หลังหลี่จิ้งเสียนคิดไม่ตกตลอดทั้งคืน ท้ายที่สุดเขาตัดสินใจยอมใช้เงินเพื่อขจัดปัญหาที่จะตามมา!
ยังไม่ทันฟ้าสาง หลี่จิ้งเสียนให้คนเตรียมรถม้า เขาไปยังบ้านธรรมดาๆ ที่ไม่ดึงดูดสายตาหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองหลวงอย่างเงียบๆ ให้ผู้คุมรถรออยู่ด้านนอกขณะที่ตนเองเข้าไปภายในตามลำพัง
ภายในร้านผ้าไหมของตระกูลเยี่ย เยี่ยเต๋อฮ๋วยพยักหน้าอย่างใจเย็นหลังได้รับฟังสารที่ส่งมาจากผู้มารายงาน “ให้อู่จื่อจับตามองต่อไป แล้วไปส่งข่าวให้ใต้เท้าติงอีกสักหน่อย ใต้เท้าติงเห็นแก่ความเป็นญาติเกี่ยวดอง ดังนั้นเขาจะต้องส่งข่าวให้จิ้งจอกเฒ่าผู้นั้นอย่างแน่นอน หลังจากนั้นให้นายกู่ดำเนินการทันทีที่เห็นโอกาสเหมาะสม”
“ขอรับ ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ” คนผู้นั้นกล่าวด้วยสีหน้าระรื่น “เหล่าเหยียวางใจได้เลยขอรับ พี่ชายของเราจะทำให้เรื่องนี้มันสนุกสนานและทำให้ตาเฒ่านั่นรู้จักว่าการจนตรอกของจริงว่าเป็นเช่นไรได้แน่นอนขอรับ”
เมื่อความสุขใจบังเกิดขึ้นภายในใจเยี่ยเต๋อฮ๋วย สีหน้าของเขาจึงผ่อนคลายลง “คงได้เวลารวบแหแล้วสินะ ค่อยๆ รวบมันขึ้นมาทีละนิด ทีละนิด ทำให้จิ้งจอกเฒ่านั่นไม่มีโอกาสแม้กระทั่งหอบหายใจ”
คนผู้นั้นหัวเราะร่า แล้วจึงยกสองมือขึ้นคารวะก่อนถอยออกไป
เยี่ยเต๋อฮ๋วยจิบน้ำชาเข้าไปหนึ่งอึกอย่างผ่อนคลายสบายใจ หลังจากนั้นจึงส่งเสียงตะโกนเรียก “หัวหน้าผู้ดูแลเหวิน”
หัวหน้าผู้ดูแลเหวินขานรับแล้วเข้ามา “เหล่าเหยีย มีเรื่องอันใดต้องการสั่งการหรือขอรับ”
“เจ้าช่วยไปเรียกฝูอานมาพบข้าทีสิ”
หลี่จิ้งเสียนอยู่ในบ้านดังกล่าวเป็นเวลาประมาณหนึ่งก้านธูปเห็นจะได้ หลังจากนั้นจึงนั่งรถม้ากลับจวนหลี่
แม่จู้ป้อนยาให้หญิงชรา ทว่าหญิงชราดื่มเข้าไปสองคำก็เม้มปากแน่นด้วยความขม ไม่ว่าแม่จู้จะเกลี้ยกล่อมอย่างไรนางก็ไม่ยินยอมดื่มอีก
หลินหลันซึ่งอยู่ด้านข้างจึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ท่านย่าเจ้าคะ หากท่านอยากนอนเช่นนี้ไปชั่วชีวิต อยากขยับก็ขยับมิได้ อยากพูดก็พูดมิได้ ไม่ต่างจากคนตายทั้งเป็น เช่นนั้นมิต้องดื่มก็ได้เจ้าค่ะ!”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าหญิงชรากระตุกขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันนางจับจ้องดวงตาดุดันมายังหลินหลันไม่วางตา ราวกับกำลังโกรธเกรี้ยว
“ท่านย่าเจ้าคะ ท่านโมโหไปก็มิช่วยอันใด เมื่อป่วยแล้วก็ต้องกินยา จำเป็นต้องเชื่อฟังคำพูดของหมอ มิเช่นนั้นต่อให้เป็นหมอฮว๋าถัวผู้ยิ่งใหญ่ก็คงมิอาจรักษาได้เช่นกันเจ้าค่ะ” หลินหลันบอกกล่าว ยามที่ฝึกงานเมื่อในอดีตชาติ นางพบเจอคนไข้ที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือมานักต่อนัก สรรหาเหตุผลนานาประการมาโต้แย้ง มาใส่อารมณ์กับหมออย่างตน นางจึงต้องมีวิธีการไว้รับมือ สำหรับคนประเภทหญิงชรานี้ ปลอบประโลมหรือเกลี้ยกล่อมด้วยคำพูดคำจาดีๆ ล้วนไม่มีประโยชน์ หญิงชราไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งใดมาทั้งชีวิต หากชีวิตที่เหลือของนางต้องใช้อย่างครึ่งเป็นครึ่งตายเช่นนี้ นางยินยอมตายไปเสียดีกว่า ทว่าหญิงชรายังไม่อยากตาย และไม่อยากใช้ชีวิตภายใต้สภาพเช่นนี้ ดังนั้น ไม่สู้พูดความจริงจะดีเสียกว่า
หญิงชราจ้องเขม็งอยู่เนิ่นนาน ท้ายที่สุดนางปิดเปลือกตาลงอย่างผู้พ่ายแพ้ และเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง แววตาก็ไม่ปรากฏความไม่พอใจเช่นเมื่อครู่อีกแล้ว
หลินหลันจึงส่งสายตาเป็นสัญญาณให้แม่จู้ ทันใดนั้นแม่จู้จึงรีบตักยาป้อนไปที่ปากของหญิงชรา หญิงชราลังเลใจชั่วขณะก่อนจะอ้าปากขึ้นแต่โดยดี ครั้งนี้นางยินยอมดื่มยาจนหมดอย่างว่าง่าย
แม่จู้รู้สึกโล่งอกโล่งใจ ต้องขอบคุณคำพูดที่นายหญิงสะใภ้รองพูดต่อหญิงชรา หญิงชรานับว่าเชื่อฟังนายหญิงสะใภ้รองไม่น้อย ส่วนคนอื่นๆ ต่อให้พูดปากเปียกปากแฉะก็ไม่ช่วยอันใด
“ต้องแบบนี้สิเจ้าคะ อาการป่วยนี้ของท่านย่าต้องค่อยๆ ฟื้นฟูไป จะใจร้อนมิได้ หลานจะคิดหาวิธีทำให้ท่านย่าลุกขึ้นยืนได้โดยเร็วไว้เจ้าค่ะ” หลินหลันเผยรอยยิ้มหวาน แล้วหยิบน้ำตาลกรวดให้หญิงชราอมไว้ในปาก
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ?” อวี้หลงกำลังยืนร้องเรียกนางจากด้านนอกห้อง
หลินหลันกล่าว “แม่จู้ อีกประเดี๋ยวท่านบีบนวดมือและเท้าให้เหล่าไท่ไทแล้วกัน ข้าขอตัวออกไปก่อนสักประเดี๋ยว”
แม่จู้ส่งเสียงขานรับ “เดี๋ยวบ่าวคอยปรนนิบัติในนี้เองเจ้าค่ะ เอ้อร์เส้าหน่ายนายไปทำธุระของท่านเถิดเจ้าค่ะ”
หลินหลันหันไปคารวะให้หญิงชรา “ท่านย่าพักผ่อนสักหน่อยนะเจ้าคะ หลานขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
เมื่อออกมาจากห้องชั้นใน อวี้หลงต้องการเอ่ยปากบอกกล่าว ทว่าหลินหลันใช้สายตายับยั้งนางไว้ ทั้งสองคนพากันเดินกลับไปยังเรือนหลั้วเซี๋ยจาย หลังจากนั้นหลินหลันถึงเอ่ยถาม “มีเรื่องอันใดหรือ”
อวี้หลงเอ่ยรายงาน “เมื่อครู่ฝูอานมาเจ้าค่ะ หลายวันมานี้เอ้อร์เส้าหน่ายนายไม่ได้ไปร้านยา ภรรยาท่านจิ้งปั๋วโหว ภรรยาท่านแม่ทัพฮ๋วยหยวน แล้วยังมีแม่นางเผยต่างแวะเวียนเข้าไปที่ร้านเจ้าค่ะ เมื่อรับรู้ว่าระยะนี้เอ้อร์เส้าหน่ายนายยุ่งมากจนไปไม่อาจปลีกตัวไปไหนได้ จึงทิ้งจดหมายไว้ให้เจ้าค่ะ” อวี้หลงเอ่ยพลางนำจดหมายสามฉบับส่งให้หลินหลัน
หลินหลันเปิดมันอ่านระหว่างเดินไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นภายในใจของนางรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น ความหมายโดยคร่าวๆ ของจดหมายทั้งสามฉบับนี้ล้วนคล้ายคลึงกัน ไม่ได้เอ่ยอันใดมากมาย เพียงแค่กล่าวว่า หากนางมีปัญหาอันใดต้องการความช่วยเหลือ ขอเพียงเอ่ยปากมาเท่านั้นเป็นพอ ตระกูลหลี่เกิดปัญหาขึ้น ผู้คนที่ไปๆ มาๆ ในจวนหลี่เป็นปกติต่างพากันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ดังนั้นจึงอยากให้ระมัดระวังตัวไว้ให้มากๆ การที่พวกนางบอกกล่าวกันเช่นนี้ในช่วงเวลานี้ ถือว่าเป็นสิ่งที่น่ายกย่องอย่างยิ่ง
“เอ้อร์เส้าหน่ายนาย…” อวี้หลงปิดบานประตูแล้วเอ่ยด้วยเสียงบางเบา “นอกจากนั้นนายท่านใหญ่เยี่ยยังให้ฝูอานแอบมาส่งสารด้วยเจ้าค่ะ”
หลินหลันขมวดคิ้วทันที “ว่าอย่างไรหรือ”
อวี้หลงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นายท่านใหญ่เอ่ยว่าเตรียมรวบแหแล้วเจ้าค่ะ ให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายเตรียมตัวเตรียมใจไว้เจ้าค่ะ”
หลินหลันกล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “เอ้อร์เส้าเหยียรู้เรื่องแล้วหรือไม่”
อวี้หลงกล่าว “นายท่านใหญ่จะส่งคนไปบอกกล่าวเอ้อร์เส้าเหยียเจ้าค่ะ”
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไปเรียกจิ่นซิ่วมาพบข้าทีสิ”
อวี้หลงคารวะอย่างนอบน้อมแล้วถอยออกไป แม้นางไม่เข้าใจแผนการของนายน้อยรองและนายท่านใหญ่เท่าใดนัก ทว่านางรู้ดีว่าวันแห่งความวิบัติของนายท่านหลี่รออยู่ไม่ไกลแล้ว
จิ่นซิ่วเข้ามาพบหลังจากเวลาผ่านไปไม่นานนัก
“ทางด้านต้าเส้าเหยียมีความเคลื่อนไหวอันใดบ้างหรือไม่”
จิ่นซิ่วกล่าวตอบ “ต้าเส้าเหยียออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าตรู่แล้วเจ้าค่ะ ส่วนต้าเส้าหน่ายนายเรียกหงซางให้ถือกล่องขนาดย่อมออกจากจวนไป จนถึงตอนนี้ยังมิกลับมาเลยเจ้าค่ะ”
หลินหลันครุ่นคิด หลี่หมิงเจ๋อคงเป็นกังวลเกี่ยวกับแม่มดชราและน้องสาวน่าดู ทว่าในเมืองหลวงนี่หมิงเจ๋อไม่ได้มีสหายมากมายแต่อย่างใด ที่มีๆ อยู่ก็แค่เพื่อนกินเท่านั้น คงไม่มีทางให้เขายืมเงินจำนวนมากเพียงนั้นแน่นอน ในกล่องขนาดย่อมที่ติงหลั้วเหยียนให้หงซางไปนั่น เดาว่าคงเป็นสินเดิมของนาง นางคาดเดาไว้แต่แรกแล้วว่าต่อให้ติงหลั้วเหยียนนำสินเดิมขายออกไปจนหมดเกลี้ยง ก็ไม่อาจช่วยอันใดขึ้นมาได้
“ทางด้านเรือนเวยอวี่นั่นมิต้องไปสนใจอันใดแล้ว ให้ตงจึคอยจับตามองการเคลื่อนไหวของเหล่าเหยียเอาไว้ก็พอ”หลินหลันสั่งการ
เตรียมความพร้อมเข้าไว้ ถึงอย่างไรกันไว้ก็ดีกว่าแก้ สิ่งที่นางเยี่ยทิ้งไว้ให้ วันนี้จะต้องทวงคืนกลับมาทั้งหมดให้ได้
ติงหลั้วเหยียนนั่งอยู่ภายในบ้านด้วยความรู้สึกไม่เป็นสุข หมิงเจ๋อออกไปนานมากแล้ว ไม่รู้เช่นกันว่าจะหายืมเงินได้หรือไม่
สาวใช้ผู้หนึ่งเข้ามารายงาน “ต้าเส้าหน่ายนายเจ้าคะ แม่หลิวมาเจ้าค่ะ”
ติงหลั้วเหยียนตื่นตกใจ แม่หลิวเป็นผู้ดูแลเก่าแก่ซึ่งอยู่ข้างกายมารดาของนาง เหตุใดถึงมาหากันในยามนี้ล่ะ
“เชิญแม่หลิวไปรอที่โถงรับแขก อีกประเดี๋ยวข้าจะตามออกไป”
หลี่จิ้งเสียนจ้องมองตั๋วเงินนั้น เขาคิดว่าหลังวันนี้ผ่านพ้นไปแล้ว เงินเหล่านี้ก็จะไม่ใช่ของเขาอีก มันช่างสร้างความรู้สึกปวดใจไม่น้อย นี่มันพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกสินะ!
“ท่านพ่อ…” ติงหลั้วเหยียนบุกเข้ามาหน้าตาตื่น
หลี่จิ้งเสียนรีบหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาทับตั๋วเงินนั่นเอาไว้ เมื่อมองเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของลูกสะใภ้จึงอดใจตื่นตกใจไปด้วยไม่ได้ “มีเรื่องอันใดถึงหน้าตาตื่นมาเช่นนี้”
ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยความร้อนรนใจ “เมื่อครู่นี้มารดาให้ข้ารับใช้ที่คอยปรนนิบัติข้างกายนางมาพบ เอ่ยว่ามีเรื่องสำคัญเร่งด่วนเจ้าค่ะ”
หลี่จิ้งเสียนเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะสงบนิ่ง “แล้วมันเรื่องอันใดหรือ”
“ท่านพ่อของลูกได้ยินมาว่าขุนนางฝ่ายตรวจการเจอหลักฐานเล่นงานท่านพ่อ…” ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยท่าทางลำบากใจเล็กน้อย
“พูดออกมาก็เป็นพอ จะมัวอ้ำอึ้งอยู่ทำไมเล่า”
ติงหลั้วเหยียนกัดริมฝีปากล่างแล้วกล่าว “ใต้เท้าหยางแห่งฝ่ายตรวจการ ตรวจพบว่ามีเงินฝากในธนาคารจำนวนหนึ่งล้านตำลึงเงินซึ่งอยู่ภายใต้ชื่อของท่านอาสาม พวกเขาจึงสงสัยว่าเงินเหล่านี้เป็นเงินทั้งหมดที่ท่านพ่อรับสินบนมาหรือไม่เจ้าค่ะ”
หลี่จิ้งเสียนรู้สึกคล้ายกับสมองจะระเบิดเป็นจุณขึ้นทันใด เขาทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ราวกับวิญญาณหลุดลอยออกจากร่างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในที่สุดใต้เท้าหยางก็ตรวจพบเงินก้อนนี้จนได้
ติงหลั้วเหยียนเห็นสีหน้าของพ่อตาก็รู้ได้ทันทีว่าเกินกว่าครึ่งของเรื่องนี้เป็นความจริง ภายในใจจึงแอบรู้สึกเป็นทุกข์ไม่น้อย ปัญหาก่อนหน้าเพิ่งเบาบางลง ปัญหาระลอกใหม่ก็ถาโถมเข้ามาอีก คนผู้นี้พอถึงคราวซวยขึ้นมาก็ซวยเสียยิ่งกว่าผู้ใดหน้าไหนทั้งสิ้น
“ท่านพ่อ อย่างไรท่านคงต้องเตรียมรับมือไว้ให้ดีๆ นะเจ้าคะ…” ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา นางในฐานะสะใภ้แน่นอนว่าไปตำหนิติเตียนพ่อสามีไม่ได้ อีกทั้งตำหนิไปก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี นางเพียงแค่รู้สึกรันทดใจ จากสถานการณ์ที่เห็นในตอนนี้ ทำให้รู้ได้ทันทีว่าแนวโน้มจุดจบจะเป็นเช่นไร ตอนนี้คงเป็นอันถึงจุดจบของตระกูลหลี่แล้วจริงๆ