ภายในห้องหลัก เหล่าฟู่เหรินแห่งตระกูลเยี่ยกำลังนั่งอยู่บนที่นั่ง ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไม่วางตา ภายใต้สีหน้าจริงจัง หญิงวัยกลางคนที่คอยให้การปรนนิบัติอยู่ด้านข้างมองไปยังหลินหลันทันทีที่ผ่านประตูเข้ามา
หลินหลันกวาดสายตาไปรอบๆ ทว่ากลับมองไม่เห็นหลี่ซิ่วฉาย เห็นได้ชัดว่าถูกเหล่าฟู่เหรินจับแยกออกไปแล้ว อีกทั้งเมื่อมองไปยังเหล่าฟู่เหรินผมหงอกสีขาวซึ่งอยู่บนที่นั่ง ในมือถูกลูกประคำ สวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาๆ ใบหน้ซูบผอม ไม่มีลักษณะอย่างผู้ร่ำรวยเฉกเช่นเหล่าฟู่เหรินผู้ร่ำรวยคนอื่นๆ ทั่วไป กลับให้ความรู้สึกซึ่งแตกต่างออกไปเป็นอย่างมาก เมื่อเหลือบสายตาเล็กน้อยมองลงบนหน้าเข่าของเหล่าฟู่เหรินเยี่ยซึ่งคลุมเอาไว้ด้วยผ้าห่ม ในใจจึงปรากฏเครื่องหมายคำถามขึ้น ตอนนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิที่แสนอบอุ่น ขนาดสวมเสื้อแค่เสื้อผ้าชั้นเดียวเดินช่วงกลางวันก็ยังร้อนอบอ้าวจะแย่แล้ว นอกจากนี้ห้องยังหันเข้าหาดวงอาทิตย์อีก มีการระบายอากาศและแสงสว่างได้เป็นอย่างดี หรืออาจะเป็นไปได้ว่าเหล่าฟู่เหรินมีปัญหาที่ขาและเท้าเช่นนั้นหรือ
เหล่าฟู่เหรินเยี่ยเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็เห็นหลินหลันเอาแต่จ้องมองที่ขาและเท้าของนางอย่างใจลอย ขณะนั้นเองในใจก็รู้สึกไม่พึงพอใจขึ้นมาทันที
“ได้ยินว่าเจ้าเคยช่วยชีวิตหลี่หมิงอวิน?” เหล่าฟู่เหรินเยี่ยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
หลินหลันเรียกสติกับมา แล้วแสดงท่าคารวะให้แก่เหล่าฟู่เหรินเยี่ย ซึ่งเรียนรู้มาจากท่าทางการคาราวะของหยินหลิ่วเมื่อก่อนหน้านี้
“เรียนเหล่าฟู่เหริน หลินหลันเพียงแค่ช่วยกำจัดงูพิษแทนหลี่…กงจื่อเท่านั้นเองเจ้าค่ะ” หลินหลันเอ่ยตอบอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
เหล่าฟู่เหรินเยี่ยยังไม่รู้ว่าหลินหลันเป็นลูกศิษย์ฝึกงานของท่านหมอฮู๋ รู้เพียงแค่ว่าน้องสาวของนายพรานจะรู้จักวิธีการรักษาจากการถูกงูพิษกัดก็คงไม่แปลก
“เจ้าเคยช่วยชีวิตของหลี่หมิงอวิน วันนี้หลี่หมิงอวินก็ได้ช่วยเจ้าหลุดพ้นจากปัญหาใหญ่ จึงนับว่าได้ตอบแทนบุญคุณกันไปหมดแล้ว แม่โจว เจ้าไปในห้องข้านำออกมาหนึ่งร้อยสองเงินมอบให้แม่นางหลินหลัน ถือเป็นของขวัญขอบคุณที่ได้เคยช่วยชีวิตของหลี่หมิงอวินเอาไว้” หญิงชราเยี่ยเอ่ยอย่างเนิบๆ
ผู้ถูกเรียกนามว่าแม่โจวจึงเข้าไปนำเงิน
เป็นไปตามที่ได้คาดคิดเอาไว้ หญิงชราต้องการส่งนางกลับไปจริงๆ ด้วย หนึ่งร้อยสองเงินในสายตาผู้ร่ำรวยก็เป็นเพียงเงินหยิบมือเดียว แต่ทว่าสำหรับหลินหลัน ไม่นับว่าเป็นจำนวนที่น้อยเลยซักนิด หากใช้อย่างประหยัด คงเพียงพอสำหรับนางใช้จ่ายไปสามถึงห้าปีก็ว่าได้ แต่ทว่าจะให้ไปง่ายๆ เช่นนี้ โดยที่ยังไม่ได้ต่อสู้เลยแม้แต่น้อย หลี่ซิ่วฉายคงมีหวังได้กล่าวหานางว่าเป็นคนไร้สัจจะ นางยังจำข้อหนึ่งที่เขียนไว้บนสัญญาได้เป็นอย่างดี…ไม่ว่าจะพบเจอความยากลำบากเพียงใด ล้วนอย่าได้ยอมแพ้ไปง่ายๆ
“เหล่าฟู่เหริน หลินหลันช่วยหลี่กงจื่อมิใช่เพื่อเงิน การช่วยชีวิตคนหนึ่งคนยังดียิ่งกว่าการสร้างเจดีย์เจ็ดยอด ยิ่งไปกว่านั้นหลินหลันในฐานะหมอผู้หนึ่ง หน้าที่คือรักษาและช่วยชีวิตผู้คน ดังนั้น เงินนี้หลินหลันจึงไม่สามารถรับเอาไว้ได้” หลินหลันยังคงเผยรอยยิ้มออกมา
เมื่อได้ฟังมาถึงประโยคนี้ ฝีก้าวเท้าของแม่โจวก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ หันศีรษะมองไปยังเหล่าฟู่เหรินก่อนจะมองไปยังหลินหลัน สีหน้าแสดงให้เห็นถึงความลังเลใจ
สำหรับเหล่าฟู่เหรินเยี่ยที่ได้ฟังเช่นนั้น คำพูดของหลินหลันไม่ต่างจากการพูดการจาอย่างหยิ่งผยอง เป็นแค่ข้ออ้างที่อยากจะเกาะติดหลี่หมิงต่อไปเรื่อยๆ
“แม่นางหลิน พวกเรามาพูดกันอย่างตรงไปตรงมาเถิด เจ้าต้องการเงินจำนวนเท่าไหร่จึงสามารถยอมไปจากหมิงอวิน” เหล่าฟู่เหรินเยี่ยเอ่ยถามอย่างไม่เต็มใจนัก
หลินหลันถูกกระตุ้นอารมณ์เข้าเสียแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชีวิตก่อนหน้าหรือชีวิตปัจจุบันนี้ นางล้วนไม่เคยมองว่าเงินทองคือสิ่งที่สำคัญที่สุด นางมีทักษะทางด้านการแพทย์ มีความสามารถ และใยจะต้องกังวลว่าจะหาเงินไม่ได้ เหล่าฟู่เหรินเยี่ยพูดเช่นนี้ เห็นได้ชัดเจนว่าดูหมิ่นเหยียดหยามภูมิหลังตัวตนของนาง ดูถูกคนยากจน คิดระแวงเกี่ยวจุดประสงค์ความตั้งใจของนาง เรื่องนี้เป็นอะไรที่หลินหลันไม่อาจยอมรับได้
หลินหลันเผยรอยยิ้มอย่างใจเย็น “เหล่าฟู่เหริน ความเมตตาของท่านหลินหลันรับเอาไว้ในหัวใจแล้ว เพียงแต่หลินหลันกับหลี่กงจื่อมีคำมั่นสัญญาต่อกันแล้ว จึงมิอาจยอมแพ้ไปโดยง่ายดาย หากเป็นเหล่าฟู่เหรินที่ไม่ปรารถนาให้หลินหลันอยู่ ขอเพียงแค่เชิญหลี่กงจื่อมาพูดต่อหน้าให้ชัดเจน หลินหลันก็จะไปในทันทีเจ้าค่ะ”
หลินหลันคาดเดาว่าหลี่หมิงอวินคงไม่ยอมอย่างเด็ดขาด
สีหน้าของเหล่าฟู่เหรินเยี่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อง แทรกความเย็นชาเอาไว้ในน้ำเสียง “แม่นางหลิน เจ้าแม้ว่ามีชาติกำเนิดเป็นสาวชาวบ้าน แต่ทว่าก็ควรรู้ว่า การแต่งงานนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ คำสั่งของบิดามารดาและการแนะนำคู่โดยแม่สื่อถือเป็นขนบธรรมเนียมดั้งเดิม สถานะตัวตนของหมิงอวินเจ้าก็รู้เป็นอย่างดี เจ้าสองคนมีสถานะที่แตกต่างกันมากยิ่งนัก ถึงไม่บอกว่าพวกเจ้าไม่ได้จ้างแม่สื่อก็ตาม ต่อให้หญิงชราอย่างข้ายินยอมแล้ว บิดาของหมิงอวินเขาก็ไม่อาจยอมรับได้ แล้วใยเจ้ายังจะดื้อดึงทำให้ตัวเองได้รับการดูหมิ่นเหยียดหยามอีก”
เป็นคำพูดที่เข้าใจได้อย่างชัดเจน ซึ่งหลินหลันก็ยังคงไม่ได้ร้อนอกร้อนใจและไม่รู้สึกโกรธหรือเสียใจ “เหล่าฟู่เหริน ทั้งหมดที่ท่านกล่าวออกมาหลินหลันล้วนเข้าใจ ข้าหลินหลันผู้นี้ก็มิใช่คนที่จะคอยตามพัวพันไม่เลิกไม่รา ที่ต้องการมีเพียงแค่คำพูดกระจ่างชัดเจนก็เท่านั้น ความต้องการเช่นนี้คงมิใช่สิ่งที่มากเกินไปใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เหล่าฟู่เหรินเยี่ยอดไม่ได้ที่จะใส่อารมณ์ “แม่นางหลินหลัน พูดเช่นนี้เท่ากับเจ้าต้องการเกาะตระกูลเยี่ยของพวกเราเช่นนั้นหรือ”
“เหล่าฟู่เหรินคงเข้าใจผิดแล้วเจ้าค่ะ เหตุไฉนจึงกล่าวว่าข้าต้องการเกาะตระกูลเยี่ยเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ เมื่อตอนที่ข้ากับหลี่กงจื่อกำหนดคำมั่นสัญญาต่อกัน ไม่รู้เลยว่าเขาเป็นหลานชายของตระกูลเยี่ยพวกท่าน ยิ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบิดาของเขาเป็นเจ้าหน้าที่วังหลวงคนใหญ่คนโต หากรู้ตั้งแต่แรก เป็นข้าเองต่างหากที่จะไม่ยอมรับเขา และยิ่งจะได้ไม่ต้องมายืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้เพื่อถูกท่านสงสัยหวาดระแวง นี่ข้ายังไม่ได้ระบายความโกรธออกมาหรอกนะ!” หลินหลันที่กำลังแสดงอารมณ์อย่างคนซึ่งไม่ได้ทำอะไรผิด นางไม่แยแสตระกูลเยี่ยอะไรนี่เสียหน่อย
เหล่าฟู่เหรินเยี่ยจ้องมองหลินหลัน หายใจหอบ ผ้าห่มที่คลุมขาถูกนางขยำจนเป็นรอยย่นขึ้นมา
หลินหลันมองกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว ทว่ากลับเป็นว่ากำลังพินิจจารนาสีหน้าของเหล่าฟู่เหรินเยี่ย มองดูสีหน้าเหลืองซีดของนางและเต็มไปด้วยฝ้ากระ พูดโหดเหี้ยมเพียงไม่กี่ประโยคก็เริ่มหายใจหอบ บวกกับท่อนขาและเท้าที่กลัวการสัมผัสความเย็นของนาง หลินหลันลองคิดจับต้นชนปลายดูแล้วเกรงว่าเหล่าฟู่เหรินเยี่ยจะมีอาการของม้ามบกพร่องทำให้ความชื้นคั่งค้างอุดกั้นอยู่ภายในร่างกาย ลักษณะอาการชนิดนี้ที่ร่างกายอ่อนแอในสภาพอากาศอับชื้น หากนางวินิจฉัยไม่ผิดพลาดแล้วล่ะก็ เหล่าฟู่เหรินเยี่ยน่าจะมีอาการโรคไขข้อเสื่อมที่ค่อนข้างรุนแรง
แม่โจวเห็นอาการแล้วจึงรีบเข้ามาลูบหลังขึ้นลงให้แก่เหล่าฟู่เหริน เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เหล่าฟู่เหริน ท่านได้เวลากินยาแล้วเจ้าค่ะ”
หลินหลันหลุดปากเอ่ยออกไป “แค่กินยาคงไม่ช่วยหรอก”
เหล่าฟู่เหรินเยี่ยและแม่โจวเผยสีหน้าที่จริงจัง ก่อนแม่โจวจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เช่นนั้นควรทำอย่างไรหรือ”
หลินหลันตอบออกไป “สามารถให้ข้าตรวจชีพจรให้แก่เหล่าฟู่เหรินได้หรือไม่”
เหล่าฟู่เหรินเยี่ยจ้องมองอย่างเหยียดหยาม เด็กสาวที่ไม่รู้เรื่องอะไร เรียนรู้มาเพียงแค่เล็กน้อยก็อยากที่จะแสดงโชว์ต่อหน้านางอาการปวดข้อของนางแม้แต่หมอฮู๋ก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้ แล้วอย่างนางจะทำได้? จึงเอ่ยสวนขึ้นไปทันที “อวี้หลง พาแม่นางหลินหลันไปตำหนักปีกข้างก่อน”
ที่ก่อนหน้าเรียกว่าสาวใช้หน้ากลมผู้นั้น ที่แท้ก็นามว่าอวี้หลง
“เหล่าฟู่เหริน สามารถให้ทางห้องครัวทำอะไรให้กินหน่อยจะได้หรือไม่เจ้าคะ” หลินหลันเอ่ยอย่างเกรงใจ ไม่ให้ตรวจชีพจรก็ไม่ตรวจ แต่ว่านางร่างกายกำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต ไม่ได้กินข้าวไปหนึ่งมื้อคงได้หิวจนตาลาย แล้วยิ่งไปกว่านั้นวันนี้เกิดเรื่องราวตั้งมากมายเสียขนาดนี้ อีกทั้งยังเดินทางมาบ้านตระกูลเยี่ยด้วยระทางไกลขนาดนี้ สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องใช้พละกำลังทั้งนั้น จะไม่ให้กินข้าวปลาอาหารคงไม่ได้
เหล่าฟู่เหรินเยี่ยสะกดอารมณ์โมโห แล้วเอ่ยสั่งการอวี้หลง “ให้แม่เหยาทำอะไรให้นางกินหน่อย”
หลินหลันยิ้มพึงพอใจ “ขอบคุณเหล่าฟู่เหรินเจ้าค่ะ” แล้วเอ่ยขึ้นอีก “รบกวนพี่อวี้หลงด้วย”
ทำเอาอวี้หลงถึงกับแสดงสีหน้าไม่ถูก
รอจนหลินหลันเดินจากไปแล้ว แม่โจวจึงเอ่ยโน้มน้าว “ฟู่เหริน ท่านอย่าได้โมโหเพียงเพราะเด็กไม่รู้จักความผู้หนึ่งเลยเจ้าค่ะ สุขภาพร่างกายตนเองนั้นสำคัญกว่า” ตั้งแต่ทุบตีนายหญิงสามไปหลังจากนั้นเหล่าฟู่เหรินก็เสียใจเป็นอย่างมาก ร่างกายก็แย่เข้าไปทุกวัน
เหล่าฟู่เหรินเยี่ยค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง เอนหลังเข้าหาพนักพิง ถอนหายใจยาวเฮือกออกมา “ก็ไม่ได้ทำให้ความกังวลน้อยลงเลย”
“หมิงอวินเส้าเหยียนิสัยนี้…” แม่โจวพูดไปได้เพียงครึ่งก็รู้สึกเกรงว่าจะเป็นการสร้างความกังวลขึ้นเปล่าๆ จึงกลืนคำพูดกลับลงไป ย่อตัวลงแล้วบีบนวดให้แก่เหล่าฟู่เหริน
“เจ้าอยากพูดว่าเขาเหมือนกับแม่ของเขา?” เหล่าฟู่เหรินเยี่ยแอบถอนหายใจ สภาพจิตใจเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกสับสน ราวกับกำลังนึกถึงอดีต เนิ่นนานพอตัวถึงได้เอ่ยขึ้นมา “เหมือนแม่ของเขาจริงๆ นั่นแหละ แถมยังดื้อรั้นยิ่งกว่าแม่ของเขาด้วยซ้ำไป”
แม่โจวอดไม่ได้ที่จะถอนให้ใจตาม “เรื่องตรงหน้านี้จะทำอย่างไรดีล่ะเจ้าคะ หรือว่าคงจะต้องแล้วแต่เส้าเหยียฮู๋จะจัดการแล้วจริงๆ เช่นนั้นหรือเจ้าคะ”
เหล่าฟู่เหรินเยี่ยเหล่ดวงตาที่ดูเหมือนมีความอ่อนเพลียเหนื่อยล้าอยู่เล็กน้อย “เจ้ารู้สึกว่าแม่นางหลินหลันผู้นี้เป็นอย่างไร”
แม่โจวครุ่นคิดไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการนางเจ้าค่ะ”
มุมฝีปากเหล่าฟู่เหรินเยี่ยกระตุกขึ้น “หนังหน้าหนาพอตัวและยังใจกล้าเป็นอย่างยิ่ง”
แม่โจวฉีกยิ้มแล้วเอ่ย “เหล่าฟู่เหรินพูดได้ถูกจริงๆ เจ้าค่ะ ทว่าหากให้ข้าพูดคงจักต้องเพิ่มเข้าไปอีกข้อคือ ปากคอเราะร้าย เป็นจอมยียวนกวนประสาทให้โมโหจนแทบคลั่ง”
“ช่างเถิด หลานเติบโตแล้ว ในเมื่อไม่เชื่อฟังคำสั่ง ก็แล้วแต่เขาเถอะ! ให้แม่นางหลินหลันนี่ไปเมืองหลวงก่อความวุ่นวายให้นังฮานนั่นจะว่าไปก็ไม่เลวเหมือนกัน” ร่องรอยแห่งความเกลียดชังปรากฏขึ้นในดวงตาของเหล่าฟู่เหรินเยี่ย ก่อนนางจะหลับตาลงอีกครั้งและเสียงของนางก็ค่อยๆ อ่อนลง
แม่โจวเผยรอยยิ้มมุมปาก ขณะที่กำลังออกแรงบีบนวดอย่างช้าๆ ไปด้วย กลับเมืองหลวงครานี้ทั้งสองคนนั้นคงได้โกรธจนเป็นบ้า ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีเสียจริง