำเป็นต้องใช้กรรมวิธีรักษาอีกหลายอย่างผนวกกับการรักษาสภาพจิตใจไว้ให้ดีๆ เจ้าค่ะ ขอเพียงให้ความสำคัญต่อการบำรุงร่างกายในทุกๆ วัน ข้ารับประกันว่าอาการจะไม่กำเริบอีกเจ้าค่ะ” หลินหลันเห็นว่าเผยฮูหยินฟื้นฟูขึ้นอย่างดีมาก จึงรู้สึกดีใจไปด้วยเช่นกัน

“หากได้พบเจอเจ้าแต่เนิ่นๆ ก็คงดี ท่านแม่ข้าก็คงไม่ต้องทนทรมานมานานขนาดนี้” เผยจื่อชิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม

หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน นางรับรู้มาว่าก่อนหน้านี้เป็นคุณชายฮว๋าที่ช่วยรักษาอาการป่วยของเผยฮูหยิน “ตามจริงทักษะการรักษาของท่านหมอฮว๋านั้นล้ำเลิศอย่างมาก เพียงแต่เขาเป็นหมอบุรุษ ทั้งยังเยาว์วัย และหาได้มีความสนิทสนมอย่างพวกเราเช่นนี้ไม่ บางคำพูดก็มิอาจพูดออกไปอย่างหมดเปลือกได้ และบางครั้งการรักษาก็ยังจำเป็นต้องควบคู่ไปกับการรักษาทางใจด้วย”

เผยจื่อชิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่เจ้าพูดก็ถูก”

เผยฮูหยินเผยรอยยิ้มอย่างจำใจ โดยหันไปกล่าวกับหลินหลัน “ระยะนี้ได้พูดคุยกับเจ้า ภายในใจของข้านี้รู้สึกสบายใจขึ้นมาเลยจริงๆ! และข้าก็คิดได้แล้วเช่นกันว่าชีวิตคนเรามันมิง่ายดาย ไยต้องทำให้ตนเองทุกข์ระทมไปด้วย หากเจ้าไม่รีบร้อนกลับไป อีกเดี๋ยวช่วยไปดูคนผู้นี้ให้ข้าทีสิ!”

“ดูใครหรือเจ้าคะ” หลินหลันกล่าวอย่างประหลาดใจ

เผยจื่อชิ่งส่งเสียงกระแอม “ท่านแม่ อีกประเดี๋ยวลูกพาหลี่ฮูหยินไปก็ได้เจ้าค่ะ”

เมื่อออกจากห้องของเผยฮูหยิน เผยจื่อชิ่งถึงได้กล่าวขึ้น “เมื่อวานท่านพ่อข้ารับคนเข้ามาแล้ว”

หลินหลันเข้าใจได้ในทันที นางจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ท่านแม่เจ้ายินยอมแล้วหรือ”

เผยจื่อชิ่งเม้มริมฝีปาก “หากท่านแม่ข้าไม่ยินยอม มีหรือท่านพ่อข้าจะกล้า ก็แค่ไม่อยากแข็งกร้าวเกินไปจนทำให้ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาวุ่นวายไปใหญ่ จึงยอมรับนางให้เข้ามาอยู่ร่วมด้วย มองดูแล้วก็เป็นคนอ่อนโยนผู้หนึ่งเช่นกัน ทว่านี่ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่าเป็นสตรีผู้ดีงามอ่อนโยนจริงหรือเป็นเพียงการแสร้งทำทีอ่อนโยนกันแน่ ยังจำเป็นต้องจับตามองต่อไปเรื่อยๆ หากนางรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว ทุกคนจะได้อยู่กันอย่างสงบสุขก็แล้วไป แต่หากนางเป็นผู้มีจิตใจเจ้าเล่ห์เจ้ากล ข้ายังนึกมิออกเลยว่าจะเกิดปัญหาวุ่นวายมากเพียงใด”

หลินหลันกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “มีอันใดน่ากังวลใจเสียที่ไหนกัน หากนางมิเชื่อฟัง มิรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวก็แค่สั่งสอนนางสักตั้ง เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ มีหรือท่านแม่เจ้าจะมิอาจกำราบได้”

เผยจื่อชิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มฉงน “ดูเหมือนเรื่องอะไรก็ตามที่ออกจากปากเจ้าล้วนเป็นอะไรที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงทั้งสิ้น หรือว่าเจ้ามิเคยเผชิญความลำบากใจและเรื่องราวอันวุ่นวายอย่างมากเลยหรือไร”

หลินหลันกะพริบตาปริบๆ “ต้องมีอยู่แล้ว! ทว่าเจ้ามิเก็บนางมาใส่ใจ นางก็ทำอันใดมิได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะต่อกรกับผู้ใดก็ล้วนเป็นเช่นนี้ทั้งนั้น เมื่อเจ้าไม่ละเมิดข้า ข้าก็จะไม่ละเมิดเจ้า หากเจ้าละเมิดข้าก็อย่าได้โทษว่าข้ามิเกรงใจแล้วกัน ซึ่งข้ายึดหลักการที่ว่านี้ในการกวาดล้างวิญญาณและอสรพิษทั้งหมดทั้งมวลจนราบคาบ ดังนั้นข้าจึงมิเคยแบกรับความกังวลใดๆ ไว้ภายในจิตใจ”

เผยจื่อชิ่งกล่าวด้วยความรู้สึกประหลาดใจ “เดาว่าผู้ที่เป็นคู่ต่อสู้กับเจ้าคงน่าอนาถอย่างยิ่ง ”

“นั่นเป็นสิ่งที่พวกนางสมควรได้รับ ใครใช้ให้พวกนางไม่รู้จากดูตาม้าตาเรือ ตามจริงแล้วข้าฝีมือธรรมดาๆ เสียที่ไหนกันล่ะ” หลินหลันกล่าวเชยชมตนเอง

เผยจื่อชิ่งอดที่จะหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ นางยกมือขึ้นปิดปากขณะส่งเสียงหัวเราะ เมื่อได้รู้จักกับหลินหลันนานเข้า ถึงได้พบว่านางเป็นผู้ที่น่าสนใจมากผู้หนึ่งจริงๆ ทั้งความนึกคิดอันแปลกประหลาดนานาประการ อีกทั้งยังมีนิสัยใจคอร่าเริงและใจกว้าง ดูเหมือนเป็นคนเรื่อยๆ เฉื่อยๆ ทว่าความนึกคิดกลับละเอียดรอบคอบอย่างยิ่ง

“กำลังคุยอันใดกันอยู่หรือถึงได้ดูมีความสุขถึงเพียงนี้” หลี่หมิงอวินและเฉินจื่ออวี้เดินเข้าทักทาย

เผยจื่อชิ่งที่กำลังมีความสุขเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดทั้งสองท่านถึงกลับมารวดเร็วเพียงนี้หรือเจ้าคะ”

เฉินจื่ออวี้กล่าว “ท่านผู้เฒ่าเก๋อกำลังตกปลาจึงรำคาญพวกเราที่พูดมากเกินไปจนทำให้ปลาของเขาหนีไปหมด ก็เลยไล่พวกเราออกมาน่ะสิ”

หลี่หมิงอวินชายตาคู่งามขึ้นมองท้องนภาที่ปรากฏก้อนเมฆขาวสะอาดตา

เผยจื่อชิ่งฉีกยิ้มเล็กน้อย นางรู้ดีแก่ใจว่าผู้เป็นปู่ชื่นชอบให้พวกเขาแวะมาเยี่ยมเยียนเป็นที่สุด ทุกครั้งมักจะชวนกันพูดคุยเรื่อยเปื่อย หากไม่ได้พูดคุยกันเกินหนึ่งชั่วโมงขึ้นไปมีหรือจะปล่อยคนเขาไปง่ายๆ เดาว่าทั้งสองคนนี้คงหาข้ออ้างหนีออกมาเสียมากกว่ากระมัง

“ทว่า ท่านผู้เฒ่าเก๋อกล่าวว่าค่ำคืนนี้เชิญพวกเราอยู่รับประทานปลาด้วยกัน” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยท่าทีสบายๆ “แต่น่าเสียดายที่ในบ้านข้ายังมีเรื่องราวต้องสะสาง จื่ออวี้ เจ้าคงต้องอยู่ต่อลำพังแล้วละ”

เฉินจื่ออวี้กล่าวขึ้นทันทีทันใด “จะได้อย่างไรกัน เจ้ารับปากท่านผู้เฒ่าเก๋อไว้แล้วแท้ๆ”

หลี่หมิงอวินถอนหายใจแล้วกล่าวขึ้น “เฮ้อ! ข้ามีเรื่องราวต้องสะสางจริงๆ เจ้าก็รู้นี่ว่าวันนี้พี่ชายข้าเข้าร่วมการสอบ” ระหว่างนั้นเขาหันไปคารวะโดยการวางมือซ้ายไว้บนหมัดขวาขณะกล่าวกับเผยจื่อชิ่ง “รบกวนเผยเสี่ยวเจี่ยะช่วยกล่าวขออภัยแด่ท่านผู้เฒ่าเก๋อ โดยกล่าวว่าวันหน้าหมิงอวินจะมาขอขมาด้วยตนเองถึงที่”

หลินหลันแอบยิ้มเล็กยิ้มน้อย นี่หมิงอวินกำลังสร้างโอกาสให้จื่ออวี้กับเผยจื่อชิ่งอยู่สินะ!

[1] วัดหงหลู (鸿胪寺) เป็นหนึ่งในเก้าวัดที่ดูแลแขกต่างชาติต่างแดนและจัดการเรื่องเทศกาลพระราชพิธีต่างๆ ที่กำหนดโดยเจ้ากระทรวงพิธีการ

ปฏิญญาค่าแค้น

ปฏิญญาค่าแค้น

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ปฏิญญาค่าแค้นหลินหลัน ทะลุมิติมาเกิดใหม่ในคราบของหญิงสาวชาวบ้านที่แสนลำบากยากจน แต่โชคยังดีที่ความสามารถด้านการแพทย์และประสบการณ์รักษาผู้คนที่สั่งสมมา จากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนั้นติดตัวมาด้วย อีกทั้งครอบครัวในชาติภพนี้ก็ดีกับนางมิใช่น้อย กระนั้นเคราะห์ร้ายก็ยังคืบคลานเข้ามา เมื่อพี่ชายผู้เป็นที่พึ่งพาเดียวของนาง นั้นใสซื่อจนไม่อาจตามทันเล่ห์กลของพี่สะใภ้ที่แสนโลภมาก สุดท้ายแล้วหลินหลันก็ถูกนางบีบบังคับ ให้ต้องออกเรือนแต่งงานไปเป็นนางบำเรอจนได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องดึงตัว หลี่ซิ่วฉาย ชายหนุ่มรูปงามผู้มีเบื้องหลังเป็นปริศนา ในหมู่บ้านเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์ ทั้งสองได้ตกลงทำสัญญาขึ้นมาหนึ่งฉบับ เขาช่วยนางให้หลุดพ้นจากการคลุมถุงชน ส่วนนางจะช่วยเขาแก้แค้นและทวง ทุกสิ่งอย่างที่ถูกพรากไปกับคืนมาภายในระยะเวลาสามปี ทว่าแผนการช่วยเหลือ เขาให้บรรลุเป้าหมายนั้นกลับไม่ง่ายดายอย่างที่คิดนี่สิ…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset