หลังจากเดินเที่ยวมาทั้งช่วยบ่าย ก็กลับมาพร้อมของเต็มไม้เต็มมือ พอกินมื้อค่ำในจวนเยี่ยเป็นอันเรียบร้อย หลันหลินจึงสั่งให้หยินหลิ่วปิดประตู หลังจากนั้นก็นำเครื่องประดับทั้งหมดขึ้นมากระจายไว้บนโต๊ะ ดูราวกับคนที่ชอบเงินทองเป็นชีวิตจิตใจซึ่งกำลังนับสมบัติของตนเองทีละอันทีละอันอย่างมีความสุข ยังคิดว่าตนเองเมื่อชีวิตที่แล้วเกิดบนกองเงินกองทองจึงไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องเงินๆ ทองๆ นักหรอก อย่างน้อยก็เมื่อก่อนหน้าที่จะมาอยู่ในตระกูลเยี่ย นางคิดเช่นนั้นจริงๆ แต่ทว่าเมื่อถูกเหล่าฟู่เหรินเยี่ยหลอกล่อเข้าด้วยสามพันสองเงิน จึงจุดประกายความคาดหวังในเรื่องเงินทองของนางขึ้นมาใหม่จนได้
เครื่องประดับทองหนึ่งชุดและเครื่องประดับเงินหนึ่งชุดที่แม่นางฉีมอบให้ ความจริงแล้วหลินหลันก็ไม่ได้รู้สึกชอบพวกเครื่องเงินเครื่องทองนี่เท่าไหร่นัก ด้วยรู้สึกว่าไร้รสนิยม ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจในรูปแบบอะไรมากนัก ทำเพียงเลือกที่มีน้ำหนักมากๆ เอาไว้ก็เท่านั้น หลังจากนั้นก็มองเห็นสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์มากขึ้นไปเรื่อยๆ ของหลี่หมิงอวิน แล้วหลังจากนั้น เขาก็ไม่แม้แต่จะเดินมาดู แถมเดินหนีไปหน้าตาเฉย ปล่อยให้นางเลือกตามอำเภอใจ พอถึงเวลาลงบัญชี ในมือของเขามีปิ่นหยกมาเพิ่มหนึ่งชิ้น กำไลหยกหยางจือหนึ่งวง แล้วยังมีดอกไม้ลูกปัดอีกสองสามดอก เครื่องประดับหินทับทิม หินขี้ผึ้ง หินปะการังเทียม โดยให้ผู้ดูแลร้านทำการคิดบัญชีแยก เครื่องเงินและทองลงบัญชีเอาไว้ ส่วนอื่นๆ ทำการจ่ายเงินสด ตอนนั้นเองหลินหลันถึงกับตกตะลึง คาดไม่ถึงเลยว่า ลำพังกำไลหยกหยางจือนั่นราคาแพงกว่าเครื่องเงินเครื่องทองรวมกันทั้งหมดไปอีกนิดหน่อย หลี่หมิงอวินนับว่าใจกว้างจริงๆ ความรู้สึกดีๆ ของหลินหลันที่มีต่อเขาจึงเพิ่มขึ้นไปอีกอย่างรวดเร็ว
หยินหลิ่วและอวี้หลงซึ่งก่อนหน้านี้ให้การปรนนิบัติเหล่าฟู่เหรินเยี่ย มีหรือจะไม่เคยเห็นพวกของมีค่า ของเหล่านั้นที่หลินหลันวางเกลื่อนกลาดไว้บนโต๊ะ เมื่อเทียบกับที่อยู่ในห้องของเหล่าฟู่เหรินเยี่ย เทียบกันไม่ติดเลยด้วยซ้ำไป ดังนั้น เมื่อมองไปที่ดวงตาของหลินหลัน ซึ่งดูมีความสุขมาก หยินหลิ่วจึงยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว และรู้สึกว่าหลินหลันช่างน่าสนใจมาก แต่ทว่าหัวใจของอวี้หลงกลับจมดิ่งลง แม่นางหลินหลันผู้นี้มีภูมิหลังที่ต่ำต้อย และไม่เคยเห็นโลกกว้างมาก่อน นางแม้ว่าจะไม่เคยไปเมืองหลวง ไม่เคยเห็นคนในตระกูลที่เมืองหลวงนั่นมาก่อน แต่โดยปกติจากที่เหล่าฟู่เหรินและแม่โจวกล่าวถึงฟังออกไม่ยากเลยว่า นายหญิงของครอบครัวนั้นในตอนนี้เป็นผู้ที่ร้ายกาจไม่เบา แล้วแม่นางหลินหลันจะสามารถรับมือได้ไหวหรือ อวี้หลงนึกสงสัยยิ่งนัก
“แม่นาง รอท่านได้แต่งงานกับหมิงอวินเส้าเหยียเป็นอันเรียบร้อยแล้ว ยังจะได้ของมีค่าอีกมากมายนะเจ้าคะ” หยินหลิ่วเห็นว่าเริ่มดึกดื่นแล้ว จึงอุ้มกล่องเครื่องประดับมาเพื่อช่วยเก็บสิ่งของแทนหลินหลัน
“จริงหรือ” หลินหลันประหลาดใจขึ้นมาชั่วขณะเมื่อถูกหลอกล่อเข้าให้
“แน่นอนเจ้าค่ะ ท่านหญิงสามเป็นผู้ที่เหล่าฟู่เฟรินเยี่ยรักมากที่สุด ได้ยินมาว่า เหล่าฟู่เหรินเยี่ยเดิมทีไม่ยินยอมให้ท่านหญิงสามแต่งงานกับท่านชายหลี่บิดาของ…” หยินหลิ่วเปิดฝากล่องขึ้นพลางกล่าวออกมา
“หยินหลิ่ว…” อวี้หลงปั้นหน้า เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงต่ำ
หยินหลิ่วรู้สึกตัวว่าตนเองหลุดปากออกไปแล้ว ยิ้มออกมาอย่างเก้ๆ กังๆ แล้วเอ่ยถามหลินหลัน “แม่นาง ข้านำลูกปัดวางไว้ชั้นล่างสุด เครื่องประดับทองวางไว้ชั้นกลาง และเงินวางไว้ชั้นบนสุด ดีไหมเจ้าคะ”
หลินหลันทำเพียงส่งเสียง อ่อ จงใจไม่มองไปยังใบหน้าเรียบเฉยของอวี้หลง หยินหลิ่วด้วยเพราะเรื่องราวเกี่ยวกับพี่สาวของนาง จึงได้ใส่ใจหลินหลันเป็นพิเศษ แต่ทว่าอวี้หลงไม่ใช่เช่นนั้น ท่าทีที่อวี้หลงปฏิบัติต่อนาง เป็นความเกรงอกเกรงใจที่ดูแปลกแยก แน่นอนว่าหลินหลันไม่อาจโทษนางที่ปฏิบัติต่อตนเองอย่างไม่สนิทสนม และต่อให้อวี้หลงไม่ชอบนางก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ การเชื่อมไมตรีจิตระหว่างคนสองคนก็จำเป็นต้องคำนึงถึงวาสนาเป็นสิ่งหนึ่งด้วยเช่นกัน ขอเพียงแค่อวี้หลงตั้งใจทำงาน ไม่ทำบางเรื่องที่เป็นการดูหมิ่นดูแคลนนางก็เป็นอันพอ
ในส่วนที่ว่าท่านแม่ของหมิงอวินเขาทิ้งอะไรไว้ให้ หลินหลันก็ไม่ใส่ใจเลยซักนิด นางกับหลี่หมิงอวินไม่ได้มีความสัมพันธ์กับแบบจริงๆ เสียหน่อย ดังนั้นเรื่องอะไรที่เขาจะนำสิ่งของของท่านแม่มาให้กับนางกันล่ะ เรื่องเช่นนี้นางยังคงเข้าใจเป็นอย่างดีอยู่หรอก
หลังจากรอหลินหลันเข้านอนไปเรียบร้อยแล้ว อวี้หลงและหยินหลิ่วก็กลับไปยังที่พักเล็กๆ อวี้หลงกล่าวเตือนหยินหลิ่วอย่างเคร่งขรึม “เหล่าฟู่เหรินส่งให้เจ้าและข้าไปคอยช่วยเหลือแม่นางหลินหลัน เจ้ากับแม่นางหลินหลันจะมีความสนิทสนมต่อกันก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ทว่าคำพูดไหนที่ควรหรือไม่ควรเอื้อนเอ่ยออกไปในใจเจ้าควรจะรู้ไว้บ้าง”
แม้ว่าพวกนางทั้งสองล้วนเป็นสาวรับใช้ระดับสอง แต่ทว่าอวี้หลงมีอายุที่แก่กว่าหยินหลิ่วสองปี อีกทั้งยังเติบโตในบ้าน ระยะเวลาที่อยู่อาศัยในจวนมายาวนานกว่าหลินหลิ่ว คุณสมบัติจึงเก่าแก่กว่าเมื่อเทียบกับหยินหลิ่ว ดังนั้นการที่อวี้หลงสั่งสอนหยินหลิ่ว หยินหลิ่วจึงไม่กล้าหืออือ
“จริงอย่างที่เจี่ยะเจีย [1] สั่งสอน หยินหลิ่วจะจำเอาไว้”
สีหน้าของอวี้หลงค่อยๆ อ่อนลง “อะไรที่แม่นางหลินหลันควรรับรู้และไม่ควรรับรู้ หมิงอวินเส้าเหยียและท่านเหล่าฟู่เหรินเยี่ยจะเป็นผู้ตัดสินใจเอง พวกเราทำเพียงแค่คอยปรนนิบัติแม่นางหลินเท่านั้นก็พอ เรื่องที่พวกเราไม่ควรต้องกังวลใจก็กังวลให้น้อยที่สุดไว้จะเป็นดี”
หยินหลิ่วพยักหน้าระรัว
ขณะนี้ ภายในห้องของเหล่าฟู่เหรินเยี่ยคึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง
แม่หญิงสกุลฉีพาเยี่ยเคอเอ๋อร์และเยี่ยซินเอ๋อร์มาฉิ่งอาน [2] เหล่าฟู่เหรินเยี่ย เห็นว่าหลี่หมิงอวินก็อยู่ด้วยเช่นกัน แม่หญิงสกุลฉีจึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “ไฉนหลินหลันถึงไม่ได้มาด้วย”
ยังไม่ทันทีหลี่หมิงอวินจะเอ่ยตอบ เยี่ยเคอเอ๋อร์ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นั่นสิ ไม่คิดจะมาฉิ่งอานท่านยาย สมกับที่เป็นหญิงสาวชนบท ไม่รู้จักเคารพกฎระเบียบ”
หลี่หมิงอวินฉายดวงตาซึ่งเต็มไปด้วยความเย็นชา ใบหน้าไม่พึงพอใจ กล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “หลินหลันข้อเท้าพลิก ข้าจึงให้นางไปพักผ่อน”
เยี่ยซินเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้น ในใจก็รู้สึกเศร้าหมอง มองไปยังหลี่หมิงอวินด้วยสายตาที่อดขุ่นเคืองไม่ได้อยู่เล็กน้อย
แม่หญิงฉีรีบเอ่ยดุเคอเอ๋อร์ “หญิงสาวชนบทอะไรกัน หลินหลันเป็นพี่สะใภ้ของเจ้า หากเจ้ายังไม่มีมารยาทเช่นนี้อีก แม่จะไม่ให้อภัยจ้า”
ที่ผ่านมาท่านแม่ของนางรักใคร่ถะนุถนอมนางเป็นที่สุด ท่านแม่ที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยดุว่านาง บัดนี้กลับเป็นเพราะหลินหลัน ทำให้นางต้องถูกดุว่าต่อหน้าคนมากมาย เยี่ยเคอเอ๋อร์ยากที่จะรับได้ไปชั่วขณะ ในใจเต็มไปด้วยความน้อยใจและคับแค้นใจ แต่กลับไม่กล้าเผยแสดงออกมาต่อหน้าท่านยาย ทำเพียงขบเม้มริมฝีปาก ด้วยท่าทางที่น่าสารอย่างจะร้องไห้
ทั้งจวนเยี่ย ก็มีเพียงเหล่าฟู่เหรินเยี่ย แม่โจว เหล่าไท้เหย่เยี่ยที่รับรู้ถึงความเป็นมาเป็นไปของความสัมพันธ์ระหว่างหลินหลันกับหลี่หมิงอวิน ส่วนคนอื่นๆ ล้วนยอมรับความเป็นจริงที่คาดไม่ถึงนี้ไปอย่างมึนๆ งงๆ การจะมีความคิดต่างๆ นานาเกิดขึ้นใจถือเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตามจากเรื่องราวนี้ก็ทำให้ได้มองเห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่ปกติแล้วไม่เคยได้มองเห็นชัดเจน
ด้านหนึ่งเหล่าฟู่เหรินเยี่ยก็นึกชื่นชมในนิสัยใจกว้างของแม่นางฉี อีกด้านก็กังวลเป็นอย่างมากเกี่ยวกับการพูดการจาเราะร้ายของเยี่ยเคอเอ๋อร์ บุตรสาวซึ่งถูกเลี้ยงดูมาอย่างไข่ในหิน ที่ช่างเอาแต่ใจเป็นยิ่งนัก อย่างไรก็ตามหลังจากแต่งงานแล้ว แม่สามีหรือจะสู้แม่ของลูก พูดอะไรออกไปไม่ถูกหูแม้เพียงประโยคเดียว ก็อาจทำให้เกิดความโกลาหลและสร้างความเดือดร้อนได้ ดูเหมือนว่า เคอเอ๋อร์ควรได้รับการอบรมอย่างจริงๆ จังๆ เสียแล้ว
“ท่านแม่เจ้าพูดถูก ไม่ว่าภูมิกำเนิดหลินหลันจะเป็นอย่างไร ในเมื่อพี่ชายเจ้าได้เลือกนางแล้ว นางก็คือพี่สะใภ้ของเจ้า การไม่เคารพผู้อาวุโสกว่านั่นก็คือการไร้มารยาท วันหน้าวันหลัง คำพูดเช่นนี้อย่าได้เอื้อนเอ่ยออกไปอีก แม้แต่คิดก็ไม่ได้” นัยน์ตาของเหล่าฟู่เหรินเยี่ยเย็นชาเล็กน้อยและใช้น้ำเสียงที่จริงจัง
ริมฝีปากของเยี่ยเคอเอ๋อร์เม้มเข้าหากันแน่นขึ้น ในใจยิ่งคับแค้นหลินหลันขึ้นไปอีก ทั้งหมดเป็นเพราะผู้หญิงที่จงเกลียดจงชังคนนี้ ตั้งแต่นางเข้ามา ใครๆ ก็พากันไม่ชอบนางแล้ว ทุกคนล้วนพากันตำหนินาง หลินหลันไม่ต่างจากไปจากดาวมฤตยู
มองดูเยี่ยเคอเอ๋อร์ที่เผยอาการเสียใจและอัดอั้นตันใจ เหล่าฟู่เหรินเยี่ยจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ ปล่อยให้นางสงบจิตสงบใจคนเดียวไปก่อน แล้วหันไปพูดกับแม่หญิงฉี “สามีของเจ้าส่งจดหมายมา บอกว่าปีนี้มีการถวายของบรรณาการ เจ้าสองสามวันนี้นำเงินสำรองของในร้านออกมานับดูว่ามีอยู่เท่าไหร่ แล้วให้หมิงอวินนำไปทั้งหมด หากว่าผ้าไหมของตระกูลเยี่ยพวกเราสามารถเข้าร่วมของบรรณาการ จะต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ก็คุ้มค่า”
แม่หญิงสกุลฉีตอบรับทันที
เยี่ยซินเอ๋อร์กำลังคิดว่าอีกไม่นานเปี่ยวเกอจะต้องกลับไปเมืองหลวงแล้ว ตนเองอายุอานามก็ไม่ได้น้อยแล้ว พักหลังมานี้ท่านยายกำลังพูดคุยเรื่องการแต่งงานแทนนาง ในใจของนางไม่รู้สึกเต็มใจเลยแม้แต่น้อย จึงคิดอยากจะไปเมืองหลวง ความในใจบางเรื่อง ก็มิอาจบอกกล่าวผู้อื่นได้ ทำได้เพียงไปพูดกับมารดา ขณะที่กำลังครุ่นคิดว่าจะเอ่ยออกไปอย่างไรดี ก็ได้ยินเสียงท่านยายเรียกชื่อของนางขึ้นมา
“ซินเอ๋อร์ ท่านพ่อของเจ้าส่งจดหมายมา อยากให้เจ้าเข้าเมืองไปกับเปี่ยวเกอของเจ้าด้วย เจ้ายินยอมไปด้วยหรือไม่” เหล่าฟู่เหรินเยี่ยแม้ว่าจะเอ่ยถามความคิดเห็นของซินเอ๋อร์ แต่ทว่าในใจเอาแต่คาดหวังว่าซินเอ๋อร์จะเอ่ยว่าไม่ยินยอม หลานสาวทั้งสองนี้ ล้วนเป็นแก้วตาดวงใจของนาง นางมีประสบการณ์ล้มเหลวในการเลือกลูกเขยมาแล้วหนึ่งครั้ง จึงอยากหาคู่แต่งงานที่ดีที่สุดให้หลานสาวทั้งสอง ในจดหมายเต๋อฮ๋วยแม้จะกล่าวไว้อยากละเอียด ครอบครัวของอีกฝ่ายนิสัยใจคอไม่เลวและหน้าตาดี ทว่าไม่เคยเห็นกับตาตนเอง จึงเป็นธรรมดาที่จะมิอาจวางใจได้!
เยี่ยซินเอ๋อร์หัวใจเต้นตึกตัก ทั้งดีใจทั้งลังเล ที่ดีใจเป็นเพราะสามารถไปเมืองหลวงกับเปี่ยวเกอด้วยกันได้ ที่ลังเลใจคือ ท่านพ่อเกิดเอ่ยปากให้นางไปเมืองหลวงกะทันหัน เกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง จึงสับสนอยู่ชั่วครู่
“เรียนท่านยาย ซินเอ๋อร์ก็คิดถึงท่านแม่แล้วเจ้าค่ะ” เยี่ยซินเอ๋อร์ตอบกลับอย่างอ้อมค้อม
เหล่าฟู่เหรินเยี่ยถอนหายใจขึ้นเบาๆ “สองสามวันนี้เจ้าก็เตรียมข้าวเตรียมของเอาไว้แล้วกัน!”
เมื่อได้ยินว่าลูกพี่ลูกน้องจะต้องไปแล้ว เยี่ยเคอเอ๋อร์ลืมความน้อยอกน้อยใจก่อนหน้านี้ไปอย่างรวดเร็ว แล้วร้อนรนกล่าวขึ้น “ท่านยาย เคอเอ๋อร์ก็อยากไปเมืองหลวงด้วยเจ้าค่ะ”
แม่หญิงฉีซึ่งอยู่ด้านข้างเอ่ยดุ “อย่ายุ่งวุ่นวาย”
ดวงตาของเยี่ยเคอเอ๋อร์แดงกล่ำขึ้นมา “ข้าและถางเจี่ยะ [3] เติบใหญ่มาด้วยกัน แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยแยกจากกัน ครั้งนี้นางต้องไปเมืองหลวงแล้ว จะได้พบเจอกันเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ข้าไปเมืองหลวงอยู่เป็นเพื่อนนางซักระยะจะเป็นไรไปหรือ”
คำพูดนี้ซึ่งออกมาจากความรู้สึกอย่างแท้จริง ในเมื่อแสดงให้เห็นถึงความรักใคร่ของพี่สาวน้องสาวเช่นนี้ แม่หญิงฉีไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลใดมาหักล้างไปชั่วขณะ เอ่ยอยู่ในใจว่า เจ้าเติบใหญ่มาขนาดนี้ไม่เคยมีวันใดที่ห่างไกลจากแม่ แล้วใยแม่จะทำใจได้กันเล่า
เป็นเหล่าฟู่เหรินเยี่ยที่คิดทางออกขึ้นมาได้ จึงกล่าวออกไป “ถึงอย่างไรก็มีโอกาสได้ไปเมืองหลวงอยู่แล้ว ทว่าครั้งนี้ไม่ได้”
หลังจากทุกคนแยกย้ายกลับไป เหล่าฟู่เหรินเยี่ยลูบคล่ำขาอย่างปวดเมื่อย สีหน้าแสดงถึงความเจ็บปวดชัดเจน
แม่โจวเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “วันนี้หมิงอวินเส้าเหยียนำสมุนไพรแบบรมควันมา หรือไม่ให้คนไปจุดมาลองใช้ดูไหมเจ้าคะ”
หญิงชราเยี่ยยกมือขึ้นโบกปัดอย่างปฏิเสธ “วันนี้ดึกแล้ว ไว้พรุ่งนี้ค่อยลองเถอะ! เจ้าช่วยข้านวดๆ ก็พอ”
แม่โจวที่เพิ่งนึกขึ้นมาได้กะทันหัน จึงกล่าวออกมาอีก “หมิงอวินเส้าเหยียบอกว่า แม่นางหลินรู้วิธีการนวดที่เชี่ยวชาญสำหรับการรักษาโรคไขข้ออักเสบ ในวันพรุ่งนี้ ข้าน้อยจะลองไปเรียนรู้ดูเจ้าค่ะ”
เหล่าฟู่เหรินเยี่ยยิ้มเยาะแล้วกล่าว “นางเพิ่งเรียนกับท่านหมอฮู๋เพียงไม่กี่ปีมิใช่หรือ ความสามารถพวกนั้นของนางล้วนมิใช่ว่าเป็นท่านหมอฮู๋ที่สั่งสอนนางทั้งนั้นหรือไรกัน ท่านหมอฮู๋ยังไม่เห็นเอ่ยถึง ดูแล้วน่าจะไม่ได้ผลอะไรนักหรอก”
“จะได้ผลหรือไม่ก็ต้องลองดูเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรก็คงต้องดีกว่าการที่ข้าน้อยนวดไปเรื่อยเปื่อยเช่นนี้นะเจ้าค่ะ” แม่โจวพูดอย่างติดตลก
เหล่าฟู่เหรินเยี่ยหัวเราะออกมา กลับไม่ได้ขัดข้องขึ้นมาอีก แล้วเอนตัวนอนลงก่อนจะหลับตาเพื่อพักผ่อน
——
[1] เจี่ยะเจีย (姐姐) แปลว่า พี่สาว
[2] ฉิ่งอาน (请安) คือการคารวะทักทายแบบกึ่งพิธีการ เป็นธรรมเนียมที่ผู้เยาว์ต้องเคารพนบนอบต่อผู้ใหญ่ เมื่อผู้เยาว์พบผู้ใหญ่
[3] ถางเจี่ยะ (堂姐) ใช้เรียกลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงซึ่งมีอายุมากกว่า