“ฮูหยิน…ฮูหยิน…” ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาด้วยฝีก้าวอันรวดเร็วภายใต้สีหน้าตื่นตระหนก
แม่ฉินกล่าวทั้งน้ำตา “นายท่านเจ้าคะ นักตุ้มตุ๋นที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าผู้นี้ทำให้ฮูหยินโกรธจนกะอักเลือดออกมาเจ้าค่ะ”
ท่านเจ้าเมืองมองดูฮูหยินกะอักเลือดออกมาอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุดและมีสีหน้าซีดเหลือง ขณะนั้นเองความโกรธอันแรงกล้าก็ปะทุขึ้น เขาหันกลับไปมองหลินหลันแล้วกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “นังคนโกหกตัวดี ใครก็ได้เข้ามาจับตัวนางเอาไว้ หากภรรยาของข้าเป็นอะไรไป ข้าจะจับเจ้าฉีกออกเป็นชิ้นๆ เสีย”
หลินหลันยิ้มออกมาอย่างใจเย็น “ท่านเจ้าเมือง ท่านอย่ามัวเสแสร้งอยู่เลย หากฮูหยินตายไปแล้วมิใช่ว่าจะสมความปรารถนาของท่านหรอกหรือ เพราะถึงอย่างไรภรรยาของท่านผู้นี้ก็ไม่อาจให้กำเนิดบุตรชายได้”
ท่านเจ้าเมืองรู้สึกโมโหจนแทบจะกะอักเลือดออกมา “โอหัง วันนี้หากเจ้าไม่ถูกเฆี่ยนตีให้ตาย เกรงว่าจะไม่อาจทำให้โทสะในใจข้ามลายหายไปได้”
“ข้าไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้แล้ว เมื่อข้าตายไปเรื่องราวทั้งหมดก็จะจบลง…” ถูกหลินหลันทิ่มแทงด้วยคำพูดอันแสนเจ็บปวด ฮูหยินจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแห่งความเศร้าโศก ก่อนจะกะอักเลือดกองโตออกมาอีกครั้ง
ผู้เป็นสามีรีบร้อนเข้าไปปลอบปะโลมภรรยาของตน “ฮูหยิน อย่าได้ฟังนางพูดเพ้อเจอไร้สาระ อาการป่วยของเจ้าจะต้องหายดีได้เป็นแน่ ต่อให้ข้าต้องเชิญหมอผู้มีชื่อเสียงเรืองนามทั่วทั้งใต้ล่าก็จะต้องรักษาอาการป่วยของเจ้าให้หายดีให้ได้”
เจียติง [1] เมื่อได้ยินเรื่องราวจึงรีบมาในทันทีและเตรียมจะลากตัวหลินหลันออกไป
หลินหลันรีบเอ่ยปากร้องขอ “เหล่าต้าเกอช่วยรออีกสักประเดี๋ยว ใกล้จะเรียบร้อยแล้ว”
เจียติงตกอยู่ในอาการแปลกประหลาดใจ ไม่ใช่ว่านายท่านสั่งการให้นำตัวนางลากออกไปโบยหรอกหรือ
แม่ฉินรู้สึกจงเกลียดจงชังหลินหลันเป็นยิ่งนัก นางนำหลินหลันเข้ามาพร้อมกอบกุมความหวังอันริบรี่ไว้ในมือ แต่กลับคาดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นการนำหมาป่าเข้ามาถึงในห้องและจะพรากชีวิตนายหญิงของตนไป ในขณะนั้นเองนางจึงเอ่ยปากตะคอกขึ้น “พวกเจ้ายังมัวรออะไรกันอยู่อีก เหตุใดยังไม่รีบลงมือซะ”
บรรดาเจียติงทั้งหลายเข้าไปดึงตัวหลินหลันอีกครั้ง และในช่วงเวลาอันสำคัญนั้นเอง หลินหลันมองเห็นสีหน้าของฮูหยินซึ่งในที่สุดก็มีเลือดฝาดขึ้นมา จึงกล่าวขึ้นด้วยความดีใจ “ฮูหยิน ตอนนี้ท่านรู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้วใช่ไหม”
ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกไป ฮูหยินถึงกับตกตะลึง ยกมือขึ้นกุมตำแหน่งหัวใจของตนแล้วค่อยๆ จดจ่ออยู่กับความรู้สึกในร่างกาย แล้วจึงพบว่าความเจ็บปวดในทรวงอกนั้นบรรเทาลงไปมาก นางจ้องมองหลินหลันด้วยความงุนงงพลางพึมพำออกมาอย่างเหลือเชื่อ “รู้สึกสบายตัวขึ้นมาเยอะจริงๆ ด้วย”
ในเวลานี้เองผู้ที่อยู่ในห้องล้วนพากันตกตะลึงและเต็มไปด้วยความงุนงงสงสัย ฮูหยินถูกนางทำให้โกรธจนเกือบตาย แล้วยังกระอักเลือดออกมาเสียมากมายขนาดนั้น แต่กลับรู้สึกสบายตัวขึ้นมาเยอะเลย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หลินหลันสะบัดตัวหลุดจากการจับกุมของเหล่าเจียติงทั้งหลาย แล้วเดินเข้าไปเบื้องหน้าก่อนจะย่อตัวลงเพื่อแสดงการคาราวะ “ฮูหยิน เมื่อครู่หลินหลันขออภัยเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ ขอท่านโปรดอย่าเก็บเอามาใส่ใจ ด้วยฮูหยินยังคงมีเรื่องกังวลติดค้างอยู่ในใจ สภาพอารมณ์หดหู่เศร้าหมองที่ส่งผลต่อร่างกาย จึงก่อให้เกิดลมปราณตับอุดกั้น ทำให้เลือดลมทั่วร่างกายไหลเวียนไม่อิสระและติดขัด หากปล่อยเอาไว้นาน จะนำไปสู่อาการเลือดคั่งสั่งสมภายใน การจ่ายยาให้ก็เป็นเพียงแค่ช่วยให้เลือดลมไม่ติดขัด แต่มิใช่วิธีที่จะช่วยให้อาการหายขาดได้ ด้วยเหตุนี้ความอัดอั้นตันใจที่ฝั่งลึกของฮูหยิน จึงจำเป็นต้องอาศัยวิธีการที่ออกจะแปลกประหลาดเสียหน่อย ซึ่งก็คือวิธีการปลุกเร้ากระตุ้นเพื่อทำให้ฮูหยินอาเจียนเป็นเลือดออกมา ฮูหยิน ท่านลองมองดูสีของเลือดที่อาเจียนออกมาในคราแรกสิเจ้าคะ สีแดงปนดำ ตามด้วยสีดำอมม่วง และครั้งสุดท้ายที่อาเจียนออกมาสีเลือดเพิ่งจะออกมาเป็นสีแดงสด”
แต่ละคนต่างก้มลงมองกองเลือดบนพื้นซึ่งก็เป็นความจริงเฉกเช่นหมอหญิงท่านนี้กล่าวเอาไว้ทั้งหมด เริ่มแรกเป็นสีดำม่วงและท้ายสุดถึงเป็นสีแดงสด ทันใดนั้นจึงเข้าใจได้ว่านี่คือกลวิธีอันแปลกประหลาดของท่านหมอหญิงผู้นี้ ซึ่งนับว่าเป็นวิธีการรักษาในแบบที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนเลย
ท่านเจ้าเมืองที่เพิ่งดึงสติกลับคืนมา เอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “เช่นนั้น…ฮูหยินได้รับการรักษาแล้ว?”
หลินหลันเผยรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ขณะนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นกังวลแล้วเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าจะเขียนใบรายการยาให้ฮูหยิน และขอเพียงแค่ฮูหยินสามารถปล่อยวางทำจิตใจให้สบาย ตลอดจนในระยะเวลาช่วงนี้หมั่นดูแลสุขภาพกายและใจ ก็จะสามารถหายขาดจากอาการป่วยได้เจ้าค่ะ”
ท่านเจ้าเมืองเผยสีหน้ามีความสุขออกมา แม้จะยังรู้สึกไม่ค่อยเชื่อถืออยู่บ้าง “เจ้าพูดจริงหรือ” ความโกรธโมโหเมื่อครู่ที่เขามีต่อหลินหลันเลือนหายไปจนหมดสิ้น
“ท่านเจ้าเมืองขอให้หลินหลันผู้นี้ได้พูดคุยกับฮูหยินตามลำพังสักสองสามประโยคได้หรือไม่เจ้าคะ” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ผู้เป็นสามีมองไปที่ภรรยาของตน และนางก็พยักหน้าเล็กน้อย เขาจึงกล่าวขึ้น “ทั้งหมดออกกันไปก่อนเถอะ!”
เมื่อทุกคนต่างออกไปจากห้องกันหมดเรียบร้อยแล้ว หลินหลันจึงก้าวเข้าไปพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าที่เพิ่งซื้อมาผืนใหม่ช่วยเช็ดคราบเลือดที่มุมปากให้แก่ฮูหยิน และกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน “ฮูหยิน ข้าคงต้องขอพูดตามตรงแม้ท่านไม่อยากได้ยิน ไม่ว่าเจ้าอี๋เหนียงจะให้กำเนิดบุตรชายหรือไม่ ทั้งหมดในบ้านหลังนี้ก็ล้วนอยู่ในการดูแลของฮูหยิน ขอเพียงแค่ฮูหยินสุขภาพร่างกายแข็งแรงเพื่อครองอยู่บนตำแหน่งนี้ตลอดกาล และทำให้นางเป็นฝ่ายที่ต้องได้รับความอัดอั้นตันใจนั้นแทนเสีย หากท่านยอมแพ้ นั่นไม่เท่ากับว่าเป็นไปตามความต้องการของผู้อื่นหรือ ความเจ็บปวดทั้งหมดที่ท่านกำลังเผชิญ สมควรได้รับการชำระแค้นให้โดยเร็ว ในเมื่อฮูหยินคำนึกถึงบุตรสาวทั้งสองก็ควรยืนยัดลุงขึ้นต่อสู้และดำเนินชีวิตไปต่อไปอย่างมีความสุขให้ได้”
ฮูหยินเมื่อได้ฟังคำพูดดังกล่าว ซึ่งเป็นเสมือนแรงผลักดันที่เฉียบคมชั้นเยี่ยม ทำให้นางเข้าใจและตระหนักได้ในทันที พลางเอื้อมมือเข้าไปกอบกุมมือของหลินหลันเอาไว้พร้อมด้วยหยาดน้ำตาที่กำลังเอ่อล้น “ไม่เคยมีผู้ใดเอ่ยพูดเช่นนี้กับข้ามาก่อนเลย ความรู้สึกและอารมณ์นี้อัดแน่นอยู่ในใจของข้ามาเนิ่นนาน บางครั้งก็คิดขึ้นมาว่าไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วจริงๆ หัวใจของท่านพี่ถูกนังสุนัขจิ้งของร้ายตนนั้นครอบงำให้ลุ่มหลง และหากนางให้กำเนิดบุตรชายขึ้นมาอีก ข้า…ข้า…”
“ฮูหยินคิดมากเกินไปแล้ว เมื่อครู่ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าท่านเจ้าเมืองเป็นห่วงฮูหยินอย่างมาก ขอเพียงแค่ฮูหยินต้องจัดการเรื่องในบ้านหลังนี้ให้เป็นระบบระเบียบ ทำให้สามีของท่านไม่ต้องกังวลใจ หัวใจของเขาก็จะเป็นของฮูหยินตลอดกาล ท่านเจ้าเมืองและฮูหยินเชื่อมกันไว้ด้วยสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยา มีหรือที่อี๋เหนียงเพียงผู้เดียวจะสามารถทำลายได้ แม้นางจะได้รับความโปรดปราดเพียงใดแต่สุดท้ายก็เป็นแค่อี๋เหนียงเท่านั้น มีหรือที่จะสามารถขึ้นมาเทียบเท่าบรรมีของท่านได้” หลินหลันกล่าวปลอบประโลม
ฮูหยินปาดหยาดน้ำตาที่ไหลริน “แม่นาง วันนี้ช่างโชคดียิ่งนักที่ได้พบเจอเจ้า มิเช่นนั้น ข้าคงยังถูกแช่อยู่ในวังวนเช่นนี้จนกระทั่งตายจากไป”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่ข้ายอมเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวง จนเกือบถูกท่านเจ้าเมืองลากออกไปโบยเสียแล้ว เล่นเสียข้าหวาดกลัวจนเหงื่อตกไปทั้งตัว”
ฮูหยินแม้จะรู้สึกผิดอยู่ในใจ ทว่ากลับแสร้งทำเป็นโกรธออกมา “เมื่อครู่เจ้าก็ทำให้ข้าโกรธโมโหจนเกือบตายเช่นกัน”
ทั้งสองจ้องมองกันและหัวเราะออกมา
ฮูหยินกล่าว “ไม่ทราบว่าแม่นางเป็นใครมาจากไหนหรือ ฟังจากสำเนียงแล้วคงมิใช่ชาวซูโจว”
หลินหลันกล่าว “ข้าเป็นเพียงผู้ที่ผ่านแวะมาซูโจวเท่านั้น แล้วบังเอิญเห็นประกาศตามหาหมอเข้าให้ จึงลองมาเสี่ยงให้การรักษาดูเจ้าค่ะ อีกทั้งจำนวนเงินรางวัลที่ท่านเจ้าเมืองเสนอก็ช่างน่าดึงดูดเสียยิ่งนัก ตั้งห้าสิบเหลี่ยงทองแหนะเจ้าค่ะ! เห็นได้เลยว่าท่านเจ้าเมืองเป็นห่วงฮูหยินมากเพียงใด”
ฮูหยินรู้สึกขบขับในคำพูดคำจาของนาง “ไม่เช่นนั้นเจ้าก็อยู่ที่จวนนี้เลยเถอะ! ส่วนเรื่องเงินเจ้าสามารถบอกจำนวนที่ต้องการมาได้เลย”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าตามสามีมาเพื่อที่จะเข้าไปยังเมืองหลวง โดยขณะนี้เรือจอดพักอยู่ ณ ท่าเรือซูโจวเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น ในเมื่อตอนนี้ฮูหยินปลอดภัยแล้ว ข้าก็จำเป็นต้องขอตัวลากลับก่อน อีกทั้งยังมีคนกำลังรอข้าอยู่อีกด้วยน่ะเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินกล่าวอย่างผิดหวังเล็กน้อย “เป็นเช่นนี้นี่เอง! ช่างน่าเสียดายจริงๆ ข้ากลับรู้สึกกับเจ้าราวกับว่าเคยเป็นสหายเก่ากันมาก่อน!”
“หากมีวาสนาต่อกันก็ย่อมได้พบเจอกันอีกแน่นอนเจ้าค่ะ ฮูหยินรีบนอนลงพักผ่อนเถิด! ท่านเพิ่งจะอาเจียนออกมาเป็นเลือดมากมายเสียขนาดนั้น ซึ่งเป็นการทำให้สูญเสียพลังและเลือดไปมาก ยังจำเป็นต้องดูแลสุขภาพร่างกายให้ดีๆ นะเจ้าคะ” หลินหลันประครองนางเอนกายนอนลง แล้วจึงลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวลา
เหวินซานและหยินหลิ่วหลังจากกินมือกลางวันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็พากันไปรอเส้าฟูเหรินที่ลานกว้างสำหรับรองรับแขก ไม่ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์อันเกือบเอาชีวิตไม่รอดของเส้าฟูเหรินเลยแม้แต่น้อย
หลินหลันหลังจากจดรายการยาให้แล้วจึงกล่าวอธิบายอย่างละเอียดอีกรอบ ขณะนี้เองที่แม่ฉินรู้สึกศรัทธาในความสามารถของหลินหลันเป็นอย่างยิ่ง และซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลริน พลางตอบรับในแต่ละคำพูดที่หลินหลันบอกกล่าว
ท่านเจ้าเมืองเมื่อรับรู้ว่าที่หลินหลันใช้วาจาคำพูดอย่างไม่สุภาพไร้ซึ่งการเกรงอกเกรงใจนั้นก็เพื่อเป็นการรักษาฮูหยิน จึงแน่นอนว่าไม่มีการเอาผิดอันใดต่อนางแล้วยังออกมาส่งหลินหลันด้วยตนเองอีกด้วย นอกจากนั้นยังสั่งการให้เจ้าหน้าที่องค์รักษ์ให้การคุ้มกันและส่งหลินหลันกลับไปขึ้นเรือ ซึ่งแน่นอนว่านางยังได้รางวัลห้าสิบเหลี่ยงทองนั่นติดมือมาด้วย
เมื่อออกมาจากที่ทำการและพักอาศัยของท่านเจ้าเมือง จึงพากันขึ้นไปนั่งบนรถม้าที่ทางเจ้าเมืองได้สั่งการคนให้เตรียมพร้อมเอาไว้ ขณะนั้นเองหยินหลิ่วจึงเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เส้าฟูเหริน ท่านสามารถรักษาฮูหยินของท่านเจ้าเมืองให้หายดีแล้วจริงๆ หรือเจ้าคะ”
หลินหลันส่ายศีรษะไปมาอย่างภาคภูมิใจพลางตบลงบนกล่องที่อยู่ด้านข้างและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ห้าสิบเหลี่ยงทองอยู่ในมือทั้งหมดแล้ว เจ้าคิดว่าไงล่ะ”
หยินหลิ่วจ้องมองนายหญิงด้วยความชื่นชม “เส้าฟูเหริน ท่านช่างยอดเยี่ยมเสียจริงเลยเจ้าค่ะ นับว่าเป็นท่านปรมจารย์หมอยังว่าได้!”
หลินหลันหัวเราะแฮะๆ อย่างแฝงเอาไว้ด้วยความซุกซน “ปรมาจารย์หมอคงมิอาจเทียบเท่า เพราะความสามารถที่แท้จริงมีเพียงน้อยนิดเท่านั้นแหละ ที่เหลือก็อาศัยความโชคดีทั้งนั้น”
ที่หลินหลันพูดนั้นเป็นความจริง ทว่าหยินหลิ่วคิดว่านายหญิงของตนกล่าวอย่างถ่อมตน นางจึงยิ่งรู้สึกเคารพและนับถือเส้าฟูเหรินมากยิ่งขึ้น ในใจก็รู้สึกว่าเส้าเหยียช่างสายตายอดเยี่ยมเสียจริง แม้ใครๆ จะพูดกันว่าเส้าฟูเหรินนั้นมีภูมิหลังที่ต่ำต้อย ไม่คู่ควรกับเส้าเหยีย มีเพียงเส้าเหยียที่มองออกว่าเส้าฟูเหรินแท้จริงแล้วคือไข่มุกล้ำค่าท่ามกลางดงทุ่งหญ้า
…..
บนเรือ กุ้ยซ่าวนำจดหมายส่งให้แม่โจว “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าการกระทำเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่ เพียงแต่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปกติ จึงนำจดหมายนี้กลับมาก่อนโดยไม่ได้คำนึกถึงความถูกผิด”
แม่โจวเปิดซองจดหมายออกมาดู และสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง “โชคดีที่เจ้านำจดหมายกลับมาได้ จดหมายฉบับนี้หากไปถึงมือของต้าเส้าหน่ายหนาย [2] ก็คงเป็นเรื่องแย่แน่”
กุ้ยซ่าวตระหนกตกใจ “ร้ายแรงขนาดนั้นเชียวรึ”
แม่โจวพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “เสี่ยวเจี่ยะรองอยากให้ต้าเส้าหน่ายหนายช่วยแพร่กระจายข่าวลือเสียหายในเมืองหลวงเกี่ยวกับเส้าฟูเหริน เพื่อเป็นการขัดขวางมิให้เส้าฟูเหรินได้เข้าไปในบ้านตระกูลหลี่”
“นี่…พวกเขาคิดอะไรเยี่ยงนี้ออกมาได้ด้วยรึ” กุ้ยซ่าวรู้สึกโมโหขึ้นมาเล็กน้อย
“เจ้าอย่าพูดเลยว่าความคิดเยี่ยงนี้นับได้ว่าเลวร้ายมากพอแล้ว การที่จะให้เส้าฟูเหรินเข้าไปในบ้านตระกูลหลี่โดยราบรื่นนั้นไม่ใช่เรื่องงาย มิเช่นนั้น เหล่าฟูเหรินก็คงไม่ให้เจ้าตามข้าเข้าเมืองหลวงมาด้วยหรอก หากต้องถูกพวกนางคอยรบกวนด้วยเช่นนี้ นั่นก็เป็นความยากที่ยากขึ้นไปอีกเสียแล้ว” แม่โจวกล่าวด้วยความรู้สึกหวั่นใจ
“แล้วเช่นนั้นจะทำอย่างไรดีหรือ”
แม่โจวนิ่งเงียบไปชั่วขณะ แล้วจึงกล่าวขึ้นอย่างใจเย็น “พวกเราคอยดูสถานการณ์อย่างเงียบๆ ไปก่อนแล้วกัน พวกนางคิดว่าจดหมายฉบับนี้เมื่อถูกส่งออกไปแล้ว ตามการคาดการณ์ก็ยังต้องรอเวลาไปอีกสักระยะ”
——
[1] เจียติง (家丁) ในสมัยก่อนคนรับใช้ที่ได้รับการว่าจ้างจากเจ้าของบ้านใหญ่หรือข้าราชการเพื่อทำหน้าที่ปกป้องตนเองและทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสาร
[2] ต้าเส้าหน่ายหนาย (大少奶奶) คำเรียก ภรรยาของพี่ชายคนโต