เมื่อหลินหลันเปลี่ยนชุดเป็นที่เรียบร้อยแล้วทำเป็นเอ้อละเหยลอยชายไปเรื่อยจนมาถึงห้องโถง การสนทนาของหลี่หมิงอวินและเฉินอวี้จื่อก็ใกล้จะจบลงแล้ว
“เรื่องนี้คงต้องรบกวนเจ้าแล้ว” น้ำเสียงของหลี่หมิงอวินทุ้มต่ำ ให้ความรู้สึกเคร่งขรึมอยู่เล็กน้อย
ขณะที่อีกเสียงกลับฟังดูสดใสเริงร่า “เจ้าวางใจเถอะน่า! เป็นเรื่องใหญ่แค่ไหนเชียว ไม่กี่ปีมานี้ แม้ว่าเถี่ยซานเจี่ยว [1] จะขาดไปหนึ่ง ได้รับความสนใจจากหญิงงามลดน้อยลงไปบ้าง แต่ทว่าด้วยความพยายามของข้าและหนิงซิ่ง พยายามพลิกความพ่ายแพ้เป็นชัยชนะ ในที่สุดจึงสามารถรักษาตำแหน่งเอาไว้ได้ เรายังคงเป็นกลุ่มที่สะดุดตาที่สุดในเมืองหลวง ยังไม่พูดถึงเผยความสามารถหรือจัดงานใหญ่โต หากอยากสร้างกระแสขึ้นมาซักนิดยังคงถือเป็นเรื่องง่ายดายแทบไม่ต้องใช้ความพยายามด้วยซ้ำ เจ้าสนใจแค่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ทำเพียงพาสาวงามไปเยี่ยมชมทิวทัศน์ของฤดูใบไม้ผลิ ใช้ชีวิตอย่างอิสระสบายๆ ก็พอ”
หลินหลันซึ่งยืนอยู่ด้านนอกได้ยินประโยคนี้เข้า ทำจมูกย่น ชายหนุ่มผู้นี้ช่างคุยโวโอ้อวดตัวเองชะมัด เชื่อถือได้ไหมเนี่ย!
“เฮ้อ…เพียงแต่พอมาเป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าพังทลายความฝันของบรรดาสาวๆ ไปเท่าไหร่ น่าสงสารอ่าน่าสงสาร” เฉินจื่ออวี้พูดอย่างเกินจริงพลางถอนหายใจออกมา
หลี่หมิงอวินรู้สึกโกรธเล็กน้อย มองไปที่เขา และเอ่ยอย่างถากถาง “ไม่ใช่ว่ายังมีเฉินซานเส้าของเจ้าหรอกหรือ”
“ตัดทิ้งไปได้เลย พวกผู้หญิงไร้รสนิยมนี้แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้อยู่ในสายตาข้า” เฉินจื่ออวี้เชิดคางขึ้นอย่างใส่อารมณ์เป็นอย่างมาก
“ไร้รสนิยม? ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใครที่ทุกๆ ครั้งพอถูกทอดทิ้งเป็นอันต้องบ่นโอดโอยไม่เลิกไม่รา” หลี่หมิงอวินพูดอย่างเหน็บแนม
“นั่นข้าแค่เสียใจเพื่อพวกนาง เพียงแค่พวกนางมองเห็นแสงชั่วร้ายของความอัจฉริยะบนหัวเจ้า ล้วนพากันพุ่งเข้ารายล้อมเจ้า กลับมองไม่เห็นบุคคลที่มีรูปลักษณ์หล่อเหลาและแฝงไว้ด้วยความแข็งแกร่งลึกซึ้งอย่างข้า ตอนนี้จะทำให้พวกนางเสียดายไปจนตาย ข้าไม่มีชายตาแลพวกนางเลยแม้แต่นิดเดียว โดยเฉพาะเป่ยจื่อชิงนางผู้นั้น” เฉินจื่ออวี้กล่าวอย่างไม่สนใจใยดีเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าก็ทำเป็นพูดไปเถอะ!” หลี่หมิงอวินไม่ใส่ใจเสียเท่าไหร่ ด้วยคุ้นชินกับการโอ้อวดตนเองของเฉินจื่ออวี้มานานแล้ว ระยะเวลาที่ห่างหายไปสามปี ชายหนุ่มผู้นี้ไม่เพียงแต่มีทักษะการโอ้อวดตนเองที่แกร่งกล้าขึ้น ความสามารถในการแสร้งทำน้ำเสียงและทำท่าทางก็ไม่ใช่ย่อยเสียแล้ว
“เฮ้! บอกตามตรงว่าข้ายังคงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการแยกตัวมาของเจ้า แม่เลี้ยงของเจ้าอันที่จริงก็เกินไปหน่อย พ่อของเจ้าก็เช่นกัน…แต่ทว่าเจ้าเพื่อเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้กลับยอมสูญเสียความความสุขทั้งชีวิตของตนเองเพื่อไปสู้กับพวกเขาเช่นนั้นหรือ แม่สาวชาวบ้านผู้นั้น…ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไปเข้าตาเจ้าได้อย่างไรกัน” เฉินจื่ออวี้ส่ายหัวอย่างเสียใจและงงงวย
“แล้วเหตุใดนางจะเข้าตาข้าไม่ได้” หลี่หมิงอวินถามกลับอย่างสบายๆ
เฉินจื่ออวี้ยื่นหน้าเข้ามา ซึ่งกำลังเผยรอยยิ้มยียวน “หากว่าตามหลักการแล้วเจ้าคือชายหนุ่มผู้ชาญฉลาดและใฝ่รู้เป็นอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง เป็นการง่ายมากหากจะแต่งกับหญิงสาวที่ดีกว่าเหวินจุนและรูปลักษณ์หน้าตาดีกว่าซีซือ อ่านหนังสือยามค่ำคืนโดยมีสาวงามเคียงข้างกาย ทั้งสดชื่อทั้งมีความสุขจะตายไป ตอนนี้เจ้าดันเลือกดอกไม้ชนบทอย่างดอกหญ้าหางสุนัขเด็ดกลับบ้าน หรือว่าหลังจากนี้ทุกค่ำคืนจะพากันพูดคุยหยอกเหย้าเรื่องทำฟาร์มภายใต้แสงเทียนอย่างมีความสุข? อีกอย่าง ข้ามองนางไร้สมอง อีกทั้งยังหยาบคาย…” เฉินจื่ออวี้เมื่อพูดมาถึงประโยคนี้ ก็ส่ายหัวหนักยิ่งขึ้น
เจ้าสิดอกหญ้าหางสุนัข หางหมู หางวัว เจ้าสิไร้สมอง ไม่ เจ้ามีสมอง สมองหมู…หลินหลันกรนด่าด้วยความโกรธ ว่าแล้วเชียวว่าชายหนุ่มผู้นี้จะต้องกล่าวถึงนางด้วยคำพูดที่ไม่ดี
หยินหลิ่วที่อยู่ด้านข้างก็โมโหเช่นกัน เฉินกงจื่อท่านนี้ช่างไร้มารยาทเหลือเกิน ถึงได้เอ่ยติฉินนินทาผู้อื่นลับ ถึงจะมีทั้งพูดถูกและผิดก็ตาม
หลินหลันคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้กะทันหัน จึงเข้าไปเอ่ยสั่งการไม่กี่ประโยคข้างใบหูหยินหลิ่ว หยินหลิ่วพยักหน้าระรัวก่อนจะหันหลังเดินจากไป
“หมิงอวิน ข้ามาช้าไปแล้ว เฉินกงจื่อไปแล้วหรือยัง” หลินหลันเปลี่ยนใบหน้าเป็นยิ้มแย้มแจ่มใส่แล้วเดินเข้าไป
เฉินจื่ออวี้ที่เพิ่งจะพูดว่ากล่าวผู้อื่นด้วยคำไม่ดีจบลงไป ด้วยเพราะรู้สึกละอายใจ จึงเผยอาการเก้ๆ กังๆ อยู่บนใบหน้าเล็กน้อย จึงมองไปยังผู้คนที่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มที่ดูเกินจริง
หลี่หมิงอวินลุกขึ้นยืนต้อนรับนาง เข้าไปยื่นข้างนางแล้วกล่าวแนะนำอย่างเป็นทางการ
“หลินหลัน ท่านผู้นี้คือเฉินกงจื่อ นามว่าจื่ออวี้ เป็นบุตรชายคนที่สามของตระกูลเฉินไท่ฟู้ เป็นสหายที่ดีที่สุดของข้าเมื่อครั้งเก่าที่อาศัยอยู่เมืองหลวง ครั้งนี้เขาออกจากเมืองมาทำธุระโดยตั้งใจเป็นพิเศษมาตามหาข้า” หลี่หมิงอวินแนะนำให้แก่หลินหลัน
หลินหลันมองไปยังเฉินจื่ออวี้พลางเผยรอยยิ้มเล็กน้อยและแสดงท่าทางคาราวะแบบมาตรฐานอย่างที่เพิ่งเรียนมา “เฉินกงจื่อ ครั้งก่อนต้องขอโทษด้วยจริงๆ เข้าใจผิดท่านไปแล้ว…ทำให้ท่านล้มลงไปในการปะทะครั้งใหญ่ ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนหรอกใช่ไหมเจ้าคะ”
ในตอนแรกเฉินจื่ออวี้เห็นท่าทางที่สงบเสงี่ยมของนาง ยังแอบประหลาดใจว่าหญิงสาวในหมู่บ้านนั้นสามารถอ่อนโยนและสง่างามได้ถึงเพียงนี้? หลังจากนั้นได้ยินนางเอ่ยปากขอโทษ ในใจจึงรู้สึกละอายใจไปชั่วขณะ ตนเองเพิ่งจะพูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวนาง และกำลังจะพูดอย่างสุภาพซักสองสามประโยค กลับได้ยินนางเอ่ยถึงเรื่องที่เขาตกไปอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากพลางเผยรอยยิ้ม…เฉินจื่ออวี้จึงรู้สึกสับสนขึ้นมาเล็กน้อย นี่นางตั้งใจขอโทษจากใจจริงหรือตั้งใจทำให้เขาโมโหกันแน่ ครั้งก่อนที่ตกไปอยู่ในการปะทะครั้งใหญ่ ถือเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของเขาเฉินจื่ออวี้แล้วก็ว่าได้ จึงยากละลบเลือนไปจากใจ ยากเกินกว่าจะปล่อยผ่านไปได้ นางจะเปิดประเด็นด้วยเรื่องไหนก็ไม่เปิดดันมาเอ่ยด้วยเรื่องนี้ เช่นนี้จะให้เขาเอ่ยต่อไปอย่างไร
หลี่หมิงอวินหลุบสายตาลงเล็กน้อยเพื่อซ่อนรอยยิ้มไว้ใต้ดวงตา หลินหลันคงได้ยินคำพูดที่จื่ออวี้กล่าวออกมาแล้วเป็นแน่ และนางเองก็ไม่เคยยอมเสียเปรียบเสียด้วย
หลินหลันมองเห็นเฉินจื่ออวี้ที่ยังคงตะลึงอยู่เช่นนั้น แอบขำอยู่ในใจลึกๆ จึงต่อด้วยการแสร้งทำเป็นกังวลและรู้สึกผิด “เฉินกงจื่อ หากท่านบาดเจ็บตรงไหนแล้วอย่าได้ปิดบังกันเชียว ข้าก็พอได้เรียนรู้ทักษะการรักษามาหลายปี หรือไม่ ให้ข้าช่วยดูท่าน และวินิจฉันเพื่อรักษาให้ท่าน?” เอ่ยขึ้นพลางสาวเท้าก้าวไปเบื้องหน้าสองก้าว
เฉินจื่ออวี้อดไม่ได้ที่จะร้อนรนถอยหนีสองก้าว รีบโบกมือและเอ่ยขึ้น “อย่า…ไม่…ไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไร จริงๆ ข้าร่างกายแข็งแรงกำยำอย่างมาก เพียงแค่หกล้ม ไม่เป็นอะไรหรอก ขอบใจแม่นางที่เป็นกังวล” เมื่อเฉินจื่ออวี้พูดจบ ก็รู้สึกถึงความอึดอัดใจและเสียใจเป็นอย่างยิ่ง นี่มันอะไรกัน แล้วยังเอ่ยขอบใจออกไปอีก ที่แท้การพูดติฉินนินทาผู้อื่นลับหลังไม่ต่างจากความผิดมหันต์ ทั้งหมดเป็นเพราะความรู้สึกผิดชอบชั่วดีสินะ
หลี่หมิงอวินมองใบหน้าเฉินจื่ออวี้ซึ่งเผยอารมณ์ลำบากใจ
“ไม่เป็นไรหรือ! เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว” หลินหลันยิ้มสดใส ด้วยใบหน้าที่เผยถึงความจริงใจ
ขณะที่บนใบหน้าเฉินจื่ออวี้เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและในใจก็รู้สึกเป็นทุกข์
ทั้งสามคนนั่งลงอีกครั้ง ด้วยเพราะเรื่องสำคัญได้สนทนากันจบไปก่อนหน้าแล้ว เวลานี้จะให้ทำเสียอารมณ์เข้าไปอีกคงไม่เหมาะสมนัก หลี่หมิงอวินจึงให้เฉินจื่ออวี้พูดถึงหนิงซิ่งไหลขึ้นมา
“ไม่ใช่ว่าราชสำนักกำลังทำการเปิดวิชาศิลปะการต่อสู้แล้วหรอกหรือ ไฉนเข้าจึงไม่ไปเข้าร่วม หากสอบศิลปะการต่อสู้ได้แล้ว ตนเองจะสามารถเข้ารับตำแหน่งที่สำคัญยิ่งในราชสำนัก อีกทั้งยังไม่สามารถถูกใครต่อใครพูดโจมตีเอาได้” หลี่หมิงอวินเลิกคิ้วขณะเอ่ยถาม
“ศิลปะการต่อสู้กว่าจะเปิดก็ต้องรอปีหน้า ตอนนี้…ค่ายตะวันตกเฉียงเหนือทางนั้นกำลังขาดกำลังพลพอดี เช่นนั้น…เจ้าก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นตำแหน่งที่สำคัญตำแหน่งหนึ่ง โอกาสดีๆ เช่นนี้จะพลาดไปไม่ได้ อีกอย่าง หนิงซิ่งหนิงเสี่ยวซึ่งมีชื่อเสียงเรียงนามความน่าเกรงขามมายาวนาน ใครกันจะกล้าบอกว่าเขาไม่ได้เรื่อง?” ด้วยเพราะมีหลินหลันนั่งอยู่ด้วย จึงมีบางประโยคที่เฉินจื่ออวี้ไม่สามารถพูดได้อย่างเปิดเผยนัก
หลี่หมิงอวินยิ้มขึ้น “นั่นก็ใช่ ข้าเพียงแค่เสียดายแทนเขา หากเขาเข้าร่วมการสอบวิชาศิลปะการต่อสู้ คนของศิลปะการต่อสู้จะเป็นใครไปได้อื่นหากมิใช่เขาซึ่งเหมาะสมที่สุด”
หลินหลันฟังไปก็ครุ่นคิดไป เถี่ยซานเจี่ยวแห่งเมืองหลวง หมิงอวินคือหนุ่มผู้ฉลาดเฉลียว หนิงซิ่งคือผู้น่าเกรงขาม หนึ่งนักปรัชญา หนึ่งนักต่อสู้ แล้วเช่นนั้นเฉินจื่ออวี้ผู้นี้เป็นเสมือนอะไรล่ะ จอมขี้โมโอ้อวดงั้นหรือ
“การไปของหนิงซิ่งครั้งนี้ ต้วนฉิ่งหงเจ้าหนุ่มนั่นดีใจที่สุดแล้ว จากเดิมเป็นผู้ไร้พรสวรรค์ที่โดดเด่น ก็กลับสามารถมีบทบาทหลักขึ้นมาได้…” เฉินจื่ออวี้อดไม่ได้ที่จะเอ่ยอย่างหงุดหงิด
พวกเขาสองคนคุยกันไปเรื่องแล้วเรื่องเล่า หลินหลันกลับเป็นกังลไฉนหยินหลิ่วจึงยังไม่มาเสียที
พูดไม่ทันขาดคำ หยินหลิ่วก็ถือถาดเดินเข้ามา
หลินหลันสวมบทบาทอิริยาบถอย่างท่านนายหญิง เอ่ยออกไปด้วยรอยยิ้ม “ท่านทั้งสองน้ำชาในถ้วยเย็นหมดแล้ว เปลี่ยนไปเป็นถ้วยที่กำลังร้อนๆ อยู่เถอะ!”
หยินหลิ่วเปลี่ยนน้ำชาให้ให้แก่กงจื่อทั้งสอง จนมาถึงหลินหลัน หยินหลิ่วแอบสงสายตาเป็นนัยน์ให้แก่หลินหลัน หลินหลันรับทราบ และให้นางออกไป หลังจากนั้นจึงถือถ้วยชาขึ้นมา เปิดฝาครอบชาขึ้นอย่างเบามือ ใบหน้าแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เผยท่าทีสง่างามราวกับหมิงเหมินสาวผู้มีท่าทีสงบและอ่อนโยน และเหลือบสายตามองไปยังเฉินจื่ออวี้ที่ถือถ้วยน้ำชาขึ้นมา เป่าลมลงไปบนน้ำชาอย่างเบาๆ
หลินหลันแอบนับเลขในใจ หนึ่ง สอง…
พู…
เฉินจื่ออวี้พ่นน้ำชาทั้งคำออกมา ด้วยการเคลื่อนไหวที่มากเกินไป ถ้วยชาในมือกระชอกออกทำให้น้ำชารดลงบนตัวอีก ร้อนจนเขาต้องกระโดดโหยงขึ้นมา จึงเป็นจุดจบที่น่าอาย
หลี่หมิงอวินจ้องมองเฉินจื่ออวี้ด้วยความตกตะลึง “จื่ออวี้ เจ้า…”
เฉินจื่ออวี้แสดงสีหน้าเหลือจะทน ทั้งดวงตาและคิ้วต่างขมวดเข้าหากันจนเป็นปม เผยใบหน้าที่กำลังรับรสขมพลางเอ่ยขึ้น “ชานี่ ทำไมถึงได้ขมขนาดนี้”
เพ้อเจ้อ เติมฮ๋วงเหลียน [2] เข้าแล้วไปจะไม่ขมได้อย่างไร
หลี่หมิงอวินเหลือบมองหลินหลันที่ทำเป็นเหมือนจะตกใจมากกว่าเขาเสียอีก และรู้ดีอยู่เต็มอกว่าต้องเป็นหลินหลันอย่างแน่นอนที่ก่อเรื่องพิเลนขึ้นมา จึงได้แต่แอบถอนหายใจอย่างเอือมระอา
——
[1] เถี่ยซานเจี่ยว (铁三角) แปลว่า สามเหลี่ยมเหล็ก หมายถึง อธิบายถึงความสัมพันธ์ของเพื่อนซี้สองสามคนที่สามารถดูแลกันได้และไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่เป็นประจำ
[2] ฮ๋วงเหลียน (黄连) คือ ชื่อสมุนไพร อึ่งโน้ย สรรพคุณ: ขับร้อน,ชื้น ดับไฟ ขับพิษ