เมื่อเป็นระยะเวลาหลายวันติดต่อกัน เยี่ยซินเอ๋อร์จึงรู้ตัวเองอย่างอัตโนมัติ โดยจะมาในช่วงเวลาห้าโมงเย็นเป็นต้นไปพอดิบพอดี และก็ไม่ได้รบกวนเวลาของหลินหลันจนนานมากนัก หลินหลันเริ่มจากขั้นพื้นฐานสุดอย่างอาหารที่ใช้ในการบำรุง โดยสอนนางว่าอาหารแต่ละประเภทนั้นช่วยปรับสมดุลร่างกายอย่างไรในแต่ละสี่ฤดูของปี และเยี่ยซินเอ๋อร์ก็ล้วนจดบันทึกไว้เป็นข้อๆ
ขณะที่กำลังมองดูเยี่ยซินเอ๋อร์ผู้ซึ่งจริงจังและกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และดูเหมือนสุจริตใจไร้สิ่งอื่นใดแอบแฝง แต่แน่นอนว่าหลินหลันจะไม่ใช้ความคิดในแบบที่ง่ายดายไปใช้คาดเดาผู้ซึ่งมีความคิดอย่างไม่ธรรมดา เพียงแค่คิดก็รู้สึกกลัดกลุ้มใจขึ้นมาเล็กน้อย ยังไม่ทันถึงเมืองหลวงก็ต้องเริ่มเผชิญกับเรื่องการไล่ล่าเพศตรงข้ามขึ้นมาประปรายเสียแล้ว ไม่อาจรู้ได้เลยว่าเมื่อถึงเมืองหลวงแล้วจะมีเรื่องราวชวนปวดขมับรอนางอยู่อีกมากมายเพียงใด แต่จากที่ได้ฟังเฉินจื่ออวี้ผู้นั้นที่ได้พูดเอาไว้ว่าในเมืองหลวงหลี่หมิงอวินเป็นที่ชื่นชอบคลั่งไคล้ในบรรดาสาวงามทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง นี่เท่ากับว่านางไม่เพียงแต่ต้องช่วยเขาต่อกรกับนางแม่มดชราที่อยู่ในบ้าน (นี่คือฉายาที่หลินหลันตั้งให้แก่ว่าที่แม่สามีนอกจารีตผู้นั้น ด้วยหลังจากหลี่หมิงอวินได้ยินแล้วก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย โดยรู้สึกว่าคำเรียกนี้ช่างเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง) แล้วยังต้องเป็นครูที่ทำงานหนักเพื่อสอนและให้ความรู้แด่ผู้คน และยังต้องช่วยเขากำจัดบรรดาสาวๆ นักล่าสวาทพวกนั้นอีก หลินหลันนึกสงสัยว่า บางทีนางควรหารือกับหลี่หมิงอวินว่าควรจะต้องจ่ายเงินเท่าไหร่สำหรับจัดการเรื่องนี้ มิเช่นนั้นนางก็คงไร้ซึ่งแรงขับเคลื่อนในการปฏิบัติหน้าที่!
“ท่านพี่สะใภ้ เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนแล้วนะเจ้าค่ะ” เมื่อการเรียนการสอนสิ้นสุดลง เยี่ยซินเอ๋อร์ก็จัดการเก็บข้าวของส่วนตัวแล้วลุกขึ้นยืนพร้อมกับกล่าวลา และแอบทำผ้าเช็ดหน้าร่วงหล่นไว้บนพื้น
หลินหลันประหลาดใจอยู่เล็กน้อย ทว่าแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วกล่าวออกไปพร้อมรอยยิ้ม “เปี่ยวเหม่ยกลับดีๆ นะ”
เยี่ยซินเอ๋อร์กระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย รอยยิ้มซึ่งยากเกินกว่าจะหยั่งรู้ได้ถึงความนึกคิดในใจ แล้วก็เดินยักย้ายส่ายเอวคอดอย่างสง่างามออกไป
“หยินหลิ่ว ช่วยหยิบผ้าเช็ดหน้าบนพื้นขึ้นมาแล้วนำไปคืนเสี่ยวเจี่ยะรองทีสิ” หลินหลันเอ่ยสั่งการ ด้วยเพราะเยี่ยซินเอ๋อร์หวังใช้ปิ่นปักผมในการซื้อตัวอวี้หลง ดังนั้นในช่วงเวลานี้ของทุกวันหลินหลันจึงให้หยินหลิ่วอยู่ในห้องคอยให้การปรนนิบัติ เพื่อไม่ทำให้อวี้หลงลำบากใจและวางตัวไม่ถูก และกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ถือว่าเป็นการให้โอกาสหยินหลิ่วได้หาประโยชน์จากสิ่งนี้มิใช่หรือ
หยินหลิ่วหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา แล้วเอ่ยถามด้วยความงุนงงอยู่เล็กน้อย “เส้าฟูเหรินเห็นตั้งแต่เมื่อครู่อยู่แล้วหนิเจ้าคะ”
หลินหลันกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “นี่ไม่ไช่ว่าข้าช่วยหาโอกาสให้เจ้าอยู่หรือไง”
หยินหลิ่วยังคงไม่เข้าใจนัก เอ่ยถามออกไปอย่างไม่รู้ประสีประสา “โอกาสอะไรหรือเจ้าคะ”
หลินหลันเผยรอยยิ้มบนริมฝีปากซึ่งเม้มเข้าหากัน “เจ้าไปเสีย เดี๋ยวก็ได้รู้เองมิใช่หรือ” ขณะพูดก็หันกลับไปหมกหมุ่นอยู่กับวัตถุดิบยา พลางเอ่ยพำพร่ำกับตนเอง “ผงไข่มุกไม่พอเสียแล้วสิ พิมเสนก็ด้วย…”
หยินหลิ่วเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจแล้วนำเอาผ้าเช็ดหน้าไปส่งคืนเสี่ยวเจี่ยะรอง
ไม่นานนาก หยินหลิ่วก็กลับมาพร้อมกับนำเอากำไลหนึ่งวงวางลงเบื้องหน้าของหลินหลัน ด้วยสีหน้าอมยิ้ม “ที่แท้แล้วนี่ก็คือโอกาสที่เส้าฟูเหรินว่าใช่ไหมเจ้าคะ”
หลินหลันหยิบกำไลข้อมือพลิกไปมาส่องบนตะเกียงน้ำมันเพื่อตรวจสอบว่าเป็นของจริงหรือปลอม “ช่างใจกว้างเสียจริง กระทั่งกำไลหยกล้ำค่าขนาดนี้ก็ยังมอบให้ได้อย่างไม่เสียดายเลย”
หยินหลิ่วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าน้อยไม่คู่ควรกับกำไลล้ำค่าขนาดนี้ เส้าฟูเหรินเก็บเอาไว้นะเจ้าคะ”
หลินหลันแม้จะหลงใหลได้ปลื้มกับสมบัติล้ำค่า แต่ก็ไม่โลภมากถึงขั้นที่ว่าแม้กระทั่งอยากได้รางวัลของข้ารับใช้ จึงถลึงตาใส่นางไปหนึ่งที “นี่เป็นถึงน้ำจิตน้ำใตของเสี่ยวเจี่ยะรองเชียวนะ เจ้าเก็บเอาไว้ใช้เป็นเครื่องประดับใส่ตอนแต่งงานก็ไม่ใช่ว่าดีอยู่หรือ”
ใบหน้าของหยินหลิ่วแดงระเรื่อ และเอ่ยพึมพำอย่างเขินอาย “เส้าฟูเหรินพูดอะไรน่ะเจ้าคะ เครื่องประดับแต่งงานอะไรกัน…”
“รีบๆ เก็บไปเสีย แล้วคราวหน้าคราวหลังต้องหัดรู้เท่าทันไว้หน่อย อย่าได้พลาดโอกาสดีๆ ไปได้” หลินหลันนำกำไลข้อมือส่งคืนหยินหลิ่ว
หยินหลิ่วยังคงแปลกใจ “การที่ข้าน้อยได้รับประโยชน์เช่นนี้ทว่ากลับรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลยเจ้าค่ะ”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีอะไรให้น่าไม่สบายใจล่ะ นี่เป็นความประสงค์ของนางที่จะให้รางวัลเจ้าเอง มิใช่เจ้าไปร้องขอจากนางเสียหน่อย”
“แต่ทว่าการรับเอาของของผู้อื่นมา” หยินหลิ่วเกรงกลัวเป็นอย่างมากว่าเมื่อถึงเวลาเสี่ยวเจี่ยะรองจะเอ่ยขอความต้องการอะไรที่ไม่เหมาะสมจากนาง
“พอเลย…จะว่าเจ้าเขลาก็เขลาจริงๆ นั่นแหละ เรื่องบางเรื่องแค่ตัวเจ้ารู้ดีแก่ใจก็พอแล้ว และหากเจ้าไม่รับเอาไว้แน่นอนว่าในใจของนางก็คงไม่วางใจ ยังไงก็จะยังคิดหาวิธีอื่นมาอีก ดังนั้นการจะปล่อยให้นางไปพึ่งพาผู้อื่น ยังไม่สู้พึงพาเจ้ายังจะดีกว่าหรือ และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หากนางมีความคิดอะไรข้าก็จะสามารถรับรู้ได้ในทันที เท่ากับยิ่งปืนนัดเดียวได้นกสองตัวอย่างไรล่ะ” หลินหลันเอ่ยชี้นำทางสว่างอย่างใจเย็น
หยินหลิ่วไตร่ตรอง แล้วจึงกล่าวขึ้น “ความหมายของเส้าฟูเหรินก็คือ…หากเสี่ยวเจี่ยะรองต้องการหลอกใช้ข้า ข้าก็ต้องแสร้งทำเป็นในนางหลอกใช้ เพื่อที่เส้าฟูเหรินจะยิ่งสามารถต่อกรกับเสี่ยวเจี่ยะ…”
หลินหลันส่งเสียงคำรามเล็กน้อย แล้วกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “เข้าใจแล้วก็เหยียบไว้ให้จมดินอย่าได้แพร่งพรายออกไปเชียว”
ทั้งสองส่งซิกให้กันและหัวเราะออกมา
“มีเรื่องอะไรกันถึงได้ดูมีความสุขเสียขนาดนี้” หลี่หมิงอวินซึ่งเพิ่งกลับเข้ามาในห้อง เห็นนายและข้ารับใช้พากันหัวเราะคิกคักอย่างผิดวิสัย นั่นทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาชั่วขณะ
หลินหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงความโกรธเอาไว้ด้วย “ไม่เกี่ยวกับเจ้าก็แล้วกัน”
หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างสบายๆ “เป็นการดีอย่างยิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของข้า”
หยินหลิ่วรีบลุกขึ้นแล้วไปชงชาให้เส้าเหยีย ขณะที่อวี้หลงเอ่ยถาม “วันนี้ด้านนอกมีลมแรงและคนเรือยังบอกว่าในกลางดึกจะมีฝนตกลงมา ดังนั้นควรเปลี่ยนเป็นผ้าห่มหนาๆ สักผืนไว้สำหรับค่ำคืนนี้หรือไม่เจ้าคะ”
หลินหลันจึงเหลือบมองผ้าห่มผืนบางสองผืนที่วางอยู่บนเตียงแล้วเอ่ย “ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก เจ้าแค่ไปเอาผ้าห่มผืนหน้ามาอีกผืน หากค่ำคืนนี้เกิดหนาวขึ้นมาก็ค่อยห่มผืนหนา”
อวี้หลงไม่ได้นึกสงสัยเป็นอื่น ทำตามที่หลินหลันกล่าวโดยไปหยิบผ้าห่มผืนหนามา แล้ววางเอาไว้บนเตียงนอน
ทางด้านหลี่หมิงอวินดูโล่งใจอกโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด เขารับเอาชาที่หยินหลิ่วชงมาให้แล้วค่อยๆ ลิ้มรส
หลินหลันคลี่ใบรายการยาที่เพิ่งเขียนขึ้นมาใหม่ให้หลี่หมิงอวินดู “ยังขาดยาอีกตั้งหลายตัว เมื่อใดที่เรือเทียบฝั่ง ข้าจำเป็นต้องขึ้นไปหาซื้อเอามาไว้บ้าง”
หลี่หมิงอวินเหลือบตามองอย่างคร่าวๆ “วันมะรืนแล้วกัน เรือจะเข้าเทียบท่าเรือซูโจวในวันมะรืนนี้ ข้าเองก็อยากขึ้นไปบนฝั่งเดินเล่นเสียหน่อยอยู่เหมือนกัน”
ถึงซูโจวแล้ว? อะไรจะรวดเร็วปานนี้! หลินหลันเริ่มรู้สึกตื่นตาตื่นใจ จึงหย่อนตัวนั่งลงตรงข้ามหลี่หมิงอวินและเผยรอยยิ้มอย่างเอาอกเอาใจ “ข้าได้ยินมาว่าหญิงสาวแห่งเมืองซูโจวงดงามยิ่งนัก ที่เจ้าบอกว่าจะขึ้นฝั่งไปเดินเล่น หมายถึงว่าต้องการไปเที่ยวเล่นใช่หรือไม่”
หลี่หมิงอวินเลิกคิ้วขึ้นขณะมองนาง และพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย “ไม่ใช่เที่ยวเล่น ข้าจะไปเยี่ยมเยียนสหาย ส่วนเจ้าก็ไปจัดการซื้อวัตถุดิบยาของเจ้าซะ”
หลินหลันมุ่ยปากด้วยความผิดหวัง และกล่าวด้วยอารมณ์โกรธเคือง “เจ้าไม่พาข้าไป งั้นข้าไปเองก็ได้”
“ไม่ได้ พวกเราหยุดพักที่ท่าเรือซูโจวเพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น หากเจ้าไปแล้วกลับมาไม่ทันเวลา ซึ่งทำให้การเดินทางต้องล่าช้าลงแล้วจะทำอย่างไร” หลี่หมิงอวินคัดค้านเด็ดขาดอย่างจริงจัง
หลินหลันกล่าวขึ้นด้วยความเบื่อหน่าย “ข้าไม่ได้เป็นเด็กเป็นเล็กที่จะไม่รู้จักเวลาเสียหน่อย ข้าต่างหากที่ต้องกังวลว่าเจ้าไปเยี่ยมเยียนสหายแล้วจะกลับมาเกินเวลาที่กำหนดไว้น่ะ!”
หลี่หมิงอวินเริ่มลังเลใจเสียแล้ว ตั้งแต่หลินหลันขึ้นเรือมา เกือบจะทุกวันที่นางเอาแต่อุดอู้อยู่แต่ในใต้ท้องเรือ มัวทำนั่นทำนี่จนแม้แต่กาบเรือก็น้อยครั้งนักที่จะขึ้นไป
เมื่อเห็นว่าเขาเริ่มโอนอ่อนลง หลินหลันจึงกล่าวยื่นขอเสนอขึ้นไปอีก “หากเจ้าไม่วางใจ จะให้เหวินซานไปกับข้าก็ได้หนิ อย่างไรเจ้าก็ไว้ใจเหวินซานได้อยู่แล้ว”
หลี่หมิงอวินจ้องมองไปยังด้วงตาซึ่งเต็มไปด้วยความหวังคู่นั้น แล้วก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกไป “ข้าจะพาเจ้าไปเยี่ยมเยียนสหายของข้าด้วยแล้วกัน”
เยี่ยมเยียนสหาย? หลินหลันสนใจเสียทีไหนกันเล่า
หลี่หมิงอวินชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวขึ้นอีก “เพื่อนของข้าผู้นั้นอาศัยอยู่ในหู่ชิว ซึ่งเป็นแหล่งที่มีวิวทิวทัศน์อันสวยงามมากที่สุดในซูโจว”
หู่ซิว? หลินหลันเคยได้เสริทดูทิวทัศน์ที่สวยงามของหู่ชิวผ่านอินเทอร์เน็ตในชีวิตก่อนหน้านี้ เป็นความจริงที่วิวทิวทัศน์ที่นั่นรื่นรมย์เป็นอย่างยิ่ง และทันใดนั้นรอยยิ้มเบิกบานก็เผยออกมา “คำไหนคำนั้น ห้ามกลับคำโดยเด็ดขาด”
และแล้วช่วงกลางดึกก็มีฝนตกหนักลงมาจริงๆ ในตอนแรกเป็นเพียงเสียงสายฝนเปาะๆ แปะๆ กระทบลงบนตัวเรือราวกับเป็นการสาดเมล็ดถั่วเข้าใส่ และต่อมาสายฝนเม็ดใหญ่ก็สาดเทลงมา จนเรือไม่สามารถหยุดโคลงเคลงได้ ซึ่งการเคลื่อนไหวนั่นช่างน่ากลัวเป็นอย่างมาก
หลินหลันไม่อาจข่มตาให้หลับได้เพราะถูกเสียงฟ้าฝนรบกวน มองทะลุผ่านมุ้งโปร่งบางออกไป เห็นหลี่หมิงอวินกำลังนอนนิ่งอยู่บนเก้าอี้นวมตัวยาว จึงอดไม่ได้ที่จะนึกชื่นชมความสามารถในการนอนหลับที่แม้แต่เสียงฟ้าผ่าก็ทำอะไรเขาไม่ได้
นางกระชับผ้าห่มเข้าแนบเรือนร่างด้วยรู้สึกได้ถึงความหนาวขึ้นมาเล็กน้อย หลินหลันจึงเตรียมดึงผ้าห่มผืนหนาที่อวี้หลงเตรียมไว้ให้ห่ม แต่แล้วก็ได้ยินเสียงก่อกแก่ก ทันใดนั้นจึงรีบร้อนหลับตาลงพลางกลั้นหายใจ
และก็เห็นเพียงหลี่หมิงอวินลงจากเก้าอี้นวมตัวยาว แล้วมุ่งตรงมาที่นางพร้อมกับเอื้อมมือเข้ามา
เขาคิดจะทำอะไรกันแน่ หลินหลันเกิดความกังวลขึ้นภายในใจ ค่อยๆ หรี่ดวงตาเปิดขึ้นมอง
ภายใต้แสงสลัวทำให้เห็นว่ามุ้งกำลังถูกยกขึ้นอย่างเบาๆ และหลี่หมิงอวินก็เอนตัวเข้ามา
หลินหลันกระชับผ้าห่มอย่างแน่นไว้ในมือด้วยความประหม่า และคิดในใจไว้แล้วว่า หากเขากล้ากระโจนเข้ามาล่ะก็จะเตะเขาให้สาหัสไปเลย
มือของเขายื่นเข้ามาแล้ว ยื่นเข้ามาแล้ว……ร่างกายของหลินหลันกำลังยืดออกคล้ายกับสายคันธนูที่พร้อมจะปล่อยลูกธนูจู่โจมออกไป
มือของเขาโน้มข้ามเรือนร่างของนาง และคลำหาผ้าห่มซึ่งวางอยู่ด้านหลัง
ที่แท้เขาแค่รู้สึกหนาวขึ้นมา จึงอยากหยิบเอาผ้าห่มไปสินะ? เช่นนั้นนางควรจะทำอย่างไรดี นางเองก็หนาวเช่นกันหนิ…
แน่นอนว่าเขาหยิบผ้าห่มขึ้นมา ขณะนั้นเองหลินหลันกำลังจะอ้าปากพูด แต่แล้วเขากลับคลี่ผ้าห่มคลุมลงบนเรือนร่างของนาง แล้วยังช่วยนางกระชับผ้าห่มให้มิดชิดอีกด้วย พลางเอ่ยพึมพำขึ้นอย่างเบาๆ “หลับเป็นตายจริงๆ ” แล้วจึงถอยออกมา ก่อนจะกลับไปยังก้าวอี้นวมตัวยาวและเอนกายนอนลงดั่งเดิม
หลินหลันสติหลุดไปประมาณครึ่งนาทีเต็ม ที่แท้เขาแค่กลัวว่านางจะหนาว จึงเพิ่มผ้าห่มให้แก่นางอีกชั้น…ในขณะที่เมื่อครู่นางเพิ่งจะคิดร้ายไปเสียแล้ว ไม่ยักจะรู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้รู้จักดูแลผู้อื่นเหมือนกันด้วย หึ! นางเองก็ดูแลเขามาแล้วตั้งหลายวัน ซึ่งการที่เขาจะดูแลนางบ้างเป็นครั้งคราวก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้ต้องละอายใจกับการได้รับการดูแลเช่นนี้ ส่วนที่เขาจะหนาวหรือไม่ ช่วงนี้เขาเพิ่งถูกบังคับให้กินยาบำรุงมากมาย แล้วจะกลัวความหนาวไปได้อย่างไรล่ะ เมื่อนึกได้เช่นนี้หลินหลันก็กอดผ้าห่มอย่างสบายใจแล้วปิดเปลืองตาลง