นางฮานเตรียมการส่งหมิงจูกลับบ้านเกิดภายใต้สภาวะตึงเครียด ข่าวลือชักจะปิดไว้ไม่อยู่ ขณะเดียวกันก็รอคอยข่าวคราวของนายกู่อย่างกระวนกระวายใจ
ในวันเดียวกัน ภายในบ้านเก่าหลังหนึ่งทางด้านเหนือของเมืองหลวง นายซุนกำลังร้อนใจจนทำอะไรไม่ถูก “นายกู่ นี่มิใช่เจ้าหาเรื่องให้ข้าแล้วหรือ ช่วงที่ผ่านมาข้าไปสอบถามมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าตระกูลหวงมิได้เข้าร่วมลงทุนเหมืองถ่านหินที่ซานซีนั่น ส่วนหนิงหวังซุนทำเหมืองก็จริง แต่กลับมิได้ร่วมลงทุนผ่านทางเจ้า โดยเรื่องเหล่านี้ข้ายังช่วยเจ้าปิดบังไว้อยู่ เพราะเรื่องเหล่านี้ล้วนมิใช่ปัญหาใหญ่ ขอเพียงทำเงินได้ก็เป็นพอ ทว่าตอนนี้เจ้าดันบอกข้าว่า ภูเขาสองลูกที่ฮูหยินลงทุนเป็นเหมืองร้าง แล้วเจ้าจะให้ข้าชี้แจงต่อฮูหยินอย่างไรหรือ”
นายกู่ที่อยู่เบื้องหน้าขมวดคิ้วกล่าวด้วยความเสียใจ “เจ้าคิดว่าข้าอยากให้เป็นเช่นนี้หรือ ตัวข้าเองก็ร่วมลงทุนด้วยเช่นกัน! เงินสะสมหลายปีมานี้ก็ทุ่มลงไปจนหมด ข้าจะไปโทษผู้ใดได้ ในเมื่ออยากร่ำรวยก็ต้องยอมรับความเสี่ยง ทำเงินได้ก็เป็นโชคดีของเจ้า ขาดทุนก็เป็นโชคชะตาของเจ้า ใครจะรู้ว่าเหมืองนี้จะมีชั้นถ่านหินตื้นเขินถึงเพียงนั้น แล้วยังพบเจอเพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นด้วย…”
นายซุนถลกแขนเสื้อขึ้น ท่าทางจะไม่ยอมปล่อยผ่านไปโดยง่าย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ หากไม่จัดการให้เรียบร้อยคงเป็นอันต้องขึ้นโรงขึ้นศาลแน่
“เจ้าจะขาดทุนหรือไม่ข้าไม่สน ตอนแรกเจ้ารับปากกับข้าไว้อย่างดิบดีว่านี่เป็นโอกาสทองที่หาได้ยากยิ่ง ข้าถึงได้กล้าเข้าไปเกลี้ยกล่อมฮูหยินจนได้ เจ้าต้องคิดหาวิธีทำเงินให้งอกเงยออกมาให้ได้ มิเช่นนั้นฮูหยินได้ลากเจ้ากับข้าไปขึ้นโรงขึ้นศาลแน่นอน”
นายกู่เงยหน้าจ้องมองนายซุนอย่างดุดันอยู่เนิ่นนานพอตัวก่อนหลุดหัวเราะออกมา หลังจากนั้นจึงกล่าวเชิงเหยียดหยาม “ข้าจะบอกไรให้นะนายซุน โอกาสทองที่หาได้ยากมันหมายถึงจะไม่ขาดทุนหรือไร อย่างน้อยๆ เจ้าเองก็คงเคยอ่านตำรามาบ้างกระมัง!”
นายซุนถึงกับชะงักก่อนสวนขึ้นทันควัน “เช่นนั้นเรื่องของตระกูลหวงและหนิงหวังซุนเจ้าจะอธิบายอย่างไร”
นายกู่กล่าวโดยไร้ท่าทีตื่นตระหนกแต่อย่างใด “ข้าเอ่ยถึงตระกูลหวงและหนิงหวังซุนแล้วหรือ”
นายซุนแทบสำลักขึ้นมาอีกระลอก เขาชี้นิ้วไปที่นายกู่แล้วกล่าว “เจ้า…นี่เจ้าคิดจะไม่ยอมรับใช่หรือไม่”
นายกู่ลุกขึ้นยืนอย่างใจเย็นแล้วเดินไปหยุดข้างตัวนายซุน เอื้อมมือออกไปตบบ่าเพื่อให้เขานั่งลง “น้องซุนเอ๊ย! สถานการณ์มันเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้แล้ว ไม่มีผู้ใดอยากให้มันเป็นเช่นนี้เหมือนกัน ข้าขาดทุน ฮูหยินก็ขาดทุนเช่นกัน ทว่าน้องซุน เจ้ามิได้ขาดทุนเลยสักนิดมิใช่หรือ” เขากล่าวอย่างเนิบๆ
บนใบหน้าแข็งทื่อของนายซุนเผยให้เห็นความตื่นตระหนกอย่างเด่นชัด
“ถึงอย่างไรข้านายกู่ผู้นี้ก็ตัวคนเดียว หากฮูหยินต้องการลากข้าเข้าคุกเข้าตาราง ข้าก็ไม่เกรงกลัว ข้าเตรียมเอกสารที่จำเป็นสำหรับการเปิดเหมืองไว้อย่างถูกต้องครบถ้วน ฮูหยินร่วมลงทุนด้วยก็เป็นความสมัครใจ และนางก็เคยประทับตรานิ้วมือไว้ด้วยตนเอง อยากฟ้องร้องข้า? ฮ่าๆ ไม่ง่ายดายขนาดนั้นกระมัง อีกอย่าง หากข้าเกิดซวยขึ้นมาแล้วมันจะมีประโยชน์อันใดต่อเจ้าหรือ หรือว่าเจ้าจะนำเงินที่ได้รับไปแล้วคืนให้กันล่ะ ได้ข่าวว่าให้ภรรยาและมารดาของเจ้าย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่แล้ว? บ้านหลังขนาดย่อมในตรอกกุ้ยฮวาเอ๋อร์ที่เทียนจินคงสุขสบายกว่าบ้านอิฐเก่าๆ หลังเดิมเยอะทีเดียว…”
คำพูดที่นายกู่กล่าวออกมานี้ส่งผลให้นายซุนยิ่งตระหนกตกใจด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อเข้าไปใหญ่ เขามองนายกู่ด้วยสีหน้าลนลานอย่างเห็นได้ชัด “เจ้ารู้ได้อย่างไร…”
นายกู่ส่งเสียงหัวเราะร่า “อย่าลืมสิว่าข้าเคยเป็นกุนซือที่เมืองเฉาปาง แม้มิกล้าเอ่ยถึงขั้นว่ามีพี่น้องอยู่ทั่วสารทิศ ทว่าหากข้าอยากรู้เรื่องอันใดก็มิได้เกินความสามารถ”
นายซุนหน้าซีดเผือด เขาถึงกับนั่งไม่เป็นสุขจึงดีดตัวลุกขึ้นยืน “เจ้าจะเอาอย่างไร”
นายกู่แสดงท่าทีเป็นสัญญาณให้เขานั่งลง เขามีรอยยิ้มแต่งแต้มบนใบหน้า ทว่านัยน์ตากลับทิ่มแทงอย่างดุดัน ข่มขู่อย่างชัดเจน “น้องซุนใจเย็นๆ ก่อนสิ ข้าเพียงแค่หวังว่าเจ้าจะเข้าใจไว้ว่าหากฮูหยินรับรู้ว่าเจ้าได้ผลประโยชน์จากครั้งนี้ไปมิใช่น้อยๆ แล้วนางยังจะเชื่อเจ้าอยู่อีกหรือ ดีไม่ดีอาจคิดว่าเป็นพวกเรารวมหัวกันหลอกนางก็เป็นได้ ข้าน่ะมันคนนอก ถึงจะเกลียดจะชังกันก็ช่างเถิด ทว่าคนเลวทรามในบ้านอย่างเจ้าผู้นี้คงไม่อาจให้อภัยได้ ดังนั้น! ตอนนี้พวกเราก็ไม่ต่างจากคนที่ลงเรือลำเดียวกัน หากเรือพลิกคว่ำ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็หนีไม่รอดเช่นกัน”
นายซุนกุมศีรษะด้วยความกลัดกลุ้ม เขาเงียบงันอยู่เนิ่นนานก่อนจะเค้นเสียงผ่านลำคอเพื่อเอ่ยถามออกมา “เช่นนั้นเจ้าว่าควรทำอย่างไร”
นายกู่เผยรอยยิ้มจาง กล่าวอย่างนุ่มนวล “ตราบใดที่เจ้าให้ความร่วมมือกับข้าดีๆ เรื่องนี้ก็แก้ไขไม่ยาก ตระกูลหลี่เป็นถึงขุนนางใหญ่โต กิจการมากมาย ขาดทุนกับเงินแค่นี้ถือว่าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หลังสิ้นเรื่อง เจ้าก็ยังได้อยู่บ้านใหม่ของเจ้าดังเดิม และได้เปิดร้านขายของชำที่เจ้าวาดหวังไว้”
นายซุนครุ่นคิดอย่างหนัก เงินที่ตกมาอยู่ในมือเขาแล้ว เขาเองก็ไม่อยากควักออกมาอีกเช่นกัน ถึงอย่างไรตระกูลหลี่ก็มีทรัพย์สินตั้งมากมาย พวกเขาคงไม่ขาดทุนไปสักเท่าไหร่หรอกกระมัง ทันใดนั้นดวงตาของนายซุนก็เป็นประกายขึ้นมา เขาตบโต๊ะ แสดงท่าทีราวกับได้ตัดสินใจเด็ดขาดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “ตกลง ข้าจะทำตามที่เจ้าว่าทั้งหมด”
นางฮานกับแม่เจียงและแม่เหยาร่วมกันเลือกของขวัญสำหรับมอบให้พี่ชายของนายท่านใหญ่อยู่ภายในคลังเก็บทรัพย์สิน
“ฮูหยินเจ้าคะ บ่าวคิดว่าผ้าอั้นฮัวหลัวผืนนี้ก็ค่อนข้างเหมาะสมนะเจ้าคะ” แม่เจียงอุ้มผ้าอั้นฮัวหลัวสีแสดมาให้
นางฮานลูบคลำเนื้อผ้าแล้วกล่าวอย่างอ่อนใจ “เดิมทีนี่เป็นผืนที่จะเก็บไว้ให้เหล่าเหยีย ช่างเถอะ เอาใส่ไปด้วยแล้วกัน! แล้วก็นำผ้าลวดลายดอกไม้ผืนนั้นใส่รวมไปด้วย ไว้สำหรับมอบให้พี่สะใภ้ใหญ่”
แม่เหยาสั่งการคนให้จดรายการผ้าที่นำออกมาจากห้องคลังทรัพย์สินทั้งหมดบันทึกไว้ในสมุดบันทึกรายการเข้าออกทรัพย์สิน
“แม่เจียง เจ้าช่วยเลือกผ้าไหมที่ไม่ได้ใช้มาอีกสักสองผืน ข้าจำได้ว่ายังมีม่านมุ้งอีกสองผืน เอาใส่รวมไปด้วยเช่นกัน แล้วเพิ่มหยกหรูอี้อีกหนึ่งคู่เข้าไปด้วย ถือเสียว่าเป็นสินสอดให้ครอบครัวอวี๋”
แม่เจียงและแม่เหยาสบตามองกัน แม่เจียงเชิดคางขึ้นเล็กน้อยและส่งสายตาให้แม่เหยา แม่เหยาจึงไปเลือกผ้าไหมที่เหลือจากปีที่แล้วมาอีกสองผืน
ชุนซิ่งเข้ามารายงานโดยเอ่ยว่านายซุนขอเข้าพบ
นางฮานมีสีหน้าตื่นตัวขึ้นทันทีทันใด “แม่เหยา เจ้ารีบนำสิ่งของไปตระเตรียมให้เรียบร้อย แม่เจียง เจ้าตามข้าไปโถงรับแขก”
นางฮานรีบมายังโถงรับแขก เห็นนายซุนพานายกู่ติดตามมาด้วยจึงรู้สึกใจชื้นเป็นอันดับแรก แต่แล้วนางฮานก็ต้องรู้สึกใจหายวูบเมื่อเห็นสีหน้ากลัดกลุ้มของนายกู่ซึ่งแตกต่างไปจากคราก่อนที่มาส่งมอบเงินปันผลให้ด้วยสีหน้าเบิกบาน สายตาของนางเบนไปจับจ้องที่นายซุน นายซุนกลับก้มหน้าลงทันทีทันใดซึ่งนั่นทำให้นางฮานยิ่งรู้สึกไม่สบายใจหนักขึ้นกว่าเดิม
นายกู่ก้าวไปเบื้องหน้าแล้วคารวะ “คารวะหลี่ฮูหยินขอรับ”
นางฮานไม่รีรอ กล่าวอย่างตรงไปตรงมาทันที “นายกู่ ทางด้านซานซีนั่นเรียบร้อยดีใช่หรือไม่” หลายวันมานี้นางให้นายซุนไปสืบถามไว้ล่วงหน้า ทว่ากลับมิได้รับข่าวคราวอันใดจากเขาเลยสักนิด ซึ่งนั่นทำให้นางเดือดดาลอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่กล้ากระโตกกระตาก ด้วยเกรงว่าสามีจะรับรู้เข้า ส่งผลให้นางกินไม่ได้นอนไม่หลับ คนทั้งคนแก่ขึ้นอีกเป็นกองก็ว่าได้ ระหว่างนี้ทางด้านหญิงชรายังคิดว่านางกำลังสภาพจิตใจไม่สู้ดีเพราะเรื่องของอวี๋เหลียน จึงเอาแต่เกลี้ยกล่อมนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าให้ปล่อยวาง หารู้ไม่ว่าตอนนี้นางมีกะจิตกะใจไปสนใจเรื่องของนางอวี๋คนสารเลวนั่นเสียที่ไหนกัน
นายกู่เผยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “หลี่ฮูหยิน เรื่องนี้ ข้ามิรู้ว่าควรเริ่มเอ่ยจากตรงไหนดี”
นางฮานรู้สึกเพียงความเย็นเฉียบของมือและเท้า นางกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ “เจ้าพูดมาตามตรงก็พอ”ช่วงนี้นางได้คิดอะไรต่อมิอะไรมากมาย ทั้งยังได้เตรียมตัวเตรียมใจต่อสถานการณ์ในแง่เลวร้ายที่สุดไว้แล้วด้วยซึ่งก็คือการถูกนายกู่หลอกลวง ขาดทุนย่อยยับ และไม่ได้อะไรกลับคืนแม้แต่ตำลึงเดียว ทว่าวันนี้นายกู่มายืนอยู่ตรงนี้ได้ ดังนั้นเรื่องที่ว่าเป็นการจัดฉากเพื่อหลอกลวงกันนั้นน่าจะตัดทิ้งไปได้เลย ความเป็นไปได้ที่เหลืออยู่ก็คือเหมืองที่นางลงทุนทำไปนั้นคงมิได้ทำเงินมากมายจึงไม่อาจคืนทุนได้ในเวลาอันสั้น หรือแม้กระทั่งอาจขาดทุนเล็กน้อย ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นนางยังพอทำใจยอมรับได้ ทว่าเมื่อคิดว่าแผนการและความปรารถนาต้องเป็นอันล้มเหลวทั้งหมด มันช่างหนักหนาเกินกว่าจะรับไหวเสียจริง
“หลี่ฮูหยิน เหมืองถ่านหินนี้ข้าเป็นผู้ไปดูด้วยตนเองในตอนแรก ปรากฏว่ามีถ่านหินจำนวนมาก อีกทั้งยังอยู่ในชั้นตื้นเขิน ง่ายต่อการขุด ทุกคนจึงพากันกล่าวว่าภูเขาลูกนี้จะทำเงินได้มหาศาล ซึ่งสองเดือนที่ผ่านมานี้มันทำเงินได้จำนวนไม่น้อยเลยจริงๆ ทว่า…เมื่อขุดลงไปถึงก้นล่างกลับกลายเป็นก้อนหินที่ไร้ประโยชน์และเศษถ่านหินจำนวนน้อยนิด ทว่าข้ายังไม่ยอมถอดใจ จึงสั่งคนให้ขุดต่อไปเรื่อยๆ ทว่ามันก็…ยังคงเป็นสภาพเดิม” นายกู่กล่าวด้วยท่าทีรู้สึกผิด
“เช่นนั้นเหมืองภูเขาอีกลูกล่ะ” นางฮานเอ่ยถามด้วยความกระวนกระวายใจ
นายกู่ส่ายหน้าและถอนหายใจ “ภูเขาสองลูกนี้เชื่อมต่อกัน สถานการณ์จึงมิต่างกันเลยสักนิด”
นางฮานสติหลุดไปเนิ่นนานก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยจิตใจกระวนกระวาย “เช่นนั้นเจ้าหมายความว่า…ทำเงินมิได้แล้วอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นเงินล่ะ เงินทุนจะเอากลับคืนมาได้หรือไม่”
นายกู่ส่ายหน้าอีกครั้ง “เกรงว่าคงเป็นการยาก”
แม่เจียงกล่าวด้วยความร้อนอกร้อนใจ “ทว่าตอนแรกเจ้าเอ่ยว่าเหมืองสองแห่งนี้ดีเยี่ยม จะทำเงินได้อย่างแน่นอนมิใช่หรือ”
นายกู่กล่าวอย่างละอายใจ “ว่ากันตามปกติก็ควรเป็นเช่นนั้น ทว่ากระทั่งผู้มีประสบการณ์ในพื้นที่ยังมองพลาดไปได้ ข้าเองก็ทุกข์ใจจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเช่นกัน! ในเมื่อของสิ่งนี้มันอยู่ใต้ดิน พวกเรามิได้มีสายตาที่จะมองทะลุปรุโปร่งได้เพียงนั้นใช่หรือไม่? การทำเหมืองเดิมทีก็มีความเสี่ยงสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หากทำถูกที่ก็ไม่ต่างจากการขุดภูเขาทองคำ หากทำไม่ถูกที่ก็เป็นแค่ก้อนหินไร้ประโยชน์กองโตเท่านั้น”
นางฮานนั่งตัวสั่นสะท้านอยู่เช่นนั้น ยืนหยัดมาตั้งหลายวันเพียงนี้ เดิมทีก็ไร้พลังกายพลังใจอยู่แล้ว ยามนี้จึงรู้สึกไม่อาจแบกรับได้อีกอย่างแท้จริง จังหวะลมหายใจของนางเริ่มไม่สม่ำเสมอ นางพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกผิดหวังและความกระวนกระวายที่อยู่ภายในใจ ดวงตาเสมือนคบเพลิงกำลังจับจ้องไปที่นายกู่ขณะเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นชา “ตอนแรกเจ้าเอ่ยว่าตระกูลหวงร่วมลงทุนด้วย ทว่าเท่าที่ข้ารับรู้มาตระกูลหวงไม่ได้รู้เรื่องด้วยสักนิด เจ้าจะอธิบายอย่างไรหรือ”
นายกู่จงใจทำท่าทีตกตะลึงแล้วกล่าว “มิน่าล่ะหวงฮูหยินถึงตำหนิว่าข้าปากไม่มีหูรูด ไอ้หยาหลี่ฮูหยิน เหตุใดท่านถึงไปถามหวงฮูหยินเสียได้ ตอนแรกข้าได้รับปากนางไว้ว่าจะมิแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปภายนอกเป็นอันขาด แต่เป็นเพราะเห็นท่านมีความนึกคิดอยากเข้าร่วมลงทุนแต่ก็ลังเลตัดสินใจมิได้ ถึงได้กล่าวถึงตระกูลหวงออกมาเพื่อให้ท่านวางใจได้”
นางฮานกล่าวด้วยความสงสัย “เช่นนั้นหรอกหรือ พวกเราส่งมอบเงินไปที่เจ้ามากมายถึงเพียงนี้ ตอนนี้เจ้าพูดมาเพียงประโยคเดียวว่าเงินไม่เหลือแล้ว ทั้งยังทำเงินมิได้แล้ว หรือว่าเรื่องนี้จะให้จบลงง่ายๆ ถึงเพียงนี้เชียวหรือ เจ้าจะให้พวกเราคิดอย่างไร…”
นายกู่กล่าวสวนขึ้นทันควัน “หลี่ฮูหยิน ข้ารู้ดีว่าเรื่องนี้ทำให้ฮูหยินผิดหวังอย่างยิ่ง เรียนหลี่ฮูหยินตามตรง ก่อนที่จะมาจวนหลี่ ข้าไปจวนตระกูลหวง และตระกูลอีกท่านหนึ่งมา โดยได้ชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนแรกข้าก็เคยบอกไว้แล้วว่าเรื่องนี้มีความเสี่ยงซึ่งหลีกเลี่ยงมิได้ หากพวกท่านมิเชื่อมั่น แต่ละตระกูลก็แค่ส่งคนที่เชื่อถือได้มากที่สุดติดตามข้าไปซานซี ได้เห็นกับตาก็รู้แล้วว่าข้าหลอกลวงพวกท่านหรือไม่”
นางฮานพยายามทำท่าทีสงบนิ่ง “เจ้าคิดว่าข้ามิกล้าหรือ ข้าจะให้คนติดต่อตระกูลหวงเพื่อไปซานซีด้วยกัน จะได้เห็นว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่”
“หลี่ฮูหยิน เรื่องที่จะติดต่อเพื่อไปด้วยกัน ข้าขอแนะนำว่าหลี่ฮูหยินล้มเลิกความคิดนี้ไปเสียดีกว่านะขอรับ การลงทุนเหมืองจำเป็นต้องใช้เงินทุนจำนวนมากเพียงใด ท่านเองก็รู้ดีอยู่แล้ว ท่านลงทุนถึงสองแห่ง แห่งหนึ่งครอบครองสองส่วน อีกแห่งหนึ่งครอบครองสามส่วน เงินทุนที่พวกเขาลงไปนั่นมากมายกว่าท่านอย่างยิ่ง หากพวกท่านเป็นตระกูลนักค้าขายก็คงมิเป็นไร อยากจะจัดการอย่างไรก็คงได้ทั้งนั้น ทว่าพวกท่านล้วนเป็นตระกูลขุนนาง ลำพังเงินเดือนที่นายท่านแต่ละท่านได้รับก็น้อยนิดเพียงนั้น จะเอาเงินไปลงทุนเปิดเหมืองซึ่งต้องใช้ทุนจำนวนมากเพียงนั้นได้จากที่ไหนหรือ แน่นอนว่าข้าเองก็รู้ว่าเงินของหลี่ฮูหยินได้มาอย่างไร้มลทิน ในเมื่อตระกูลหลี่มีทรัพย์สินมากมายถึงเพียงนั้น และหลายปีที่ผ่านมาก็คงได้เก็บหอมรอมริบเอาไว้ไม่น้อย เงินนี้น่าจะเป็นเงินจำนวนเล็กน้อยด้วยซ้ำ? ทว่าคนของฝ่ายตรวจการทั่วไปคงไม่คิดเช่นนี้หรอกขอรับ บรรดาประชาชนที่อยู่ภายนอกก็คงไม่คิดเช่นนี้ เมื่อถึงตอนนั้นหากเกิดคำร่ำลือออกไป เกรงว่าคงมิเป็นผลดีต่อชื่อเสียงของบรรดานายท่านซึ่งดำรงตำแหน่งขุนนาง ข้าเพียงแค่พูดจากก้นบึ้งของหัวใจด้วยความปรารถนาดี อย่างไรก็ขอหลี่ฮูหยินลองพิจารณาให้ถี่ถ้วน ทางด้านตระกูลหวงนั้นกำชับข้าครั้งแล้วครั้งเล่าว่าห้ามแพร่งพรายเรื่องราวออกไปเป็นอันขาด แล้วยังมีอีกครอบครัวซึ่งฐานะโดดเด่นกว่ามาก รายนั้นถึงขั้นข่มขู่ข้าด้วยซ้ำว่าหากแพร่งพรายออกไปแม้แต่คำเดียวจะตัดหัวข้าทิ้งเสีย…ฮูหยิน เรื่องที่ท่านร่วมหุ้นส่วนด้วย ข้ามิเคยเอ่ยปากต่อผู้ใดทั้งสิ้นเช่นกัน แน่นอนว่าหากใต้เท้าหลี่ไม่ถือสา ข้าก็ไม่ขัดข้องเช่นกัน” นายกู่กล่าวด้วยสีหน้าท่าทีอันแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ