ปฏิญญาค่าแค้น – ตอนที่ 28 พูดย้อนอย่างประชดประชัน

หลินหลันจ้องมองอย่างประหลาดใจไปยังสาวทั้งสองท่าน ท่านหนึ่งดูราวกับอายุมากกว่า รูปร่างสูงโปร่ง ท่อนบนสวมใส่เสื้อลายใบหลิวสีมืด ถัดลงไปเป็นกระโปรงยาวผ้าโปร่งบางสีฟ้าอ่อน ส่วนบนศีรษะขมวดเป็นทรงเยว่จี้ ปักด้วยปิ่นปักผมรูปนกไฟทองคำแท้ซึ่งมีสายห้อยร้อยด้วยไข่มุก คิ้วโก่งดุจใบหลิว ดวงตาคมเฉี่ยว เคลื่อนไหวอย่างสง่างาม ขณะที่อีกท่านดูราวกับว่าอายุประมาณสิบห้าปี เฉพาะริมฝีปากของหญิงสาวเท่านั้นที่ดูมีอายุ สวมใส่เสื้อผ้าแพรสีเขียวอ่อน ผูกกระโปรงจีบลายดอกไม้สีเหลือง ม้วนผมสองข้าง คิ้วและดวงตาราวกับภาพวาด แก้มนวลอวบอิ่ม ทำให้ดูน่ารักและขี้เล่น  

 

 

แต่ทว่าขณะนี้ หลินหลันรู้สึกว่านางไม่ได้น่ารักเลยซักนิด เพราะดวงตาโตคู่นั้นที่กำลังกะพริบปริบปริบซึ่งแสดงท่าทีไม่ถูกชะตาหลินหลันอย่างชัดเจน  

 

 

ผู้ที่สามารถแสดงความในใจได้อย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้น่ากลัวเลย ที่น่ากลัวคือผู้ที่ไม่แสดงออกมาต่างหาก อย่างเช่นเสี่ยวเจี่ยที่แสนสง่างามท่านนั้น วินาทีนั้นที่มองเห็นหลินหลัน นัยน์ตาของนางเหลือบมองมาอย่างไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนขึ้นมาอีกครั้ง แต่ทว่าหลินหลันยังคงจับช่วงเวลาแห่งการเปิดเผยความรู้สึกภายในของนางได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่า ความเกลียดชังของท่านผู้นี้ที่มีต่อนาง มากยิ่งกว่าเสี่ยวเจี่ยที่หน้าตาน่ารักผู้นั้น  

 

 

เหตุผลก็ง่ายดายมาก คงไม่ใช่เป็นเพราะตัวตนของหลินหลันจึงเกลียดชังอย่างมากเป็นแน่ แต่เป็นเพราะสถานะของนางในตอนนี้ทำให้พวกนางจงเกลียดจงชัง  

 

 

“เปี่ยวเกอ  [1]  ท่านผู้นี้เป็นว่าที่พี่สะใภ้ใช่หรือไม่” เสี่ยวเจี่ยผู้อ่อนโยนเผยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม น้ำเสียงฟังดูไพเราะ เอ่ยออกมาอย่างน่ารัก  

 

 

หลี่หมิงอวินพยักหน้าเล็กน้อย “ซินเอ๋อร์เปี่ยวเหม่ย  [2]  เคอเอ๋อร์เปี่ยวเหม่ย” หลังจากเอ่ยทักทาย ก็ถือว่าเป็นการตอบความสงสัยได้เป็นอย่างดี  

 

 

เสี่ยวเจี่ยผู้น่ารักเดินเข้ามาเบื้องหน้า จ้องมองมายังหลินหลัน นัยน์ตาช่างแสดงให้เห็นถึงการดูถูกเป็นอย่างยิ่ง แล้วหันไปพูดกับหลี่หมิงอวิน “เปี่ยวเกอ สายตาของท่านไม่ค่อยได้เรื่องเอาเสียเลย”  

 

 

“เคอเอ๋อร์ อย่าเสียมารยาท” เสี่ยวเจี่ยผู้สง่างามดุเบาๆ บนใบหน้ากลับไม่มีท่าทีไม่พึงพอใจ  

 

 

ทำให้เคอเอ๋อร์ย่นจมูก บ่นพึมพำอย่างขุ่นเคือง “ข้าก็แค่พูดความจริงหนิ! ข้ายังคิดว่าว่าทีพี่สะใภ้จะเป็นหญิงสาวที่สวยดุจนางฟ้าเสียอีก คาดไม่ถึงเลยว่ายังเทียบไม่ได้แม้กระทั่งสาวใช้ในจวนพวกเรา”  

 

 

ตรงเกินไปแล้ว ไม่ไว้หน้ากันบ้างเลย  หลินหลันพูดในใจ  ข้าดูแย่ขนาดที่เจ้าพูดเลยงั้นหรือ  

 

 

หลินหลันยิ้มออกมา แล้วเอ่ยกับหลี่หมิงอวิน “หมิงอวิน ข้ารู้สึกว่าข้าไม่ต้องเรียนกฎระเบียบมารยาทแล้วก็ได้”  

 

 

หลี่หมิงอวินค่อยๆ คุ้นเคยกับความนึกคิดอย่างขึ้นๆ ลงๆ ของหลินหลันแล้ว คาดว่านี่คงเป็นเกิดเปิดบทของหลินหลัน จึงให้ความร่วมมือเอ่ยถามออกไป “ทำไมหรือ”  

 

 

“ท่านยายเอาแต่กำชับว่า ในจวนให้ความสำคัญกับกฎระเบียบมากที่สุด โดยเฉพาะกับการอบรมสั่งสอนของหญิงสาวซึ่งเป็นสิ่งที่เคร่งครัดที่สุด แล้วก็ได้ฟังท่านแม่โจวสั่งสอนอีกมากมาย ข้าคิดว่าบรรดาเสี่ยวเจี่ยที่จวนถึงแม้จะไม่เทียบเท่าหญิงสาวตระกูลชั้นสูง แต่ก็คงไม่ได้แย่ไปกว่าเสียเท่าไหร่ ใครจะไปรู้ว่าวันนี้พอได้เจอ…” หลินหลันตั้งใจชะงักคำพูด แล้วมองไปยังเคอเอ๋อร์ พลางส่ายหน้าอย่างผิดหวัง  

 

 

“เจ้าว่าอะไร วันนี้พอได้เจอแล้วเป็นอย่างไรรึ” เคอเอ๋อร์แน่นอนว่าเข้าใจเป็นอย่างดีว่าหลินหลันกำลังถากถางนาง กะอีแค่เด็กชาวบ้านคนหนึ่ง ก็กล้าดีมาถากถางนางซานเสี่ยวเจี่ย  [3]  แห่งจวนเยี่ย เคอเอ๋อร์เดิมที่ก็ไม่พอใจอยู่แล้วจึงเหมือนถูกจุดประกายไปขึ้นมา ทันในนั้นคิ้วโก่งก็คว่ำลง เอ่ยถามหลินหลันออกไปด้วยเสียงดัง  

 

 

หลินหลันยิ้มเล็กยิ้มน้อย เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “แน่นอนว่าเป็นผิดหวังน่ะสิ! อันดับแรก หมิงอวินเป็นลูกพี่ลูกน้องของพวกท่าน ข้าเป็นว่าที่พี่สะใภ้ของพวกท่าน เมื่อพบกันแล้ว ไม่เอ่ยแสดงความยินดี ก็ควรมอบขอบขวัญแต่งงาน แต่ทว่าพวกท่านไม่มีเลยแม้แต่อย่างเดียว อันดับต่อมา ท่าน เริ่มเปิดปากก็พูดจาไม่ดีกับว่าที่พี่สะใภ้ การมองอย่างเยาะเย้ยดูถูกและการถากถางคือ การขาดศีลธรรม ในส่วนอื่นๆ ข้าก็ไม่อธิบายให้ละเอียดไปกว่านี้แล้วล่ะ เกรงว่าท่านจะอับอายเกินไป ซึ่งจะทำให้บรรดาสาวใช้ในจวนพากันหัวเราะเอาได้”  

 

 

ใบหน้าของเคอเอ๋อร์แดงกล่ำขึ้นมาชั่วขณะ ชี้นิ้วไปยังจมูกของหลินหลันพลางเอ่ยความอับอายและโมโห “เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร จึงได้กล้ามาอบรมสั่งสอนข้า?”  

 

 

หลี่หมิงอวินก้าวขึ้นไปเบื้องหน้าหนึ่งก้าว ยืนบังด้านหน้าของหลินหลัน ใช้มือปัดนิ้วของเคอเอ๋อร์ลงไป ใบหน้าเย็นชา น้ำเสียงเยือกเย็น เอ่ยด้วยโทนเสียงต่ำแต่ยังคงสง่างาม “เคอเอ๋อร์ วันนี้เจ้าไร้เหตุผล พี่สะใภ้ของเจ้าก็ไม่ได้พูดผิดเลย”  

 

 

เคอเอ๋อร์เบิกตาโตอย่างรู้สึกเหนือความคาดหมาย มองไปยังผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องอย่างเหลือเชื่อ ริมขอบตาเอ่อล้นออกมาด้วยหยาดน้ำตา ทั้งเสียใจและโกรธเคืองเป็นยิ่งนัก จึงเอ่ยขึ้นทั้งน้ำเสียงสั่นคลอน “เปี่ยวเกอ ท่านช่วยนางไม่ช่วยข้า?”  

 

 

ผู้ที่นามว่าซินเอ๋อร์รีบร้อนเข้ามาดึงเคอเอ๋อร์ กล่าวโน้มน้าวด้วยน้ำเสียนุ่มนวม “น้องสาม เจ้าอย่าโวยวายไปเลย ท่านพี่โมโหแล้ว”  

 

 

“เขาโกรธงั้นเหรอ ข้าสิควรโกรธน่ะ! ผู้หญิงคนนี้จะคู่ควรกับท่านพี่ไปได้อย่างไรกัน! ข้าก็แค่รู้สึกไม่คู่ควรแทนท่านพี่ ข้าไม่ชอบนาง ข้าเกลียดนาง” เคอเอ๋อร์จ้องมองหลินหลันทั้งน้ำตา อยากที่จะขับไสไล่ส่งผู้หญิงคนนี้ออกไปเสียเดียวนี้เลย  

 

 

“เร็วเข้า ไม่ต้องพูดแล้ว อย่าทำให้ท่านพี่โกรธเลย” ซินเอ๋อร์เอ่ย มองไปยังผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องด้วยนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยการแสดงความขอโทษ “เปี่ยวเกอ น้องสามก็เป็นนิสัยเช่นนี้ ท่านเองก็รู้ดี อย่าได้ถือโทษเอาความกับนางเลย”  

 

 

หลินหลันพอได้ยินนางเอ่ยคำว่าเปี่ยวเกอ ดูเหมือนว่านางจะใส่ใจเปี่ยวเกอผู้นี้น่าดู จะอ่อนโยนนุ่มนวลเสียขนาดนี้ไปเพื่ออะไรกัน อย่าคิดว่านางจะมองไม่ออก เคอเอ๋อร์แม้จะดูหยิ่งผยอง แต่ก็แค่วายร้ายไม่มีสมองผู้หนึ่งเท่านั้น แต่เยี่ยซินเอ๋อร์มีชั้นเชิงมากยิ่งนัก นางใช้เคอเอ๋อร์มาเป็นตัวลองใจความรู้สึกนึกคิดของหลี่หมิงอวินก็เท่านั้น  

 

 

หลี่หมิงอวินแสดงสีหน้าไม่แยแส และกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หลินหลันเป็นภรรยาของข้า เป็นพี่สะใภ้ของพวกเจ้า พวกเจ้าไม่ชอบนางก็ย่อมได้ แต่ทว่าอย่าให้ข้าได้ยินอีกว่าพวกเจ้าว่ากล่าวนางแม้เพียงประโยคเดียว” เมื่อพูดจบ หลี่หมิงอวินก็ดึงมือของหลินหลัน “พวกเราควรไปกันได้แล้ว ท่านป้าสะใภ้รองกำลังรอพวกเราอยู่ที่ร้าน”  

 

 

หลินหลันเผยรอยยิ้ม ทำท่าทีมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง แล้วเดินไปกับหลี่หมิงอวิน ยังไม่ลืมที่จะหันกลับมามองเยี่ยซินเอ๋อร์และเยี่ยเคอเอ๋อร์เชิดใส่และยิ้มให้อย่างผู้ชนะ  โกรธจะแย่เลยสิพวกเจ้า  

 

 

เยี่ยเคอเอ๋อร์กระทืบเท้าด้วยความโมโห ชี้นิ้วไปยังแผ่นหลังของผู้ที่จงเกลียดจงชังซึ่งเดินออกไปไกลแล้วพูดขึ้น “พี่รอง ท่านดูสิท่านดูมันสิ ผู้หญิงชนิดนี้ก็เหมาะจะเป็นพี่สะใภ้ของพวกเรางั้นหรือ ข้าว่าท่านพี่สมองพังไปหมดแล้ว ถูกหลอกลวงจนสับสนไปแล้วแน่ๆ ”  

 

 

เยี่ยซินเอ๋อร์ก็จ้องมองไปยังแผ่นหลังนั้นเช่นกัน ความเย็นชาที่ปกปิดเอาไว้ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไม่ปิดบังไปชั่วขณะ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “นางไม่อาจได้สุขสมนานหรอก”  

 

 

“เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไร” เยี่ยเคอเอ๋อร์ร้อนใจ  

 

 

เยี่ยซินเอ๋อร์กระตุกยิ้มมุมปาก ฉายรอยยิ้มที่แสนเย็นชา “เจ้ารีบร้อนอะไรเล่า ยังมีคนที่จงเกลียดจงชังนางมากกว่าพวกเรา รอก่อนเถอะ! ข้ากล้าพนันได้เลย ต่อให้ท่านพี่จะพานางไปเมืองหลวงด้วย นางก็ย่างก้าวเข้าประตูบ้านตระกูลหลี่ไม่ได้”  

 

 

หลี่หมิงอวินจับมือหลินหลันเดินไปตลอดทาง หลินหลันถูกนางจับมือเอาไว้จนรู้สึกถึงความอุ่นร้อนในใจกลางฝ่ามือ ถึงแม้ยี่สิบศตวรรษที่ผ่านมาของนาง ความคิดไม่ได้ออกแนวอนุรักษ์นิยมอะไรขนาดนั้น แค่จับมือไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่ว่าทำไมต้องจับมือด้วย? นางก็ไม่ใช่หมาน้อยเสียหน่อย มองไม่เห็นสีหน้าที่พากันตกตะลึงของบรรดาสาวใช้พวกนั้นหรอกหรือ หลินหลันพยายามชักมือออก เขาจึงหันกลับมาตวัดสายตาเบาๆ มองมาที่นาง ราวกับเป็นการตักเตือน บอกให้นางอยู่นิ่งๆ และฝ่ามือใหญ่ก็กลับบีบแน่นขึ้นไปอีก หลินหลันจ้องมองจากด้านหลังศีรษะของเขา ได้แต่พูดให้ร้ายใจ นี่เป็นการที่พ่อหนุ่มนี่ถือโอกาสนี้ในการฉวยโอกาสใช่หรือไม่  

 

 

ทั้งสองคนออกไปพ้นประตูใหญ่แห่งจวนเยี่ย หลี่หมิงอวินจึงปล่อยมือ ข้ารับใช้ได้เตรียมรถม้าไว้รออยู่นานแล้ว เมื่อเห็นเส้าเหยียออกมา จึงรีบย้ายเก้าอี้ม้านั่งขนาดเล็กออกไป เพื่อให้ง่ายต่อการที่ทั้งสองได้ขึ้นรถ  

 

 

หลี่หมิงอวินประครองให้หลินหลันขึ้นรถไปก่อนอย่างใส่ใจ  

 

 

เมื่อขึ้นไปบนรถม้าเป็นที่เรียบร้อย หลินหลันก็เริ่มปากเอ่ยถาม “ทำไมเจ้าถึงได้จับมือข้าไม่ยอมปล่อย”  

 

 

หลี่หมิงอวินจัดแต่งเสื้อผ้าให้เข้าทีเข้าทาง ตอบกลับไปอย่างจริงจัง “ข้าแค่แสดงออกท่าทีของข้าให้ชัดเจน ข้าคิดว่า หลังจากวันนี้เป็นต้นไป คงไม่มีใครในจวนที่จะสงสัยต่อความรู้สึกของข้ากับเจ้าอีก”  

 

 

ที่แท้ก็เป็นจุดประสงค์นี้นี่เอง อารมณ์ของหลินหลันก็กลับดีขึ้นมา เอียงศีรษะพลางมองไปที่เขา และยิ้มอย่างน่าดึงดูดขึ้นมา “เอ้! ที่ เมื่อครู่เจ้าพูดคำพูดนั้น เจ้าไม่กลัวเลยหรือว่าเปี่ยวเหม่ยที่แสนอ่อนโยนผู้นั้นจะเสียใจ”  

 

 

สีหน้าของหลี่หมิงอวินเห็นได้ชัดถึงความไม่เป็นธรรมชาติ “ถึงอย่างไรอีกไม่กี่วันพวกเราก็ต้องไปกันแล้ว ช่วงนี้หากเจ้าพบเจอเคอเอ๋อร์อีก แล้วนางไม่ให้การเคารพเจ้าอีก เจ้าอย่าได้ใส่ใจนางก็พอ”  

 

 

“นั่นจะเป็นไปได้ไง เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นคนที่คิดเล็กคิดน้อยที่สุด ข้าทำไม่ได้หรอกที่จะให้ด่ามาแล้วไม่ด่ากลับ ตีมาแล้วไม่ตีกลับ” หลินหลันอดไม่ได้ที่จะมองบนอย่างเสียอารมณ์  

 

 

หลี่หมิงอวินจ้องมองนางด้วยความอ่อนใจไปชั่วครู่ ก่อนจะส่ายหน้าแล้วยิ้มอย่างระอาใจ “เจ้าเก็บเอาความสามารถไปไว้ใช้ที่เมืองหลวงเถอะ! คนที่นั้นถ้าเทียบกับเคอเอ๋อร์แล้วยากต่อกรกว่าเยอะเลย อีกอย่าง จะอย่างไรก็ต้องเห็นแก่หน้าของท่านป้าสะใภ้รองไว้บ้างใช่ไหม และท่านป้าสะใภ้รองถือว่าปฏิบัติต่อเจ้าได้ไม่เลวเลยด้วย”  

 

 

 

 

 

——  

 

 

[1]  เปี่ยวเกอ (表哥) แปลว่า ลูกพี่ลูกน้อง (ผู้ชาย)  

 

 

[2]  เปี่ยวเหม่ย (表妹) แปลว่า ลูกพี่ลูกน้อง (ผู้หญิง)  

 

 

[3]  ซานเสี่ยวเจี่ย (三小姐) หมายถึง หญิงสาว ซึ่งอยู่ในลำดับที่สาม โดยในที่นี้อาจเป็นน้องสาวคนที่สาม  

ปฏิญญาค่าแค้น

ปฏิญญาค่าแค้น

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ปฏิญญาค่าแค้นหลินหลัน ทะลุมิติมาเกิดใหม่ในคราบของหญิงสาวชาวบ้านที่แสนลำบากยากจน แต่โชคยังดีที่ความสามารถด้านการแพทย์และประสบการณ์รักษาผู้คนที่สั่งสมมา จากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนั้นติดตัวมาด้วย อีกทั้งครอบครัวในชาติภพนี้ก็ดีกับนางมิใช่น้อย กระนั้นเคราะห์ร้ายก็ยังคืบคลานเข้ามา เมื่อพี่ชายผู้เป็นที่พึ่งพาเดียวของนาง นั้นใสซื่อจนไม่อาจตามทันเล่ห์กลของพี่สะใภ้ที่แสนโลภมาก สุดท้ายแล้วหลินหลันก็ถูกนางบีบบังคับ ให้ต้องออกเรือนแต่งงานไปเป็นนางบำเรอจนได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องดึงตัว หลี่ซิ่วฉาย ชายหนุ่มรูปงามผู้มีเบื้องหลังเป็นปริศนา ในหมู่บ้านเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์ ทั้งสองได้ตกลงทำสัญญาขึ้นมาหนึ่งฉบับ เขาช่วยนางให้หลุดพ้นจากการคลุมถุงชน ส่วนนางจะช่วยเขาแก้แค้นและทวง ทุกสิ่งอย่างที่ถูกพรากไปกับคืนมาภายในระยะเวลาสามปี ทว่าแผนการช่วยเหลือ เขาให้บรรลุเป้าหมายนั้นกลับไม่ง่ายดายอย่างที่คิดนี่สิ…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset